เรื่องนี้เป็นเรื่องจากในฝันของผม มันได้รับการปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวตอนที่ตื่นขึ้นมา ถ้าตรงไหนมันแหม่งๆ ก็บอกนะครับ (ฝันยังกับดูหนังในโรง 555)
ในวันอันวุ่นวาย ช่วงงานเทศกาลสำคัญ วันคริสต์มาส ทุกๆ คนต่างยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข และซื้อของ หาของขวัญเตรียมพร้อมสำหรับเวลาสุขสันต์ของครอบครัว ยังมีนายโจร และนักต้มตุ๋นสองคน กำลังเดินแกร่วหาเหยื่อและโอกาส เราจะต้องกล่าวถึงเขาทั้งสองอีกมาก จึงของตั้งชื่อให้ง่ายๆ ว่า จิมมี่ กับรอย
จิมมี่เป็นนักล้วงกระเป๋าฝีมือดี รวมถึงเป็นขโมยด้วย ส่วนรอยนั้นเป็นนักต้มตุ๋น หลอกหล่อ ดึงดูดความสนใจ ทั้งคู่ทำงานเข้าคู่กันอย่างดี ไม่ใช่เพราะว่าความสามารถหรอก แต่เพราะจิมมี่กับรอยมีความคิดเหมือนกันว่า “สิ่งที่เราทำเป็นบททดสอบ ถ้าความระมัดระวังของเหยื่อไม่ดีพอ นั่นคือเขาไม่มีคุณสมบัติจะครอบครองทรัพย์สมบัติที่พวกเรากำลังจะขโมย” ถึงทั้งสองจะเป็นคนที่มีทัศนคติผิดเพี้ยนแบบนี้ แต่ก็ดันเป็นคนใจบุญสุญทาน และทำความดี (ค่านิยามความดีแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันหรอกเนอะ)
แล้ววันนี้ ทั้งคู่มาห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ ห้างใหญ่ยักษ์ แถมยังมีโรงพยาบาลในห้างด้วย (คิดเอาละกันว่าใหญ่ขนาดไหน) ใครไปเดินเที่ยวทั้งวัน ก็เที่ยวไม่หมด ใหญ่ขนาดมีบริการจักรยานไฟฟ้าให้เช่า แต่ทั้งสองเดินเท้าเพื่อจะมองหาเหยื่อเหมาะๆ ลงมือ
ขณะที่ทั้งสองเดินมาถึงบริเวณโถงใหญ่ ก่อนทางเข้าโซนอาหารและภัตตาคารโซนหนึ่ง มีรูปภาพขนาดใหญ่ที่ใส่กรอบงามแขวนอยู่ตรงพนัง รูปของชายชราและหญิงชราที่สิหน้ายิ้มแย้ม อภิมหาเศรษฐีที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันโออ่านี่ แต่สิ่งที่ทั้งสองสนใจ ไม่ใช่รูปใบนั้น แต่เป็นสิ่งที่อยู่ข้างล่างรูปใบนั้นต่างหาก ครอบครัวเล็กๆ ดูอบอุ่น คุณผู้ชายอ้วนตัวใหญ่ ที่กำลังอุ้มเด็กทารก กับคุณผู้หญิงสวย หุ่นดี ที่กำลังเข็นรถเข็นเด็กและพูดคุยหยอกล้อกับสามี
สิ่งที่ทำให้จิมมี่และรอยสนใจเป็นพิเศษคือเสื้อผ้าราคาแพงที่ทั้งสองสวมใส่อยู่นั่นเอง น่าแปลกที่ทั้งคู่ไม่ยักเช่ารถบริการเพื่อเดินทางในห้าง แต่กลับเดินสบายๆ ทั้งๆ ที่มีเงินมากขนาดนั้น
แต่ใครจะสนล่ะ ลาภลอยมาขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปได้หรอก
ทั้งคู่สะกดตามครอบครัวนั้นไปสักพัก อย่างที่คาดไว้ ทั้งคู่เข้าไปในศูนย์อาหาร ระหว่างทางก็มีพวกซานต้า และมาสค๊อตเข้าไปทำความรู้จักทักทายกับคุณผู้ชาย แล้วชวนเขาไปเล่นกิจกรรมตรงบูธใกล้ๆ สามีส่งลูกให้ภรรยาแสนสวยอุ้ม เธอทำท่าบุ้ยใบ้ว่าจะไปห้องน้ำ
โอกาสมาแล้ว ห้องน้ำนั้นอยู่ไม่ไกล ตามไปไม่ยาก แต่สามีจะกลับมาทันก่อนพวกเขาลงมือหรือเปล่า ระหว่างที่ทั้งคู่จับจ้องไปที่สามี ผู้คนก็เริ่มหนาแน่นขึ้น บดบังสายตาเป็นอย่างดี เป็นโอกาสดีแล้ว ทั้งคู่มองกลับไปทางห้องน้ำ คุณภรรยาหายเข้าไปในห้องน้ำเสียแล้ว แต่ว่า รถเข็นเด็กสีดำคันนั้น กลับจอดทิ้งไว้ด้านหน้าห้องน้ำ แถมยังห้อยกระเป๋าไว้อีก
“ช่างไม่รอบคอบเลยนะคุณผู้หญิง” จิมมี่พูดขึ้น พร้อมสะกิดรอย “งานนี้คงไม่มีบทให้นายออกโรงแล้วน่ะ”
“ช่างฉันเถอะ รีบๆ ไปเอากระเป๋าดีกว่าแล้วไปกัน” รอยพูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ เพราะเขามักจะชอบแสดงทักษะการหลอกล่อ การต้มตุ๋น เวลาเขาทำแบบนั้น เขาจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแพทริก เจน ไม่ก็นักมายากล (ก็อีโก้เขานั่นแหละ)
ไม่ถึงห้านาทีต่อมา ทั้งคู่ก็ข้ามมาอีกโซน พร้อมกับ รถเข็นเด็ก และกระเป๋า หากถามว่าทำไมต้องเอารถเข็นเด็กมาด้วย เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ครับ
หลังจากที่จิมมี่เดินเอาไปหวังจะปลดกระเป๋าออกจากรถ ปรากฏว่ากระเป๋าถูกตัวล๊อค ล๊อคไว้อย่างแน่นหนากับรถเข็นเด็ก แถมยังมีตัวรหัสเพื่อเปิดกระเป๋า ซึ่งกว่าจะปลดอย่างได้อย่างหนึ่งได้ คงเสียเวลามากพอที่คุณผู้ชาย และคุณผู้หญิงจะมาเจอทั้งคู่ ทั้งคู่จึงเอาทั้งรถ ทั้งกระเป๋าออกมา หวังว่าพอพ้นเขตห้างแล้วค่อยมาปลดทรัพย์ทีหลัง
“ทำไมฉันรู้สึกว่ามันง่ายแบบแปลกๆ นะ รู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้” รอยพูดขึ้น ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินหลบหนีเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
“คงเป็นเศรษฐีที่รวยมากมั้ง คนรวยหลายคนก็มักสะเพร่าอย่างนี้ล่ะ เผลอๆ เงินในนี้อาจเป็นแค่เศษสตางค์สำหรับพวกนั้นก็ได้ คิดดูสิ ทิ้งกระเป๋าไว้กับรถเข็น ลาภลอยวันคริสต์มาสยังไงล่ะ ลาภลอยไงล่ะรอย” จิมมี่พูดกันลิ้นพันจนเกือบกัดลิ้น
รอยส่ายหัว และพูดว่า “อะไรที่ได้มาง่ายๆ มันมีเสียที่ไหน ถ้ามีมันก็ต้องมีปัญหาใหญ่ตามมาแน่นอน”
“แอ๊ะ!” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นจากรถเข็นทันทีที่รอยพูดจบ ทั้งคู่มองหน้ากัน แล้วมองไปในรถเข็น
“ไม่ จริงน่าาาาา” มีเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่ในรถเข็นมาตลอดโดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว
“ผู้หญิงคนนั้นมันปล่อยเด็กทิ้งไว้ในรถเข็นอย่างนี้เนี่ยนะะะะะ!” รอยอุทาน เสียงดัง
“เฮ้ย รอย เบาๆ หน่อย เดี๋ยวเด็กก็ร้องหรอก” จิมมี่ที่อุ้มเด็กอยู่ในอ้อมแขนพูดเตือนรอย พร้อมกันหันมองไปรอบๆ ว่ามีใครมองหรือสนใจเขาทั้งสองหรือเปล่า แต่ด้วยคนมากมายที่พลุกพล่าน จึงไม่มีใครสนใจอะไร
“ฉันก็รู้นะว่านายอคติกับเรื่องนี้ แต่ช่วยใจเย็นลงสักหน่อยดีกว่าน่า เราจะเอายังไงกันดี” จิมมี่พูดพร้อมแกว่งเด็กในอ้อมแขนไปพลาง
“ก็ต้องเอาไปคืนอยู่แล้วนี่สิ แต่จะเอาไปคืนแบบไหน นี่แหละปัญหา ละแวกนั้นมีกล้องวงจรปิดหรือเปล่าก็ไม่รู้” รอยเริ่มกุมขมับทึ้งหัว ซึ่งเป็นกิริยาที่เขาทำปกติเวลาเครียด
“เฮ้ รอย! นายว่ามาสค๊อตกับซานต้ากลุ่มนั้นดูคุ้นๆ หรือเปล่า” จิมมี่พูดพลางพยักเพยิดไปทางกลุ่มคนที่แต่งชุดแฟนซี รอยเห็นและจำได้ทันทีว่า เป็นซานต้ากลุ่มเดียวที่เดินมาชวนคุณสามีไปร่วมกิจกรรม
“เดี๋ยวฉันมานะจิมมี่” พูดจบรอยก็เดินเข้าไปคุยกับกลุ่มมาสค๊อตและซานต้า
จิมมี่ซึ่งกำลังกล่อมเด็กอยู่ก็นั่งรออยู่ที่ม้านั่ง เห็นรอยกำลังพูดชี้มือชี้ไม้มาทางตนเอง มาสค๊อตและซานต้าก็มองมาทางตน พอคุยกันสักพัก ก็เห็นพวกเขาส่ายหัว แล้วเดินจากไป
รอยเดินกลับมาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไร
“เป็นไงบ้างรอย ได้อะไรหรือเปล่า” รอยส่ายหัว และบอกจิมมี่ว่า
“คราวหลัง ถ้านายเจอพวกมาสค๊อตหรือซานต้าของห้าง นายไม่ต้องไปยุ่งกับพวกนั้นนะ” จิมมี่เอียงคองงด้วยความสงสัย รอยเห็นท่าทางของจิมมี่จึงอธิบายต่อไปว่า
“พวกนั้นมีพิรุธ เหมือนปิดบังอะไรบางอย่าง ตอนถามเรื่องพ่อเด็ก และมองมาที่เด็กฉันเห็นอาการตกใจและหวาดกลัว แต่พวกนั้นกลับบอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เคยเห็น ทั้งๆ ที่น่าจะจำได้” รอยพูดเสียงค่อยเหมือนกลัวใครจะได้ยิน
“งั้นจะทำยังไงดี”
“แม้จะเสี่ยงหน่อย แต่ก็คงต้องกลับไปจุดเกิดเหตุล่ะ นายก็คงไม่อยากพรากพ่อแม่ลูกใช่ไหมล่ะ” แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับไปยังโซนภัตตาคารอีกครั้งหนึ่ง
ดูจะเป็นความโชคดี ทั้งคู่มาถึง และเห็นแม้ของเด็กน้อยอยู่ที่เดิม ท่าทางของหล่อนดูสิ้นหวังร้องห่มร้องไห้ จิมมี่เห็นจึงรีบวิ่งพร้อมกับอุ้มเด็กเข้าไปหาหล่อน
“เดี๋ยวก่อนจิมมี่” จิมมี่ที่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปต้องเบรกแบบหัวแทบคะมำ เมื่อเห็นชายร่างกำยำสองคนในเครื่องแบบ ทำหน้า ถถึง วิ่งมาทางเขา
“
แล้ว” จิมมี่ใส่เกียร์หมาวิ่งกลับมาทางรอยซึ่งเริ่มวิ่งออกตัวก่อนแล้ว พร้อมๆ กับมีเสียงแม่เด็กตะโกนสาปแช่งไล่หลัง
อย่างที่เล่าไว้ จิมมี่เป็นนักล้วงและขโมยฝีมือดี “เกียร์หมา” และ”การหลบหนีของเขา” แค่การ์ดธรรมดาไม่สามารถทำอะไรได้
เมื่อเข้าสู่ระยะปลอดภัย (ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับประจำเดือน)
“เหนื่อยชิบเป๋ง ทำไมอย่างฉันต้องมาวิ่งไปด้วยเนี่ย” รอยที่เอนหงายหน้าพิงพนักเก้าอี้บ่นพร้อมกับหอบแฮ่กๆ ทั้งๆ ที่วิ่งไม่ถึงหนึ่งในห้าของจิมมี่ เพราะความเชี่ยวชาญในการล่อหลอกและหลบสายตา
“บอกแล้วให้ออกกำลังกายบ้าง ไม่เชื่อ เป็นไงล่ะ” จิมมี่พูดไปพลางไกวรถเข็นเด็ก “เออจะว่าไป ตะกี้ได้ยินอะไรแปลกน่ะ”
“อะไรแปลกๆ?” รอยถามจิมมี่ด้วยความสงสัย
“เหมือนคุณผู้หญิงคนนั้นตะโกนว่า แกเอาสามีและลูกฉันไปไว้ที่ไหน” จิมมี่มองไปที่รถเข็นเด็ก “มันจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องนั้นหรือเปล่านะ”
“เรื่องไหนล่ะ” รอยถาม ลมหายใจยังไม่กลับเข้าสู่สภาวะปกติ
“พวกมาสค๊อตและซานต้า”
“เดี๋ยวขอฉันหายเหนื่อยก่อนนะ ตอนนี้คิดอะไรไม่ออก” พูดจบ รอยก็ตั้งหน้าตั้งตาหายใจต่อไป
เมื่อเวลาเริ่มเข้าสู่ช่วงมืด พนักงานก็มักจะเปลี่ยนกะกันเป็นธรรมดา มาสค๊อตและซานต้า ที่น่าจะมีใครมาผลัดเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ นั้น กลับมีจุดที่เปลี่ยนกะอยู่ที่เดียวกันทั้งหมด (แม้ห้างฯ จะใหญ่โตมโหฬารก็ตาม) ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลกมากสำหรับการบริหารจัดการพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ เพราะนอกจากจะเสียเวลาเดินไปเปลี่ยนกะแล้ว คนที่มารอผลัดและคนที่จะกลับ จะกระจุกตัวอัดกันในพื้นที่แคบๆ อาชญากรทั้งสองคนกำลังแอบมองหาคนที่ใช่
ถ้าจะถามว่าทำไมจู่ๆ เรื่องถึงกลายมาเป็นตามหาพ่อเด็กไปได้ มันก็มีเหตุผล (ของรอย) ดังนี้ เนื่องจากคุณผู้หญิงกำลังตกใจ ทำอะไรไม่ถูก การคุยกับเธอจึงไม่น่าใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะนอกจากอาจถูกพวกรปภ.จับเข้าซังเต (คุก) แล้ว ยังอาจจะถูกกล่าวหาว่าลักพาตัวสามี หรืออุ้มฆ่าบุคคลหายสาบสูญ และคนที่ดูยังไงก็ไม่ใช่คนดีอย่างทั้งคู่จะแก้ต่างอย่างไร ในขณะที่ถ้าไปหาคุณผู้ชาย ซึ่งน่าจะมีสติและความพร้อมรับฟังมากกว่า รวมไปถึงถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันกับคุณผู้ชาย ก็อาจเป็นการช่วยเขาไปด้วยในตัว เขาจะต้องยินดี ไม่เอาผิดที่เราพาตัวเด็กมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และเผลอๆ อาจจะมีรางวัลให้อย่างงาม
เรื่องราวมันก็เป็นเช่นนี้
จิมมี่สะพายเด็กไว้บนหลัง หลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อมและป้อนนมให้เรียบร้อย รอยได้เอารถเข็นเด็กไปซ่อนไว้ในที่เก็บของประจำ ซึ่งเป็นจุดที่ไม่เคยมีใครมาเอาของๆ เขาไปได้ (อย่างน้อยก็ขอเอารถเข็นไปขายให้ได้ราคาสักหน่อยละกัน) ส่วนกระเป๋าเงิน ก็อยู่ในกระเป๋ากางเกงรอย ถ้าคุณจะถามว่าทำไม
“ขอเป็นค่าใช้จ่ายอำนวจความสะดวกสบายในการปฏิบัติการหน่อยเถอะ” รอยเขาว่าแบบนั้น
“เด็กยังหลับดีใช่ไหม” รอยถามคู่หู สายตายังคงจับจ้องกลุ่มมาสค๊อตที่เดินไปมาชวนตาลาย
“อื้ม ถ้าทำท่าจะตื่น เดี๋ยวฉันหาทางทำให้ไม่ร้องเอง ไม่ต้องห่วง” จิมมี่ตอบ สายตาจับจ้องไปที่กลุ่มคนเบื้องหน้าเช่นกัน
“โอเค จากนี้ไปไม่ว่าทำอะไร จิมมี่ อยู่ให้ใกล้ๆ ฉันไว้นะ” ยังไม่ทันที่จิมมี่จะตอบอะไร รอยก็พุงพรวดออกไป จิมมี่วิ่งตายรอยไปติดๆ ทิศทางที่มุ่งไป มาสค๊อตตัวที่เข้าไปชวนผู้ชายพ่อของเด็ก ยังไม่ทันที่ฝั่งนั้นจะรู้ตัว ทั้งรอยและจิมมี่ก็เข้าประชิดตัวเป้าหมาย
รอยกระชากคอชุดทันที โดยไม่สนใจสายตารอบข้าง
“เอาล่ะ คราวนี้คงต้องให้นายตอบคำถามจริงๆ สักที ฉันเหนื่อยมาก และกำลังอารมณ์ไม่ดี และอย่าหวังให้ใครช่วย เพราะคนจำนวนมากที่เดินกันต้วมเตี้ยมในชุดอับๆ แบบนี้ คงมองเห็นไม่ถนัดนัก และก็คงหยิบมือถือมาถ่ายวิดีโอไม่ได้ด้วย และกว่าที่จะมีใครเรียกรปภ. เสียงที่ดังและคนที่เยอะ ก็จะสร้างความสับสนไม่น้อย ฉะนั้น ตอบมาซะ” รอยมองเข้าไปในจุดที่คิดว่าจะเป็นเบ้าตา สายตาเย็นยะเยือกเหมือนสามารถจับคนหักคอได้ทันที
“พ่อของเด็ก อยู่ที่ไหน” มาสค๊อตส่ายหัว ตอบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“เด็กอะไร เด็กที่ไหน ใคร ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” รอยจึงตะคอกใส่ว่า
“ก็พ่อของเด็กทารกที่แกชวนไปเมื่อเช้าไง เขาอยู่ที่ไหน” ทันทีที่พูดจบ รอยรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงโดยรอบ ทั้งบริเวณเงียบสงัด สายตารอบข้างจับจ้องมาที่รอยและจิมมี่ และแล้ว
“เด็กทารก....เด็กทารก....เด็กทารก.....เด็กทารก!!!!!” คนเหล่านั้นพูดคำว่าเด็กทารกงึมงำซำไปมา และถึงจุดหนึ่ง มันก็กลายเป็นเสียงตะโกนด้วยความตกใจ
“เด็กทารกกกกกก” ฝูงชนทั้งหมดแตกตื่นโกลาหล วิ่งออกไปคนละทิศคนละทาง รอยและจิมมี่ได้แต่ยื่นนิ่ง เด็กน้อยที่สะพายอยู่ก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง ยังไม่ทันทีรอยจะตั้งสติและทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงกริ่งสัญญาณเตือนก็ดัง ไฟสีแดงกระพริบไปมา รอยรีบหันเลิ่กลั่ก รปภ.กลุ่มหลายกลุ่มวิ่งมาจากหลายทิศทาง ตรงมาที่ทั้งคู่
คิดสิคิด เอาไงดี ไปทางไหนดี
ในห้วงฝันแห่งการลืม
ในวันอันวุ่นวาย ช่วงงานเทศกาลสำคัญ วันคริสต์มาส ทุกๆ คนต่างยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข และซื้อของ หาของขวัญเตรียมพร้อมสำหรับเวลาสุขสันต์ของครอบครัว ยังมีนายโจร และนักต้มตุ๋นสองคน กำลังเดินแกร่วหาเหยื่อและโอกาส เราจะต้องกล่าวถึงเขาทั้งสองอีกมาก จึงของตั้งชื่อให้ง่ายๆ ว่า จิมมี่ กับรอย
จิมมี่เป็นนักล้วงกระเป๋าฝีมือดี รวมถึงเป็นขโมยด้วย ส่วนรอยนั้นเป็นนักต้มตุ๋น หลอกหล่อ ดึงดูดความสนใจ ทั้งคู่ทำงานเข้าคู่กันอย่างดี ไม่ใช่เพราะว่าความสามารถหรอก แต่เพราะจิมมี่กับรอยมีความคิดเหมือนกันว่า “สิ่งที่เราทำเป็นบททดสอบ ถ้าความระมัดระวังของเหยื่อไม่ดีพอ นั่นคือเขาไม่มีคุณสมบัติจะครอบครองทรัพย์สมบัติที่พวกเรากำลังจะขโมย” ถึงทั้งสองจะเป็นคนที่มีทัศนคติผิดเพี้ยนแบบนี้ แต่ก็ดันเป็นคนใจบุญสุญทาน และทำความดี (ค่านิยามความดีแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันหรอกเนอะ)
แล้ววันนี้ ทั้งคู่มาห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ ห้างใหญ่ยักษ์ แถมยังมีโรงพยาบาลในห้างด้วย (คิดเอาละกันว่าใหญ่ขนาดไหน) ใครไปเดินเที่ยวทั้งวัน ก็เที่ยวไม่หมด ใหญ่ขนาดมีบริการจักรยานไฟฟ้าให้เช่า แต่ทั้งสองเดินเท้าเพื่อจะมองหาเหยื่อเหมาะๆ ลงมือ
ขณะที่ทั้งสองเดินมาถึงบริเวณโถงใหญ่ ก่อนทางเข้าโซนอาหารและภัตตาคารโซนหนึ่ง มีรูปภาพขนาดใหญ่ที่ใส่กรอบงามแขวนอยู่ตรงพนัง รูปของชายชราและหญิงชราที่สิหน้ายิ้มแย้ม อภิมหาเศรษฐีที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันโออ่านี่ แต่สิ่งที่ทั้งสองสนใจ ไม่ใช่รูปใบนั้น แต่เป็นสิ่งที่อยู่ข้างล่างรูปใบนั้นต่างหาก ครอบครัวเล็กๆ ดูอบอุ่น คุณผู้ชายอ้วนตัวใหญ่ ที่กำลังอุ้มเด็กทารก กับคุณผู้หญิงสวย หุ่นดี ที่กำลังเข็นรถเข็นเด็กและพูดคุยหยอกล้อกับสามี
สิ่งที่ทำให้จิมมี่และรอยสนใจเป็นพิเศษคือเสื้อผ้าราคาแพงที่ทั้งสองสวมใส่อยู่นั่นเอง น่าแปลกที่ทั้งคู่ไม่ยักเช่ารถบริการเพื่อเดินทางในห้าง แต่กลับเดินสบายๆ ทั้งๆ ที่มีเงินมากขนาดนั้น
แต่ใครจะสนล่ะ ลาภลอยมาขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปได้หรอก
ทั้งคู่สะกดตามครอบครัวนั้นไปสักพัก อย่างที่คาดไว้ ทั้งคู่เข้าไปในศูนย์อาหาร ระหว่างทางก็มีพวกซานต้า และมาสค๊อตเข้าไปทำความรู้จักทักทายกับคุณผู้ชาย แล้วชวนเขาไปเล่นกิจกรรมตรงบูธใกล้ๆ สามีส่งลูกให้ภรรยาแสนสวยอุ้ม เธอทำท่าบุ้ยใบ้ว่าจะไปห้องน้ำ
โอกาสมาแล้ว ห้องน้ำนั้นอยู่ไม่ไกล ตามไปไม่ยาก แต่สามีจะกลับมาทันก่อนพวกเขาลงมือหรือเปล่า ระหว่างที่ทั้งคู่จับจ้องไปที่สามี ผู้คนก็เริ่มหนาแน่นขึ้น บดบังสายตาเป็นอย่างดี เป็นโอกาสดีแล้ว ทั้งคู่มองกลับไปทางห้องน้ำ คุณภรรยาหายเข้าไปในห้องน้ำเสียแล้ว แต่ว่า รถเข็นเด็กสีดำคันนั้น กลับจอดทิ้งไว้ด้านหน้าห้องน้ำ แถมยังห้อยกระเป๋าไว้อีก
“ช่างไม่รอบคอบเลยนะคุณผู้หญิง” จิมมี่พูดขึ้น พร้อมสะกิดรอย “งานนี้คงไม่มีบทให้นายออกโรงแล้วน่ะ”
“ช่างฉันเถอะ รีบๆ ไปเอากระเป๋าดีกว่าแล้วไปกัน” รอยพูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ เพราะเขามักจะชอบแสดงทักษะการหลอกล่อ การต้มตุ๋น เวลาเขาทำแบบนั้น เขาจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแพทริก เจน ไม่ก็นักมายากล (ก็อีโก้เขานั่นแหละ)
ไม่ถึงห้านาทีต่อมา ทั้งคู่ก็ข้ามมาอีกโซน พร้อมกับ รถเข็นเด็ก และกระเป๋า หากถามว่าทำไมต้องเอารถเข็นเด็กมาด้วย เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ครับ
หลังจากที่จิมมี่เดินเอาไปหวังจะปลดกระเป๋าออกจากรถ ปรากฏว่ากระเป๋าถูกตัวล๊อค ล๊อคไว้อย่างแน่นหนากับรถเข็นเด็ก แถมยังมีตัวรหัสเพื่อเปิดกระเป๋า ซึ่งกว่าจะปลดอย่างได้อย่างหนึ่งได้ คงเสียเวลามากพอที่คุณผู้ชาย และคุณผู้หญิงจะมาเจอทั้งคู่ ทั้งคู่จึงเอาทั้งรถ ทั้งกระเป๋าออกมา หวังว่าพอพ้นเขตห้างแล้วค่อยมาปลดทรัพย์ทีหลัง
“ทำไมฉันรู้สึกว่ามันง่ายแบบแปลกๆ นะ รู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้” รอยพูดขึ้น ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินหลบหนีเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
“คงเป็นเศรษฐีที่รวยมากมั้ง คนรวยหลายคนก็มักสะเพร่าอย่างนี้ล่ะ เผลอๆ เงินในนี้อาจเป็นแค่เศษสตางค์สำหรับพวกนั้นก็ได้ คิดดูสิ ทิ้งกระเป๋าไว้กับรถเข็น ลาภลอยวันคริสต์มาสยังไงล่ะ ลาภลอยไงล่ะรอย” จิมมี่พูดกันลิ้นพันจนเกือบกัดลิ้น
รอยส่ายหัว และพูดว่า “อะไรที่ได้มาง่ายๆ มันมีเสียที่ไหน ถ้ามีมันก็ต้องมีปัญหาใหญ่ตามมาแน่นอน”
“แอ๊ะ!” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นจากรถเข็นทันทีที่รอยพูดจบ ทั้งคู่มองหน้ากัน แล้วมองไปในรถเข็น
“ไม่ จริงน่าาาาา” มีเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่ในรถเข็นมาตลอดโดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว
“ผู้หญิงคนนั้นมันปล่อยเด็กทิ้งไว้ในรถเข็นอย่างนี้เนี่ยนะะะะะ!” รอยอุทาน เสียงดัง
“เฮ้ย รอย เบาๆ หน่อย เดี๋ยวเด็กก็ร้องหรอก” จิมมี่ที่อุ้มเด็กอยู่ในอ้อมแขนพูดเตือนรอย พร้อมกันหันมองไปรอบๆ ว่ามีใครมองหรือสนใจเขาทั้งสองหรือเปล่า แต่ด้วยคนมากมายที่พลุกพล่าน จึงไม่มีใครสนใจอะไร
“ฉันก็รู้นะว่านายอคติกับเรื่องนี้ แต่ช่วยใจเย็นลงสักหน่อยดีกว่าน่า เราจะเอายังไงกันดี” จิมมี่พูดพร้อมแกว่งเด็กในอ้อมแขนไปพลาง
“ก็ต้องเอาไปคืนอยู่แล้วนี่สิ แต่จะเอาไปคืนแบบไหน นี่แหละปัญหา ละแวกนั้นมีกล้องวงจรปิดหรือเปล่าก็ไม่รู้” รอยเริ่มกุมขมับทึ้งหัว ซึ่งเป็นกิริยาที่เขาทำปกติเวลาเครียด
“เฮ้ รอย! นายว่ามาสค๊อตกับซานต้ากลุ่มนั้นดูคุ้นๆ หรือเปล่า” จิมมี่พูดพลางพยักเพยิดไปทางกลุ่มคนที่แต่งชุดแฟนซี รอยเห็นและจำได้ทันทีว่า เป็นซานต้ากลุ่มเดียวที่เดินมาชวนคุณสามีไปร่วมกิจกรรม
“เดี๋ยวฉันมานะจิมมี่” พูดจบรอยก็เดินเข้าไปคุยกับกลุ่มมาสค๊อตและซานต้า
จิมมี่ซึ่งกำลังกล่อมเด็กอยู่ก็นั่งรออยู่ที่ม้านั่ง เห็นรอยกำลังพูดชี้มือชี้ไม้มาทางตนเอง มาสค๊อตและซานต้าก็มองมาทางตน พอคุยกันสักพัก ก็เห็นพวกเขาส่ายหัว แล้วเดินจากไป
รอยเดินกลับมาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไร
“เป็นไงบ้างรอย ได้อะไรหรือเปล่า” รอยส่ายหัว และบอกจิมมี่ว่า
“คราวหลัง ถ้านายเจอพวกมาสค๊อตหรือซานต้าของห้าง นายไม่ต้องไปยุ่งกับพวกนั้นนะ” จิมมี่เอียงคองงด้วยความสงสัย รอยเห็นท่าทางของจิมมี่จึงอธิบายต่อไปว่า
“พวกนั้นมีพิรุธ เหมือนปิดบังอะไรบางอย่าง ตอนถามเรื่องพ่อเด็ก และมองมาที่เด็กฉันเห็นอาการตกใจและหวาดกลัว แต่พวกนั้นกลับบอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เคยเห็น ทั้งๆ ที่น่าจะจำได้” รอยพูดเสียงค่อยเหมือนกลัวใครจะได้ยิน
“งั้นจะทำยังไงดี”
“แม้จะเสี่ยงหน่อย แต่ก็คงต้องกลับไปจุดเกิดเหตุล่ะ นายก็คงไม่อยากพรากพ่อแม่ลูกใช่ไหมล่ะ” แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับไปยังโซนภัตตาคารอีกครั้งหนึ่ง
ดูจะเป็นความโชคดี ทั้งคู่มาถึง และเห็นแม้ของเด็กน้อยอยู่ที่เดิม ท่าทางของหล่อนดูสิ้นหวังร้องห่มร้องไห้ จิมมี่เห็นจึงรีบวิ่งพร้อมกับอุ้มเด็กเข้าไปหาหล่อน
“เดี๋ยวก่อนจิมมี่” จิมมี่ที่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปต้องเบรกแบบหัวแทบคะมำ เมื่อเห็นชายร่างกำยำสองคนในเครื่องแบบ ทำหน้า ถถึง วิ่งมาทางเขา
“แล้ว” จิมมี่ใส่เกียร์หมาวิ่งกลับมาทางรอยซึ่งเริ่มวิ่งออกตัวก่อนแล้ว พร้อมๆ กับมีเสียงแม่เด็กตะโกนสาปแช่งไล่หลัง
อย่างที่เล่าไว้ จิมมี่เป็นนักล้วงและขโมยฝีมือดี “เกียร์หมา” และ”การหลบหนีของเขา” แค่การ์ดธรรมดาไม่สามารถทำอะไรได้
เมื่อเข้าสู่ระยะปลอดภัย (ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับประจำเดือน)
“เหนื่อยชิบเป๋ง ทำไมอย่างฉันต้องมาวิ่งไปด้วยเนี่ย” รอยที่เอนหงายหน้าพิงพนักเก้าอี้บ่นพร้อมกับหอบแฮ่กๆ ทั้งๆ ที่วิ่งไม่ถึงหนึ่งในห้าของจิมมี่ เพราะความเชี่ยวชาญในการล่อหลอกและหลบสายตา
“บอกแล้วให้ออกกำลังกายบ้าง ไม่เชื่อ เป็นไงล่ะ” จิมมี่พูดไปพลางไกวรถเข็นเด็ก “เออจะว่าไป ตะกี้ได้ยินอะไรแปลกน่ะ”
“อะไรแปลกๆ?” รอยถามจิมมี่ด้วยความสงสัย
“เหมือนคุณผู้หญิงคนนั้นตะโกนว่า แกเอาสามีและลูกฉันไปไว้ที่ไหน” จิมมี่มองไปที่รถเข็นเด็ก “มันจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องนั้นหรือเปล่านะ”
“เรื่องไหนล่ะ” รอยถาม ลมหายใจยังไม่กลับเข้าสู่สภาวะปกติ
“พวกมาสค๊อตและซานต้า”
“เดี๋ยวขอฉันหายเหนื่อยก่อนนะ ตอนนี้คิดอะไรไม่ออก” พูดจบ รอยก็ตั้งหน้าตั้งตาหายใจต่อไป
เมื่อเวลาเริ่มเข้าสู่ช่วงมืด พนักงานก็มักจะเปลี่ยนกะกันเป็นธรรมดา มาสค๊อตและซานต้า ที่น่าจะมีใครมาผลัดเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ นั้น กลับมีจุดที่เปลี่ยนกะอยู่ที่เดียวกันทั้งหมด (แม้ห้างฯ จะใหญ่โตมโหฬารก็ตาม) ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลกมากสำหรับการบริหารจัดการพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ เพราะนอกจากจะเสียเวลาเดินไปเปลี่ยนกะแล้ว คนที่มารอผลัดและคนที่จะกลับ จะกระจุกตัวอัดกันในพื้นที่แคบๆ อาชญากรทั้งสองคนกำลังแอบมองหาคนที่ใช่
ถ้าจะถามว่าทำไมจู่ๆ เรื่องถึงกลายมาเป็นตามหาพ่อเด็กไปได้ มันก็มีเหตุผล (ของรอย) ดังนี้ เนื่องจากคุณผู้หญิงกำลังตกใจ ทำอะไรไม่ถูก การคุยกับเธอจึงไม่น่าใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะนอกจากอาจถูกพวกรปภ.จับเข้าซังเต (คุก) แล้ว ยังอาจจะถูกกล่าวหาว่าลักพาตัวสามี หรืออุ้มฆ่าบุคคลหายสาบสูญ และคนที่ดูยังไงก็ไม่ใช่คนดีอย่างทั้งคู่จะแก้ต่างอย่างไร ในขณะที่ถ้าไปหาคุณผู้ชาย ซึ่งน่าจะมีสติและความพร้อมรับฟังมากกว่า รวมไปถึงถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันกับคุณผู้ชาย ก็อาจเป็นการช่วยเขาไปด้วยในตัว เขาจะต้องยินดี ไม่เอาผิดที่เราพาตัวเด็กมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และเผลอๆ อาจจะมีรางวัลให้อย่างงาม
เรื่องราวมันก็เป็นเช่นนี้
จิมมี่สะพายเด็กไว้บนหลัง หลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อมและป้อนนมให้เรียบร้อย รอยได้เอารถเข็นเด็กไปซ่อนไว้ในที่เก็บของประจำ ซึ่งเป็นจุดที่ไม่เคยมีใครมาเอาของๆ เขาไปได้ (อย่างน้อยก็ขอเอารถเข็นไปขายให้ได้ราคาสักหน่อยละกัน) ส่วนกระเป๋าเงิน ก็อยู่ในกระเป๋ากางเกงรอย ถ้าคุณจะถามว่าทำไม
“ขอเป็นค่าใช้จ่ายอำนวจความสะดวกสบายในการปฏิบัติการหน่อยเถอะ” รอยเขาว่าแบบนั้น
“เด็กยังหลับดีใช่ไหม” รอยถามคู่หู สายตายังคงจับจ้องกลุ่มมาสค๊อตที่เดินไปมาชวนตาลาย
“อื้ม ถ้าทำท่าจะตื่น เดี๋ยวฉันหาทางทำให้ไม่ร้องเอง ไม่ต้องห่วง” จิมมี่ตอบ สายตาจับจ้องไปที่กลุ่มคนเบื้องหน้าเช่นกัน
“โอเค จากนี้ไปไม่ว่าทำอะไร จิมมี่ อยู่ให้ใกล้ๆ ฉันไว้นะ” ยังไม่ทันที่จิมมี่จะตอบอะไร รอยก็พุงพรวดออกไป จิมมี่วิ่งตายรอยไปติดๆ ทิศทางที่มุ่งไป มาสค๊อตตัวที่เข้าไปชวนผู้ชายพ่อของเด็ก ยังไม่ทันที่ฝั่งนั้นจะรู้ตัว ทั้งรอยและจิมมี่ก็เข้าประชิดตัวเป้าหมาย
รอยกระชากคอชุดทันที โดยไม่สนใจสายตารอบข้าง
“เอาล่ะ คราวนี้คงต้องให้นายตอบคำถามจริงๆ สักที ฉันเหนื่อยมาก และกำลังอารมณ์ไม่ดี และอย่าหวังให้ใครช่วย เพราะคนจำนวนมากที่เดินกันต้วมเตี้ยมในชุดอับๆ แบบนี้ คงมองเห็นไม่ถนัดนัก และก็คงหยิบมือถือมาถ่ายวิดีโอไม่ได้ด้วย และกว่าที่จะมีใครเรียกรปภ. เสียงที่ดังและคนที่เยอะ ก็จะสร้างความสับสนไม่น้อย ฉะนั้น ตอบมาซะ” รอยมองเข้าไปในจุดที่คิดว่าจะเป็นเบ้าตา สายตาเย็นยะเยือกเหมือนสามารถจับคนหักคอได้ทันที
“พ่อของเด็ก อยู่ที่ไหน” มาสค๊อตส่ายหัว ตอบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“เด็กอะไร เด็กที่ไหน ใคร ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” รอยจึงตะคอกใส่ว่า
“ก็พ่อของเด็กทารกที่แกชวนไปเมื่อเช้าไง เขาอยู่ที่ไหน” ทันทีที่พูดจบ รอยรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงโดยรอบ ทั้งบริเวณเงียบสงัด สายตารอบข้างจับจ้องมาที่รอยและจิมมี่ และแล้ว
“เด็กทารก....เด็กทารก....เด็กทารก.....เด็กทารก!!!!!” คนเหล่านั้นพูดคำว่าเด็กทารกงึมงำซำไปมา และถึงจุดหนึ่ง มันก็กลายเป็นเสียงตะโกนด้วยความตกใจ
“เด็กทารกกกกกก” ฝูงชนทั้งหมดแตกตื่นโกลาหล วิ่งออกไปคนละทิศคนละทาง รอยและจิมมี่ได้แต่ยื่นนิ่ง เด็กน้อยที่สะพายอยู่ก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง ยังไม่ทันทีรอยจะตั้งสติและทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงกริ่งสัญญาณเตือนก็ดัง ไฟสีแดงกระพริบไปมา รอยรีบหันเลิ่กลั่ก รปภ.กลุ่มหลายกลุ่มวิ่งมาจากหลายทิศทาง ตรงมาที่ทั้งคู่
คิดสิคิด เอาไงดี ไปทางไหนดี