ถ้าชอบ กดไลท์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะจ๊ะ หรือติดตามรีวิวใหม่ๆได้ที่
https://www.facebook.com/TickerCollector
แอดดูจบแล้วไม่สามารถให้คะแนนได้จริงๆ มันดูแล้วรู้สึกมีคุณค่าทางจิตใจมาก มีความหมายต่อชีวิตมนุษย์คนนึงมากเหลือเกิน เดินออกจากโรงหนังมาแล้วเหมือนตระหนักอะไรได้สักอย่าง รู้สึกใจเย็น รู้สึกมีสติมากขึ้น อารมณ์มันเหมือนอยากยืนนิ่งๆมองผู้คนและพิจารณาชีวิตตัวเอง ว่าทุกวันนี้เราทำอะไรอยู่ แล้วพยายามกับมันมากแค่ไหน แอดอยากให้ทุกคนที่อ่านรีวิวนี้ ไปดูแล้วตัดสินใจด้วยความรู้สึกของคุณ อยากให้คุณตั้งใจดูอย่างมาก ดูแล้วรู้สึกไปกับตัวละคร พอคุณดูจบคุณตัดสินใจเองเลยว่ารู้สึกอย่างไร ...
***ความโชคดีของแอดคือคนในโรงมีแค่ 11 คน (คนน้อยจนแอดนับคนได้) มันเลยทำให้การดูหนังมีสมาธิกับหนังได้เต็ม 100% และอินไปกับหนังได้ครบรสชาติ สำหรับแอดคือหนังเรื่องนี้มีคุณค่ามากเกินกว่าจะตีด้วยตัวเลข 1ถึง10 หรือ 1ถึง100 ก็ตาม แอดขอเก็บให้เป็นหนังที่ส่งผลต่อความรู้สึกของแอดเรื่องนึงเลยละกัน***
หนังดีมาก ... แต่รอบฉายน้อย โดน Thor แย่งรอบฉายไปหมด
เริ่มเรื่องมาก็ดูธรรมดาไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่หลังจากประมาณ 30 นาทีเป็นต้นไป เล่นกับความรู้สึกล้วนๆ มี 4 ฉากที่แอดน้ำตาไหล มี 2 ฉาก ที่เกือบน้ำตาไหล (เพราะหนังมันเล่นกับความรู้สึกคนดู แล้วแอดอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้) มีฉากขำอยู่บ้างแต่มันไม่ใช่ความขำที่สนุกสนาน เป็นขำแบบแห้งๆอารมณ์แบบขำปลอบใจตัวเอง มันเป็นหนังชีวิตที่สร้างจากชีวิตจริงของชายที่ชื่อ เจฟฟ์ โบว์แมน ผู้ชายที่สูญเสียขาทั้ง 2 ข้างไปจากเหตุการณ์วางระเบิดในการแข่งขันบอสตันมาราธอนปี 2013 ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่แก่ชาวบอสตัน และเป็นแรงบันดาลใจดีดีให้กับคนทั่วโลก บางฉากในหนังเหมือนจะไม่มีอะไรเลยนะ มีแค่คน 2 คนนั่งพูดกันถึงเรื่องของตัวเอง แต่มันสามารถเปลี่ยนความคิดของคนๆหนึ่งไปเลยอะ แต่ใครนั่งคุยกันไปตามดูกันได้ในโรงภาพยนตร์นะ หนังไม่ยืดนะประทับใจยันฉากสุดท้ายของเรื่อง
มีฉากเด็ดในหนังนี้ด้วยนะ "แอดขอยกฉากเถียงกันในรถ ให้เป็นฉากเด็ดของหนังเรื่องนี้" เพราะมันสะเทือนใจโคตรๆ
แอดดูแล้วไม่ได้มีความรู้สึกอยากได้กำลังใจหรือมีกำลังใจอะไรเทือกๆนั้น แต่กลับเป็นความรู้สึก เศร้า เหงา อิน ซึ้ง ขัดใจ หงุดหงิดและให้กำลังใจ เจฟฟ์ โบว์แมนในเรื่องมากกว่า (ถ้าสงสัยมีขัดใจหรือหงุดหงิดด้วยหรอ ถ้าไปดูจะรู้ว่าขัดใจตรงไหน แล้วหงุดหงิดใคร) Jake Gyllenhaal เล่นได้โคตรของโคตรดี ถ่ายทอดอารมณ์ตัวละครได้แบบอินสุดๆ สีหน้า ท่าทาง ความรู้สึก เหมือนเขาเสียขาไปจริงๆอะ ความเจ็บปวดที่เขาแสดงออกมามันรู้สึกได้ว่าจริง ไม่ได้รู้สึกว่าแสดงหนังอยู่
ลองนึกดูนะ ถ้าวันนึงคุณไม่มีขา! ตื่นมาแล้วคุณเหลือแค่ตัวถึงหัวเข่า คุณกลายเป็นคนพิการ แต่กลับมีคนบอกคุณว่าดีใจด้วยคุณคือฮีโร่ของเขา คุณคือฮีโร่ของชาวเมือง มีแต่คนแห่ชื่นชมคุณ มีแต่คนที่อยากถามนู่นนี่นั่นเต็มไปหมด แต่ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของคุณจริงๆเลย คุณจะรู้สึกอย่างไร? (เป็นแอดคงเจ็บปวดมาก)
เมื่อคุณถึงจุดที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิต ชีวิตคุณคงรู้สึกว่างเปล่า เคว้งคว้าง ท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่อยากอยู่ ใช้ชีวิตสังกะตายหรือทำตัวโง่ๆไปวันๆ หรือหนักสุดเลยคือคุณกลายเป็นโรคซึมเศร้า ต่อหน้าคุณยิ้มแย้มเหมือนคุณไม่เป็นไร คุณชูมือเย้ๆ คุณโอเค คุณแอมฟาย แต่พอคุณกลับมาห้องคุณรู้สึกว่าคุณไม่เหลือใคร คุณไร้ค่า คุณเหนื่อย คุณเป็นภาระให้กับคนอื่น แต่จริงๆคุณก็แค่ต้องการความรัก ความเข้าใจจากคนที่คุณรัก ให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างใช่ไหมหล่ะ แล้วถ้าความหวังดีเหล่านั้นกลับทำร้ายคุณ คุณจะทำอย่างไร?
ถ้าคุณเป็น เจฟฟ์ โบว์แมน คุณจะทนคำพูดต่างๆนาๆเหล่านั้นได้ไหม? คุณจะทนแรงกดดันได้ขนาดไหน? แล้วไหนจะเรื่องความคาดหวังในตัวคุณอีกละ คุณจะล้มหรือคุณจะลุก แต่เจฟฟ์ เลือกที่จะล้มแล้วลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง
ถ้าอ่านจบถึงตรงนี้แอดขอบคุณมากเลยนะ มันรู้สึกประทับใจมากจนบรรยายออกมาไม่ถูก แอดอยากให้ทุกคนได้ดูเรื่องนี้มากจริงๆ
[CR] รีวิวหนัง Stronger (2017) หัวใจไม่แพ้ หนังที่ดูแล้วจะไม่ให้คะแนน
แอดดูจบแล้วไม่สามารถให้คะแนนได้จริงๆ มันดูแล้วรู้สึกมีคุณค่าทางจิตใจมาก มีความหมายต่อชีวิตมนุษย์คนนึงมากเหลือเกิน เดินออกจากโรงหนังมาแล้วเหมือนตระหนักอะไรได้สักอย่าง รู้สึกใจเย็น รู้สึกมีสติมากขึ้น อารมณ์มันเหมือนอยากยืนนิ่งๆมองผู้คนและพิจารณาชีวิตตัวเอง ว่าทุกวันนี้เราทำอะไรอยู่ แล้วพยายามกับมันมากแค่ไหน แอดอยากให้ทุกคนที่อ่านรีวิวนี้ ไปดูแล้วตัดสินใจด้วยความรู้สึกของคุณ อยากให้คุณตั้งใจดูอย่างมาก ดูแล้วรู้สึกไปกับตัวละคร พอคุณดูจบคุณตัดสินใจเองเลยว่ารู้สึกอย่างไร ...
***ความโชคดีของแอดคือคนในโรงมีแค่ 11 คน (คนน้อยจนแอดนับคนได้) มันเลยทำให้การดูหนังมีสมาธิกับหนังได้เต็ม 100% และอินไปกับหนังได้ครบรสชาติ สำหรับแอดคือหนังเรื่องนี้มีคุณค่ามากเกินกว่าจะตีด้วยตัวเลข 1ถึง10 หรือ 1ถึง100 ก็ตาม แอดขอเก็บให้เป็นหนังที่ส่งผลต่อความรู้สึกของแอดเรื่องนึงเลยละกัน***
หนังดีมาก ... แต่รอบฉายน้อย โดน Thor แย่งรอบฉายไปหมด
เริ่มเรื่องมาก็ดูธรรมดาไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่หลังจากประมาณ 30 นาทีเป็นต้นไป เล่นกับความรู้สึกล้วนๆ มี 4 ฉากที่แอดน้ำตาไหล มี 2 ฉาก ที่เกือบน้ำตาไหล (เพราะหนังมันเล่นกับความรู้สึกคนดู แล้วแอดอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้) มีฉากขำอยู่บ้างแต่มันไม่ใช่ความขำที่สนุกสนาน เป็นขำแบบแห้งๆอารมณ์แบบขำปลอบใจตัวเอง มันเป็นหนังชีวิตที่สร้างจากชีวิตจริงของชายที่ชื่อ เจฟฟ์ โบว์แมน ผู้ชายที่สูญเสียขาทั้ง 2 ข้างไปจากเหตุการณ์วางระเบิดในการแข่งขันบอสตันมาราธอนปี 2013 ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่แก่ชาวบอสตัน และเป็นแรงบันดาลใจดีดีให้กับคนทั่วโลก บางฉากในหนังเหมือนจะไม่มีอะไรเลยนะ มีแค่คน 2 คนนั่งพูดกันถึงเรื่องของตัวเอง แต่มันสามารถเปลี่ยนความคิดของคนๆหนึ่งไปเลยอะ แต่ใครนั่งคุยกันไปตามดูกันได้ในโรงภาพยนตร์นะ หนังไม่ยืดนะประทับใจยันฉากสุดท้ายของเรื่อง
มีฉากเด็ดในหนังนี้ด้วยนะ "แอดขอยกฉากเถียงกันในรถ ให้เป็นฉากเด็ดของหนังเรื่องนี้" เพราะมันสะเทือนใจโคตรๆ
แอดดูแล้วไม่ได้มีความรู้สึกอยากได้กำลังใจหรือมีกำลังใจอะไรเทือกๆนั้น แต่กลับเป็นความรู้สึก เศร้า เหงา อิน ซึ้ง ขัดใจ หงุดหงิดและให้กำลังใจ เจฟฟ์ โบว์แมนในเรื่องมากกว่า (ถ้าสงสัยมีขัดใจหรือหงุดหงิดด้วยหรอ ถ้าไปดูจะรู้ว่าขัดใจตรงไหน แล้วหงุดหงิดใคร) Jake Gyllenhaal เล่นได้โคตรของโคตรดี ถ่ายทอดอารมณ์ตัวละครได้แบบอินสุดๆ สีหน้า ท่าทาง ความรู้สึก เหมือนเขาเสียขาไปจริงๆอะ ความเจ็บปวดที่เขาแสดงออกมามันรู้สึกได้ว่าจริง ไม่ได้รู้สึกว่าแสดงหนังอยู่
ลองนึกดูนะ ถ้าวันนึงคุณไม่มีขา! ตื่นมาแล้วคุณเหลือแค่ตัวถึงหัวเข่า คุณกลายเป็นคนพิการ แต่กลับมีคนบอกคุณว่าดีใจด้วยคุณคือฮีโร่ของเขา คุณคือฮีโร่ของชาวเมือง มีแต่คนแห่ชื่นชมคุณ มีแต่คนที่อยากถามนู่นนี่นั่นเต็มไปหมด แต่ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของคุณจริงๆเลย คุณจะรู้สึกอย่างไร? (เป็นแอดคงเจ็บปวดมาก)
เมื่อคุณถึงจุดที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิต ชีวิตคุณคงรู้สึกว่างเปล่า เคว้งคว้าง ท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่อยากอยู่ ใช้ชีวิตสังกะตายหรือทำตัวโง่ๆไปวันๆ หรือหนักสุดเลยคือคุณกลายเป็นโรคซึมเศร้า ต่อหน้าคุณยิ้มแย้มเหมือนคุณไม่เป็นไร คุณชูมือเย้ๆ คุณโอเค คุณแอมฟาย แต่พอคุณกลับมาห้องคุณรู้สึกว่าคุณไม่เหลือใคร คุณไร้ค่า คุณเหนื่อย คุณเป็นภาระให้กับคนอื่น แต่จริงๆคุณก็แค่ต้องการความรัก ความเข้าใจจากคนที่คุณรัก ให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างใช่ไหมหล่ะ แล้วถ้าความหวังดีเหล่านั้นกลับทำร้ายคุณ คุณจะทำอย่างไร?
ถ้าคุณเป็น เจฟฟ์ โบว์แมน คุณจะทนคำพูดต่างๆนาๆเหล่านั้นได้ไหม? คุณจะทนแรงกดดันได้ขนาดไหน? แล้วไหนจะเรื่องความคาดหวังในตัวคุณอีกละ คุณจะล้มหรือคุณจะลุก แต่เจฟฟ์ เลือกที่จะล้มแล้วลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง
ถ้าอ่านจบถึงตรงนี้แอดขอบคุณมากเลยนะ มันรู้สึกประทับใจมากจนบรรยายออกมาไม่ถูก แอดอยากให้ทุกคนได้ดูเรื่องนี้มากจริงๆ