สวัสดีพร้อมลมหนาวค่ะ : )
อากาศช่วงปลายปีแบบนี้มันชวนให้อยากเก็บกระเป๋าออกเดินทางทู๊กที
ติดที่ว่าปีนี้ เดินไปกดตังค์ในบัญชีแล้วโดนเตือนกลับมาว่า
"ยอดเงินคงเหลือของคุณ ไม่เพียงพอสำหรับสนองกิเลสของคุณในขณะนี้"
เลยก็ต้องเดินคอตกออกมานั่งดูรูปภาพเก่าๆ แล้วมโนเอา ; p
แล้วก็ดันมาสะดุดกับไฟล์เดอร์ Japan ตอนที่ไปนิกโก ช่วงต้นฤดูหนาว
เลยอยากเอาประสบการณ์ และความทรงจำมาแบ่งปันเป็นไอเดีย
เผื่อใครอยากไปสัมผัสบรรยากาศเมืองมรดกโลกช่วงต้นหนาวแบบเราบ้าง ^^
ตอนนั้นเราเดินทางจากโตเกียวไปเที่ยวแบบเช้า - เย็นกลับค่ะ
เลือกโซนธรรมชาติเพราะเป็นสายธรรมชาติ รักน้ำ รักปลา รักซากุระ (เอ้ย)
โดยช่วงที่เราไปเป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม
อันที่จริง ใครๆ เขาก็ไปเที่ยวนิกโกกันช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีใช่ไหมคะ
แต่ตอนที่เราไป ปรากฎว่ายังพอมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ดูอยู่บ้างแถวๆ สถานี
แต่พอนั่งรถบัสขึ้นไปถึงโซนธรรมชาติด้านบนเท่านั้นละ หิมะตกจ้าา
ทริปนี้ก็เลยได้เที่ยวแบบ 2 ฟีลเลย ซึ่งถึงแม้จะเจอหิมะตกจนหนาวมือสั่น
บรรยากาศขมุกขมัว เที่ยวได้ไม่สะใจเหมือนช่วงฤดูอื่นที่ฟ้าใสๆ
แต่นี่กลับเป็นอีกหนึ่งทริปที่มีความทรงจำและประสบการณ์อยู่ในนั้นมากมายเลย
บางครั้ง สิ่งที่สำคัญสำหรับการเดินทาง อาจไม่ใช่จุดหมายปลายทาง หรือระหว่างทาง
แต่อาจเป็นเพียง "ความรู้สึก" และ "ความทรงจำ" ณ ขณะนั้นก็ได้ .. จริงมั้ยคะ : )
เพ้อพกมาหลายบรรทัด ไปเที่ยว "นิกโก" โซนธรรมชาติ ช่วงต้นหนาวปลายปีแบบนี้ด้วยกันดีกว่าค่า
รู้จักเมืองนิกโก (Nikko) กันสักเล็กน้อย
❤️ นิกโก เป็นเมืองที่อัดแน่นด้วยคุณภาพคับแก้ว ตั้งอยู่ในจังหวัดโทะชิงิ
ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของโตเกียว ห่างไปประมาณ 140 กิโลเมตรเท่านั้นเองค่ะ
ฉะนั้นคนที่มาเที่ยวโตเกียวจึงนิยมจัดเป็น One Day Trip ไปเที่ยวแบบเช้า เย็นกลับ
แต่นิกโกไม่ใช่เมืองที่เล็กถึงขั้นเที่ยวครบจบในหนึ่งวัน เพราะถูกแบ่งเป็นสองโซน
คือ โซนมรดกโลก และโซนธรรมชาติ ถ้าอยากเที่ยวให้ครบ ควรนอนค้างสักคืนน่าจะดีกว่า
แต่ถ้ามีเวลาไม่มาก อยากเที่ยวแค่หนึ่งวัน ก็ควรเลือกเที่ยวเอาสักโซนค่ะ
เพราะถ้าจะอัดทั้งสองโซนภายในวันเดียว เราว่าน่าจะเหนื่อยพอตัวเลย
แล้วก็อาจจะกลายเป็นชะโงกทัวร์ไปโดยปริยาย จะทำให้เที่ยวได้ไม่เต็มอิ่มเอาค่า
❤️ นิกโก ถือได้ว่าเป็นเมืองมรดกโลก เพราะอัดแน่นด้วยสถานที่สวยงามศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก คนญี่ปุ่นนิยามเมืองนิกโกว่า “Nikko is Nippon”
ซึ่งหมายความตรงตัวเลยว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเมืองที่แทนนิยาม “ความเป็นญี่ปุ่น” ได้อย่างตรงตัวที่สุดแล้ว
ฉะนั้นถ้าอยากสัมผัสกลิ่นอาทิตย์อุทัยอย่างแท้จริง เราว่าควรหาเวลาไปสัมผัสเมืองนิกโกสักครั้งค่ะ
❤️ ทริปนี้ เราตัดสินใจไปเที่ยวโซนธรรมชาติค่ะ ซึ่งอยู่บนภูเขา ต้องนั่งรถบัสขึ้นไปสูงและเสียวไส้พอสมควร
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในโซนนี้ คือ น้ำตกเคะงน (Kegon Falls) และทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji)
ซึ่งความจริงแล้วจะสวยงามมากช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่เราไปตอนที่เลยช่วงพีคมาแล้ว ใบไม้ร่วงไปหมดแล้ว
เลยมีโอกาสได้เจอหิมะตกแทน ซึ่งเรากลับรู้สึกว่ามันก็สวยและได้ฟีลไปอีกแบบนะ ^^
วางแผนการเดินทาง และการใช้พาส
การเดินทางไปนิกโกจากโตเกียวสามารถเลือกได้หลายทาง โดยอาจต้องอิงจากการเลือกใช้พาสด้วยค่ะ
หลังจากนั่งรถไฟถึงเมืองนิกโกแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนไปใช้บริการรถบัสในการเดินทางไปยังจุดหมายตามโซนต่างๆ
ส่วนจะเลือกเดินทางไปนิกโกด้วยวิธีไหน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคนเลยค่า
เนื่องจากเราพักย่าน Ueno ฉะนั้นวิธีการด้านล่างนี้จะตั้งต้นที่สถานี Ueno น้า
1. นั่งรถไฟ Shinkansen Yamabiko จากสถานี JR Ueno ลงสถานี JR Utsunomiya
ต่อรถไฟสาย JR Nikko Line ลงสถานี JR Nikko จากนั้นต่อรถบัสไปเที่ยวต่อตามโซนที่ต้องการ
ใช้เวลา : 1 ชั่วโมง 40 นาที
ค่าเดินทาง : ไม่จองที่นั่งชินคันเซ็น 4,850 เยน / จองที่นั่ง 5,370 เยน
เหมาะสำหรับ : คนที่มี JR Pass เพราะค่าชินคันเซ็นไป - กลับ ค่อนข้างแพงเลยทีเดียว
สำหรับใครที่ไม่มี JR Pass ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ อาจพิจารณาในการซื้อ JR Tokyo Wide Pass 3 วัน
ราคา 10,000 เยน แทนก็ได้ค่ะ พาสสามารถใช้ขึ้นรถไฟ JR (รวมชินคันเซ็น) ในเขตรอบๆ โตเกียว
รวมถึงในโตเกียวได้ไม่จำกัดเที่ยวเป็นเวลา 3 วัน สังเกตค่าเดินทางไป - กลับนิกโก ถ้าจองที่นั่งชินคันเซ็น
ราคาก็เกิน 10,000 เยนแล้ว ฉะนั้นซื้อพาสคุ้มกว่าแน่นอน แถมยังใช้ไปเที่ยวที่อื่นได้ในอีกสองวันที่เหลือด้วยค่า
2. นั่งรถไฟ JR Utsunomiya Line จากสถานี JR Ueno ลงสถานี JR Utsunomiya
ต่อรถไฟสาย JR Nikko Line ลงสถานี JR Nikko จากนั้นต่อรถบัสไปเที่ยวต่อตามโซนที่ต้องการ
ใช้เวลา : 2 ชั่วโมง 30 นาที
ค่าเดินทาง : 2,590 เยน
เหมาะสำหรับ : คนที่อยากประหยัดขึ้นมาอีกนีส แต่อันที่จริง JR Pass ทั้งแบบครอบคลุมทั่วประเทศ
และ JR Tokyo Wide Pass ก็สามารถใช้กับเส้นทางนี้ได้เช่นกัน แต่ถ้าถือพาสทั้งสองแบบแล้ว
แนะนำว่าใช้วิธีแรก นั่งชินคันเซ็นจะเร็วกว่ามาก เพราะยังไงก็ได้ขึ้นฟรีอยู่แล้ว เราต้องไม่ยอมขาดทุนเนาะ ^^
3. นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro Hibiya Line จากสถานี Ueno ลงสถานี Kita-Senju
ต่อรถไฟ Tobu Line ลงสถานี Tobu-Nikko สถานีนี้ตั้งอยู่ห่างจากสถานี JR Nikko แค่นิดเดียว
จากนั้นต่อรถบัสไปเที่ยวต่อตามโซนที่ต้องการ
ใช้เวลา : 2 ชั่วโมง
ค่าเดินทาง : 2,970 เยน
เหมาะสำหรับ : คนที่ไม่มี JR Pass และไม่อยากซื้อ Pass ของ JR เพราะต้องการประหยัด
4. ใช้ Nikko All Area Pass ในการเดินทาง
คุณสมบัติของพาสนี้ คือ สามารถใช้นั่งรถไฟของ Tobu จากสถานี Asakusa ถึงเมืองนิกโก้แบบไป - กลับ
แล้วยังใช้นั่งรถบัสเที่ยวภายในเมืองนิกโกได้ไม่จำกัดรอบ รวมถึงมีส่วนลดในการเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ด้วย
เรียกได้ว่าเป็นพาสที่เหมาะสำหรับคนเที่ยวนิกโกโดยแท้ แต่ถ้าอยากใช้ให้คุ้มก็ไม่ควรเที่ยวแค่หนึ่งวัน
เพราะพาสนี้มีอายุการใช้งาน 4 วัน 3 คืน เหมาะสำหรับคนที่ค้างพักคืนที่เมืองนิกโกแล้วอยากเที่ยวให้ครบทุกโซนมากกว่า
ราคาพาส : เม.ย. - พ.ย. 4,520เยน / ธ.ค. - มี.ค. 4,150 เยน
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.tobu.co.jp/foreign/th/pass/all.html
การเดินทางและพาสที่ใช้สำหรับท่องเที่ยวในเมืองนิกโก
ไม่ว่าจะเดินทางจากโตเกียวมาด้วยวิธีไหน เมื่อถึงนิกโกแล้ว จะต้องเปลี่ยนจากนั่งรถไฟมานั่งรถบัสแทนค่ะ
สำหรับคนที่ถือ Nikko All Area Pass ก็ใช้บัตรนี้เบ่งขึ้นรถบัสได้เลย แต่สำหรับคนที่มาเที่ยวแบบ One Day Trip
จะต้องซื้อพาสของรถบัสตามรูทของโซนที่จะไป หรือจะสะดวกจ่ายเป็นรอบก็ได้ แต่เราว่าซื้อพาสไปเลยคุ้มกว่าค่ะ
เพราะค่ารถบัสจากสถานีไปถึงบริเวณ Lake Chuzenji ราคาเที่ยวละ 1,150 เยน ไป - กลับ ก็ 2,300 เยน เข้าไปแล้ว
แต่พาสรถบัสสำหรับใช้ในเส้นทางของแผนนี้ คือ Chuzenji Onsen Free Pass ราคา 2,000 เยน
รวมถึงยังสามารถใช้ขึ้นรถบัสได้ไม่จำกัดเที่ยวภายใน 2 วันอีกด้วย คุ้มกว่าเห็นๆ ^^
บรรยากาศบริเวณด้านล่างตรงสถานี ยังพอมีใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็นพอชื่นใจอยู่บ้างค่ะ
สถานีรถไฟ JR Nikko สำหรับคนที่เดินทางมาด้วยรถไฟ JR (คลาสสิกเนอะ)
สถานี Tobu-Nikko สำหรับคนที่เดินทางมาด้วยรถไฟ Tobu Line ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี JR Nikko ค่ะ
เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถบัสจะอยู่ด้านในสถานี Tobu ค่ะ ด้านในมีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยจ้า
ซื้อพาสรถบัสเสร็จก็เดินไปรอขึ้นรถบัสได้เลย ป้ายรถบัสอยู่ข้างๆ สถานีรถไฟนี่เอง
ระหว่างรอรถบัส แวะซดราเม็งอุ่นๆ ก่อนได้นะคะ มีร้านอาหารตั้งเรียงรายอยู่รอบบริเวณเลย
บรรยากาศบนรถบัส มีจอบอกชื่อป้ายรถบัสตลอดค่ะ ไม่ต้องกลัวจะลงผิด แค่อย่าเผลอหลับจนรถเลยป้ายก็พอ : p
ขอต่อสถานที่ท่องเที่ยวในโซนธรรมชาติที่ คห. ถัดไปน้า : )
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เราทำเว็บไซต์และเพจเกี่ยวกับท่องเที่ยว มีแผนเที่ยวสำเร็จรูปหลายแผนที่นำมาแชร์กันค่ะ
ยังไงขออนุญาตฝากไว้สำหรับคนที่อยากหาข้อมูลเรื่องท่องเที่ยวเพิ่มเติมน้า ^^
Website : http://www.movearound-journey.com
Facebook : https://www.facebook.com/movearoundjourney
[CR] A day trip to N i k k o ; เที่ยวเมืองมรดกโลกแดนปลาดิบ โซนธรรมชาติ ต้นฤดูหนาว หิมะยังไม่ขาว แต่ได้ฟีล
อากาศช่วงปลายปีแบบนี้มันชวนให้อยากเก็บกระเป๋าออกเดินทางทู๊กที
ติดที่ว่าปีนี้ เดินไปกดตังค์ในบัญชีแล้วโดนเตือนกลับมาว่า
"ยอดเงินคงเหลือของคุณ ไม่เพียงพอสำหรับสนองกิเลสของคุณในขณะนี้"
เลยก็ต้องเดินคอตกออกมานั่งดูรูปภาพเก่าๆ แล้วมโนเอา ; p
แล้วก็ดันมาสะดุดกับไฟล์เดอร์ Japan ตอนที่ไปนิกโก ช่วงต้นฤดูหนาว
เลยอยากเอาประสบการณ์ และความทรงจำมาแบ่งปันเป็นไอเดีย
เผื่อใครอยากไปสัมผัสบรรยากาศเมืองมรดกโลกช่วงต้นหนาวแบบเราบ้าง ^^
ตอนนั้นเราเดินทางจากโตเกียวไปเที่ยวแบบเช้า - เย็นกลับค่ะ
เลือกโซนธรรมชาติเพราะเป็นสายธรรมชาติ รักน้ำ รักปลา รักซากุระ (เอ้ย)
โดยช่วงที่เราไปเป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม
อันที่จริง ใครๆ เขาก็ไปเที่ยวนิกโกกันช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีใช่ไหมคะ
แต่ตอนที่เราไป ปรากฎว่ายังพอมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ดูอยู่บ้างแถวๆ สถานี
แต่พอนั่งรถบัสขึ้นไปถึงโซนธรรมชาติด้านบนเท่านั้นละ หิมะตกจ้าา
ทริปนี้ก็เลยได้เที่ยวแบบ 2 ฟีลเลย ซึ่งถึงแม้จะเจอหิมะตกจนหนาวมือสั่น
บรรยากาศขมุกขมัว เที่ยวได้ไม่สะใจเหมือนช่วงฤดูอื่นที่ฟ้าใสๆ
แต่นี่กลับเป็นอีกหนึ่งทริปที่มีความทรงจำและประสบการณ์อยู่ในนั้นมากมายเลย
บางครั้ง สิ่งที่สำคัญสำหรับการเดินทาง อาจไม่ใช่จุดหมายปลายทาง หรือระหว่างทาง
แต่อาจเป็นเพียง "ความรู้สึก" และ "ความทรงจำ" ณ ขณะนั้นก็ได้ .. จริงมั้ยคะ : )
เพ้อพกมาหลายบรรทัด ไปเที่ยว "นิกโก" โซนธรรมชาติ ช่วงต้นหนาวปลายปีแบบนี้ด้วยกันดีกว่าค่า
รู้จักเมืองนิกโก (Nikko) กันสักเล็กน้อย
❤️ นิกโก เป็นเมืองที่อัดแน่นด้วยคุณภาพคับแก้ว ตั้งอยู่ในจังหวัดโทะชิงิ
ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของโตเกียว ห่างไปประมาณ 140 กิโลเมตรเท่านั้นเองค่ะ
ฉะนั้นคนที่มาเที่ยวโตเกียวจึงนิยมจัดเป็น One Day Trip ไปเที่ยวแบบเช้า เย็นกลับ
แต่นิกโกไม่ใช่เมืองที่เล็กถึงขั้นเที่ยวครบจบในหนึ่งวัน เพราะถูกแบ่งเป็นสองโซน
คือ โซนมรดกโลก และโซนธรรมชาติ ถ้าอยากเที่ยวให้ครบ ควรนอนค้างสักคืนน่าจะดีกว่า
แต่ถ้ามีเวลาไม่มาก อยากเที่ยวแค่หนึ่งวัน ก็ควรเลือกเที่ยวเอาสักโซนค่ะ
เพราะถ้าจะอัดทั้งสองโซนภายในวันเดียว เราว่าน่าจะเหนื่อยพอตัวเลย
แล้วก็อาจจะกลายเป็นชะโงกทัวร์ไปโดยปริยาย จะทำให้เที่ยวได้ไม่เต็มอิ่มเอาค่า
❤️ นิกโก ถือได้ว่าเป็นเมืองมรดกโลก เพราะอัดแน่นด้วยสถานที่สวยงามศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก คนญี่ปุ่นนิยามเมืองนิกโกว่า “Nikko is Nippon”
ซึ่งหมายความตรงตัวเลยว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเมืองที่แทนนิยาม “ความเป็นญี่ปุ่น” ได้อย่างตรงตัวที่สุดแล้ว
ฉะนั้นถ้าอยากสัมผัสกลิ่นอาทิตย์อุทัยอย่างแท้จริง เราว่าควรหาเวลาไปสัมผัสเมืองนิกโกสักครั้งค่ะ
❤️ ทริปนี้ เราตัดสินใจไปเที่ยวโซนธรรมชาติค่ะ ซึ่งอยู่บนภูเขา ต้องนั่งรถบัสขึ้นไปสูงและเสียวไส้พอสมควร
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในโซนนี้ คือ น้ำตกเคะงน (Kegon Falls) และทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji)
ซึ่งความจริงแล้วจะสวยงามมากช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่เราไปตอนที่เลยช่วงพีคมาแล้ว ใบไม้ร่วงไปหมดแล้ว
เลยมีโอกาสได้เจอหิมะตกแทน ซึ่งเรากลับรู้สึกว่ามันก็สวยและได้ฟีลไปอีกแบบนะ ^^
วางแผนการเดินทาง และการใช้พาส
การเดินทางไปนิกโกจากโตเกียวสามารถเลือกได้หลายทาง โดยอาจต้องอิงจากการเลือกใช้พาสด้วยค่ะ
หลังจากนั่งรถไฟถึงเมืองนิกโกแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนไปใช้บริการรถบัสในการเดินทางไปยังจุดหมายตามโซนต่างๆ
ส่วนจะเลือกเดินทางไปนิกโกด้วยวิธีไหน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคนเลยค่า
เนื่องจากเราพักย่าน Ueno ฉะนั้นวิธีการด้านล่างนี้จะตั้งต้นที่สถานี Ueno น้า
1. นั่งรถไฟ Shinkansen Yamabiko จากสถานี JR Ueno ลงสถานี JR Utsunomiya
ต่อรถไฟสาย JR Nikko Line ลงสถานี JR Nikko จากนั้นต่อรถบัสไปเที่ยวต่อตามโซนที่ต้องการ
ใช้เวลา : 1 ชั่วโมง 40 นาที
ค่าเดินทาง : ไม่จองที่นั่งชินคันเซ็น 4,850 เยน / จองที่นั่ง 5,370 เยน
เหมาะสำหรับ : คนที่มี JR Pass เพราะค่าชินคันเซ็นไป - กลับ ค่อนข้างแพงเลยทีเดียว
สำหรับใครที่ไม่มี JR Pass ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ อาจพิจารณาในการซื้อ JR Tokyo Wide Pass 3 วัน
ราคา 10,000 เยน แทนก็ได้ค่ะ พาสสามารถใช้ขึ้นรถไฟ JR (รวมชินคันเซ็น) ในเขตรอบๆ โตเกียว
รวมถึงในโตเกียวได้ไม่จำกัดเที่ยวเป็นเวลา 3 วัน สังเกตค่าเดินทางไป - กลับนิกโก ถ้าจองที่นั่งชินคันเซ็น
ราคาก็เกิน 10,000 เยนแล้ว ฉะนั้นซื้อพาสคุ้มกว่าแน่นอน แถมยังใช้ไปเที่ยวที่อื่นได้ในอีกสองวันที่เหลือด้วยค่า
2. นั่งรถไฟ JR Utsunomiya Line จากสถานี JR Ueno ลงสถานี JR Utsunomiya
ต่อรถไฟสาย JR Nikko Line ลงสถานี JR Nikko จากนั้นต่อรถบัสไปเที่ยวต่อตามโซนที่ต้องการ
ใช้เวลา : 2 ชั่วโมง 30 นาที
ค่าเดินทาง : 2,590 เยน
เหมาะสำหรับ : คนที่อยากประหยัดขึ้นมาอีกนีส แต่อันที่จริง JR Pass ทั้งแบบครอบคลุมทั่วประเทศ
และ JR Tokyo Wide Pass ก็สามารถใช้กับเส้นทางนี้ได้เช่นกัน แต่ถ้าถือพาสทั้งสองแบบแล้ว
แนะนำว่าใช้วิธีแรก นั่งชินคันเซ็นจะเร็วกว่ามาก เพราะยังไงก็ได้ขึ้นฟรีอยู่แล้ว เราต้องไม่ยอมขาดทุนเนาะ ^^
3. นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro Hibiya Line จากสถานี Ueno ลงสถานี Kita-Senju
ต่อรถไฟ Tobu Line ลงสถานี Tobu-Nikko สถานีนี้ตั้งอยู่ห่างจากสถานี JR Nikko แค่นิดเดียว
จากนั้นต่อรถบัสไปเที่ยวต่อตามโซนที่ต้องการ
ใช้เวลา : 2 ชั่วโมง
ค่าเดินทาง : 2,970 เยน
เหมาะสำหรับ : คนที่ไม่มี JR Pass และไม่อยากซื้อ Pass ของ JR เพราะต้องการประหยัด
4. ใช้ Nikko All Area Pass ในการเดินทาง
คุณสมบัติของพาสนี้ คือ สามารถใช้นั่งรถไฟของ Tobu จากสถานี Asakusa ถึงเมืองนิกโก้แบบไป - กลับ
แล้วยังใช้นั่งรถบัสเที่ยวภายในเมืองนิกโกได้ไม่จำกัดรอบ รวมถึงมีส่วนลดในการเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ด้วย
เรียกได้ว่าเป็นพาสที่เหมาะสำหรับคนเที่ยวนิกโกโดยแท้ แต่ถ้าอยากใช้ให้คุ้มก็ไม่ควรเที่ยวแค่หนึ่งวัน
เพราะพาสนี้มีอายุการใช้งาน 4 วัน 3 คืน เหมาะสำหรับคนที่ค้างพักคืนที่เมืองนิกโกแล้วอยากเที่ยวให้ครบทุกโซนมากกว่า
ราคาพาส : เม.ย. - พ.ย. 4,520เยน / ธ.ค. - มี.ค. 4,150 เยน
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.tobu.co.jp/foreign/th/pass/all.html
การเดินทางและพาสที่ใช้สำหรับท่องเที่ยวในเมืองนิกโก
ไม่ว่าจะเดินทางจากโตเกียวมาด้วยวิธีไหน เมื่อถึงนิกโกแล้ว จะต้องเปลี่ยนจากนั่งรถไฟมานั่งรถบัสแทนค่ะ
สำหรับคนที่ถือ Nikko All Area Pass ก็ใช้บัตรนี้เบ่งขึ้นรถบัสได้เลย แต่สำหรับคนที่มาเที่ยวแบบ One Day Trip
จะต้องซื้อพาสของรถบัสตามรูทของโซนที่จะไป หรือจะสะดวกจ่ายเป็นรอบก็ได้ แต่เราว่าซื้อพาสไปเลยคุ้มกว่าค่ะ
เพราะค่ารถบัสจากสถานีไปถึงบริเวณ Lake Chuzenji ราคาเที่ยวละ 1,150 เยน ไป - กลับ ก็ 2,300 เยน เข้าไปแล้ว
แต่พาสรถบัสสำหรับใช้ในเส้นทางของแผนนี้ คือ Chuzenji Onsen Free Pass ราคา 2,000 เยน
รวมถึงยังสามารถใช้ขึ้นรถบัสได้ไม่จำกัดเที่ยวภายใน 2 วันอีกด้วย คุ้มกว่าเห็นๆ ^^
บรรยากาศบริเวณด้านล่างตรงสถานี ยังพอมีใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็นพอชื่นใจอยู่บ้างค่ะ
สถานีรถไฟ JR Nikko สำหรับคนที่เดินทางมาด้วยรถไฟ JR (คลาสสิกเนอะ)
สถานี Tobu-Nikko สำหรับคนที่เดินทางมาด้วยรถไฟ Tobu Line ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี JR Nikko ค่ะ
เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถบัสจะอยู่ด้านในสถานี Tobu ค่ะ ด้านในมีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยจ้า
ซื้อพาสรถบัสเสร็จก็เดินไปรอขึ้นรถบัสได้เลย ป้ายรถบัสอยู่ข้างๆ สถานีรถไฟนี่เอง
ระหว่างรอรถบัส แวะซดราเม็งอุ่นๆ ก่อนได้นะคะ มีร้านอาหารตั้งเรียงรายอยู่รอบบริเวณเลย
บรรยากาศบนรถบัส มีจอบอกชื่อป้ายรถบัสตลอดค่ะ ไม่ต้องกลัวจะลงผิด แค่อย่าเผลอหลับจนรถเลยป้ายก็พอ : p
ขอต่อสถานที่ท่องเที่ยวในโซนธรรมชาติที่ คห. ถัดไปน้า : )
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้