สวัสดีทุกคน , ก่อนอื่นเลยนี่เป็นการไปตะลุย ญี่ปุ่นครั้งแรกของเรา ก็วันนี้ก็อยากจะมาเล่าประสบการณ์การตะลุย Nikko ของเรา ซึ่งเมือง Nikko อยู่ห่างจาก Tokyo ไม่มาก สามารถไปเที่ยว Nikko แบบไปเช้า – เย็นกลับได้ , จาก Tokyo ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง หรือถ้าอยากจะเที่ยว Nikko ให้ทั่วแนะนำว่าควรจะค้างที่ Nikko สักหนึ่งคืน แต่วันนี้เราจะเล่าเป็น 1 day trip จะเป็นการไปเช้า – เย็นกลับจาก Tokyo
✿ การเดินทางไป Nikko
Route 1 : นั่ง Shinkansen Yamabiko จากสถานี JR Ueno ไปลงสถานี JR Utsunomiya แล้วต่อรถไฟสาย Nikko Line ไปลงยังสถานี JR Nikko สามารถใช้ JR Pass ได้หมด ถ้าไม่มี JR Pass เสียค่ารถไฟ 2590 เยน (ขาเดียว แบบไม่ reserved seat) โดยคำนวณจาก Hyperdia * Shinkansen ควรที่จะ reserved seat โดยสามารถ reserved seat ได้ที่ JR ticket office ทุกที่ ** เหมาะสำหรับคนที่มี JR PASS เพราะ ถ้าคิดคร่าวๆค่ารถไฟ ไป-กลับ ก็ประมาณ 5,000 เยน ซึ่ง JR TOKYO WIDE PASS 3 วัน ราคาตกอยู่ที่ 10,000 เยน // เราแนะนำวิธีนี้ สะดวก เร็ว แถมได้นั่ง Shinkansen
Route 2 : นั่งรถไฟสาย Utsunomiya line จากสถานี JR Ueno ไปลงสถานี JR Utsunomiya แล้วต่อรถไฟสาย Nikko Line ไปลงยังสถานี JR Nikko เสียค่ารถไฟ 2,590 เยน สามารถใช้ JR Pass ได้หมดเหมือนกัน *ไม่ต้อง reserved seat
Route 3 : นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Hibiya Line จากสถานี Subway Ueno (G16/H17) ไปลงสถานี Subway Kita-Senju แล้วต่อรถไฟสาย Tobu Skytree Line ไปลงยังสถานี Tobu-Nikko เสียค่ารถไฟ 1,530 เยน *เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มี JR PASS
✿ Nikko station - Tobu-Nikko station
เราเดินทาง โดย route 1 ซึ่งมาถึงตอน 8.25 น. *แนะนำให้มาแต่เช้าเนื่องจากคนไม่เยอะ+อากาศตอนเช้าเหมาะแกะการเดินเที่ยวมาก สำหรับคนที่ต้องการมาเวลาอื่นก็สามารถเข็คเที่ยวรถไฟได้จาก
http://www.hyperdia.com
▶ JR Nikko line จะมาจอดที่ Nikko station
▶ หน้าสถานีจะมี จะมีน้ำแร่ ให้เราดื่มฟรี หรือใครจะใส่ขวดไปดื่มก็แล้วแต่ 555
▶ อันนี้เป็นบรรยากาศรอบๆเมืองที่ถ่ายเก็บไว้ ตอนที่เรามาถึงอุญหภูมิประมาณ 18 องศา *เรามาช่วงต้นเดือน มิ.ย. ซึ่งตรงกับ ฤดู spring
▶ หลังจากเราเดินออกจาก Nikko station ให้เดือนไปทางขวา ก็จะเจอ Tobu-Nikko station
▶ ภายใน Tobu-Nikko station ทางขวาจะมี ตั๋วรถบัสสำหรับการเดินทางเที่ยวใน Nikko ขายอยู่
▶ ซึ่งเราซื้อตั๋วแบบ 2 days pass ซึ่งไปได้ทั้ง zone World Heritage และ zone ธรรมชาติ ได้แก่ kegon waterfall และ ทะเลสาบ chuzenji โดยตกราคาอยู่ที่ 2,000 เยน ซึ่งสำหรับคนที่ต้องการไปแค่ World Heritage (สะพานแดง , ศาลเจ้า ) สามารถซื้อตั๋วรถบัสแบบ one day pass ได้ราคาตกอยู่ที่ 500 เยน *แนะนำให้ไปเที่ยว zone ธรรมชาติด้วยเพราะสวยและคุ้มค่ามากๆ ** 2 days pass คุ้มกว่าแน่นอนเพราะ จากตัวสถานีไปยัง น้ำตกหรือทะเลสาบ ค่ารถบัสก็ประมาณ 1150 เยนแล้ว (เฉพาะขาเดียว)
▶ อันนี้เป็นแผนที่และเส้นทางรถบัสที่ผ่าน สำหรับที่ต้องการเที่ยว World Heritage ให้ขึ้นรถบัสคันสีแดง ซึ่งที่รถบัสจะมีป้ายเขียนชัดเจน ไม่หลงแน่ๆ 555 โดยขึ้นที่ป้าย 2C และก็ สำหรับคนที่จะเที่ยว zone ธรรมชาติให้ขึ้น รถบัส สีขาว ขึ้นที่ป้าย 2A และ 2B ซึ่ง ป้ายทั้ง 3 จะอยู่ฝั่งตรงข้ามสถานี Tobu-Nikko
▶ Zone World Heritage จะมีป้ายหลักๆดังนี้
– ป้ายหมายเลข 1 : JR Nikko Station
– ป้ายหมายเลข 2 : Tobu Nikko Station
– ป้ายหมายเลข 81 : Hotel Seikoen mae
– ป้ายหมายเลข 82 : Shodo shonin zo mae
– ป้ายหมายเลข 83 : Omotesando (ศาลเจ้าโทโชกุ, วัดรินโนจิ, สวนโซโยเอ็น)
– ป้ายหมายเลข 84 : Nishi-Sando
– ป้ายหมายเลข 85 : Taiyuin futarasan jinja mae (วัดไทยูอิน, ศาลเจ้าฟุตาระซัง)
– ป้ายหมายเลข 7 : Shinkyo (สะพานแดงชินเคียว)
* ทริปนี้เราเน้น Zone ธรรมชาติมากกว่า
▶ Zone ธรรมชาติ จะมีป้ายหลักๆดังนี้
- ป้ายหมายเลข 23 ropeway (ไม่แน่ใจว่า 22 หรือ 23)
- ป้ายหมายเลข 24 kegon waterfall (ขวา) และ ทะเลสาบ chuzenji (ซ้าย)
▶ หลังจากซื้อตั๋วเป็นที่เรียบร้อย เราก็มารอรถบัสที่ฝั่งตรงข้ามของสถานี โดย แผนของเราคือจะไปเที่ยว zone ธรรมชาติก่อน (เป้าหมายหลัก) แล้วจึงกลับลงมาเที่ยว zone มรดกโลก (เป้าหมายลอง)
▶ ซึ่งก็เวลาประมาณ 9 โมงได้คนเริ่มเยอะแล้ว แต่ว่าไม่ต้องห่วง รถบัสมาตลอดเลย เรารอแค่ 5-10 นาที ก็ได้ขึ้นแล้ว *ในการขึ้นรถบัสครั้งแรกคนขับจะทำการฉีกหางตั๋วของเรา
▶ มุ่งตรงสู่ง เป้าหมายเลข 24 ของเราใช้เวลาเดินทางประมาณ 40-50 นาที ก็ถึงข้างบนนี่อากาศดีมาก เย็นสบาย มีหมอกตามแนวเขา
▶ ความน่ารักของคนญี่ปุ่นอีกอย่างคือ พวกเค้าเคารพกฏระเบียบ และมีวินัยกันมาก ถนนไม่มีรถ ถ้าไฟแดงพวกเค้าก็ไม่ข้าม
▶ อันนี้เป็นดอกหญ้าที่แบบสวยมาก เคยเห็นตาม wallpaper ในคอม
▶ เราจะไปที่ kegon waterfall (ขวา) ก่อน เดินไปไม่ไกล 5-10 นาที ก็ถึงตัวน้ำตก โดยด้านหน้ามีของกินขาย ซึ่งแน่นอนเราต้องไปกินแน่นอน ซึ่งอาหารที่จะเริ่มขายตอน 10.00 น. คือเราไปซื้อปลาเค้าบอกว่า ให้รอถึง 10 โมงก่อน จะขายพร้อมกันทุกร้าน , อย่างแรกเลยที่ควรกิน เพราะ มันอร่อยจริงๆ เป็นปลาย่างเตาถ่าน เค็มๆ แต่อร่อย ซึ่งราคาตัวละ 600 เยน (มีร้านเดียวหาเจอแน่ๆ) คิดว่าน่าจะเป็นปลาที่จับจากแถวนี้แหละ ไม่น้ำตก ก็ทะเลสาบ ถ้าใครไปลองกินดูสักครั้งนะ รับรองความอร่อย
▶ นอกจากนั้นก็ยังมีพวกไอติม กาแฟ ขนมอื่นๆขาย บลาๆ
▶ หลังจากอิ่มท้องก็พร้อมลุย เราลองเดินไปรอบๆ เพื่อหาน้ำตก ซึ่งนี่ก็เป็นมุมแรกที่เห็นน้ำตก แต่ก็มีต้นไม้บังอยู่เยอะ
▶ หลังจากนั้นก็เดินมาตรงที่ขายตั๋วก็ยัง งง ว่าอืมต้องเสียค่าเข้าชมด้วยหรอ ? ปรากฏว่า เห็นคนอื่นๆเดินไปทางข้างๆ ซึ่งมันมีทางเดินลงไป เป็นจุดชมวิวที่เห็นน้ำตกได้ชัดเจน แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่ว่าอ้าว ตรงนี้เห็นน้ำตกชัดเจนและสวยดี แล้วทำไมตรงทางเข้าต้องเสียค่าเข้าชม ?
▶ ตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าชมน้ำตก คนละ 550 เยน แล้วก็ค้นพบว่า มันคือลิฟท์ลงไปด้านล่างของน้ำตก OMG 55555
▶ สรุปคือลงลิฟท์ไปทั้งหมด 100 เมตร ออกมาเป็นอุโมงค์ ภายในคือหนาวเลยแหละ เต็มไปด้วยละอองน้ำ จากแอบง่วงๆตื่นเลย 5555
▶ หลังจากออกอุโมงค์มาก็พบน้ำตก Kegon ที่รอคอยแล้ว ตรงจุดนี้ก็มีที่ชมวิวแบบด้านบน (ไม่ได้ลงไปถึงพื้นด้านล่าง) ถามว่าคุ้มมั้ยที่ลงมา บอกเลยว่าคุ้มมาก ข้างล่างคือสวยกว่าข้างบนมาก ประทับใจ รอบๆของน้ำตกก็เต็มไปด้วยต้นไม้ เนินหินต่างๆ และตอนเราไปเจอฝูงนกบินอยู่แถวน้ำตกคือดี
▶ หลังจากอินกับน้ำตกได้สักพัก ก็เดินย้อนกลับไปอีกทาง มุ่งตรงสู่ ทะเลสาบ chuzenji และ ประตูแดง ที่ยอดฮิตที่คนไทยชอบไป ระหว่างทางก็เจอแต่ดอกไม้สวยๆ 555 (ดอกไม้เมืองหนาวคือสวยจริงๆ) เลยต้องถ่ายรูปไว้ซะหน่อย
▶ เดินมาได้สักพักก็ถึงประตูแดง โลเคชั่นสุดฮิตของการถ่ายรูปของคนไทย
▶ เดินเลยมาสักนิดนึงก็จะเจอ ทะเลสาบ chuzenji เป็นทะเลสาบที่น้ำใสมากๆ รอบๆทะเลสาบมีเรือเป็ดให้ปั่นเล่น มีเรือล่องไปชม Nikko National Park เอาเป็นว่าขอเล่าบรรยากาศรอบๆทะเลสาบผ่านรูปละกัน
Lost in Nikko , เมืองเหงาๆที่แสนอบอุ่น ☃
สวัสดีทุกคน , ก่อนอื่นเลยนี่เป็นการไปตะลุย ญี่ปุ่นครั้งแรกของเรา ก็วันนี้ก็อยากจะมาเล่าประสบการณ์การตะลุย Nikko ของเรา ซึ่งเมือง Nikko อยู่ห่างจาก Tokyo ไม่มาก สามารถไปเที่ยว Nikko แบบไปเช้า – เย็นกลับได้ , จาก Tokyo ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง หรือถ้าอยากจะเที่ยว Nikko ให้ทั่วแนะนำว่าควรจะค้างที่ Nikko สักหนึ่งคืน แต่วันนี้เราจะเล่าเป็น 1 day trip จะเป็นการไปเช้า – เย็นกลับจาก Tokyo
✿ การเดินทางไป Nikko
Route 1 : นั่ง Shinkansen Yamabiko จากสถานี JR Ueno ไปลงสถานี JR Utsunomiya แล้วต่อรถไฟสาย Nikko Line ไปลงยังสถานี JR Nikko สามารถใช้ JR Pass ได้หมด ถ้าไม่มี JR Pass เสียค่ารถไฟ 2590 เยน (ขาเดียว แบบไม่ reserved seat) โดยคำนวณจาก Hyperdia * Shinkansen ควรที่จะ reserved seat โดยสามารถ reserved seat ได้ที่ JR ticket office ทุกที่ ** เหมาะสำหรับคนที่มี JR PASS เพราะ ถ้าคิดคร่าวๆค่ารถไฟ ไป-กลับ ก็ประมาณ 5,000 เยน ซึ่ง JR TOKYO WIDE PASS 3 วัน ราคาตกอยู่ที่ 10,000 เยน // เราแนะนำวิธีนี้ สะดวก เร็ว แถมได้นั่ง Shinkansen
Route 2 : นั่งรถไฟสาย Utsunomiya line จากสถานี JR Ueno ไปลงสถานี JR Utsunomiya แล้วต่อรถไฟสาย Nikko Line ไปลงยังสถานี JR Nikko เสียค่ารถไฟ 2,590 เยน สามารถใช้ JR Pass ได้หมดเหมือนกัน *ไม่ต้อง reserved seat
Route 3 : นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Hibiya Line จากสถานี Subway Ueno (G16/H17) ไปลงสถานี Subway Kita-Senju แล้วต่อรถไฟสาย Tobu Skytree Line ไปลงยังสถานี Tobu-Nikko เสียค่ารถไฟ 1,530 เยน *เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มี JR PASS
✿ Nikko station - Tobu-Nikko station
เราเดินทาง โดย route 1 ซึ่งมาถึงตอน 8.25 น. *แนะนำให้มาแต่เช้าเนื่องจากคนไม่เยอะ+อากาศตอนเช้าเหมาะแกะการเดินเที่ยวมาก สำหรับคนที่ต้องการมาเวลาอื่นก็สามารถเข็คเที่ยวรถไฟได้จาก http://www.hyperdia.com
▶ JR Nikko line จะมาจอดที่ Nikko station
▶ หน้าสถานีจะมี จะมีน้ำแร่ ให้เราดื่มฟรี หรือใครจะใส่ขวดไปดื่มก็แล้วแต่ 555
▶ อันนี้เป็นบรรยากาศรอบๆเมืองที่ถ่ายเก็บไว้ ตอนที่เรามาถึงอุญหภูมิประมาณ 18 องศา *เรามาช่วงต้นเดือน มิ.ย. ซึ่งตรงกับ ฤดู spring
▶ หลังจากเราเดินออกจาก Nikko station ให้เดือนไปทางขวา ก็จะเจอ Tobu-Nikko station
▶ ภายใน Tobu-Nikko station ทางขวาจะมี ตั๋วรถบัสสำหรับการเดินทางเที่ยวใน Nikko ขายอยู่
▶ ซึ่งเราซื้อตั๋วแบบ 2 days pass ซึ่งไปได้ทั้ง zone World Heritage และ zone ธรรมชาติ ได้แก่ kegon waterfall และ ทะเลสาบ chuzenji โดยตกราคาอยู่ที่ 2,000 เยน ซึ่งสำหรับคนที่ต้องการไปแค่ World Heritage (สะพานแดง , ศาลเจ้า ) สามารถซื้อตั๋วรถบัสแบบ one day pass ได้ราคาตกอยู่ที่ 500 เยน *แนะนำให้ไปเที่ยว zone ธรรมชาติด้วยเพราะสวยและคุ้มค่ามากๆ ** 2 days pass คุ้มกว่าแน่นอนเพราะ จากตัวสถานีไปยัง น้ำตกหรือทะเลสาบ ค่ารถบัสก็ประมาณ 1150 เยนแล้ว (เฉพาะขาเดียว)
▶ อันนี้เป็นแผนที่และเส้นทางรถบัสที่ผ่าน สำหรับที่ต้องการเที่ยว World Heritage ให้ขึ้นรถบัสคันสีแดง ซึ่งที่รถบัสจะมีป้ายเขียนชัดเจน ไม่หลงแน่ๆ 555 โดยขึ้นที่ป้าย 2C และก็ สำหรับคนที่จะเที่ยว zone ธรรมชาติให้ขึ้น รถบัส สีขาว ขึ้นที่ป้าย 2A และ 2B ซึ่ง ป้ายทั้ง 3 จะอยู่ฝั่งตรงข้ามสถานี Tobu-Nikko
▶ Zone World Heritage จะมีป้ายหลักๆดังนี้
– ป้ายหมายเลข 1 : JR Nikko Station
– ป้ายหมายเลข 2 : Tobu Nikko Station
– ป้ายหมายเลข 81 : Hotel Seikoen mae
– ป้ายหมายเลข 82 : Shodo shonin zo mae
– ป้ายหมายเลข 83 : Omotesando (ศาลเจ้าโทโชกุ, วัดรินโนจิ, สวนโซโยเอ็น)
– ป้ายหมายเลข 84 : Nishi-Sando
– ป้ายหมายเลข 85 : Taiyuin futarasan jinja mae (วัดไทยูอิน, ศาลเจ้าฟุตาระซัง)
– ป้ายหมายเลข 7 : Shinkyo (สะพานแดงชินเคียว)
* ทริปนี้เราเน้น Zone ธรรมชาติมากกว่า
▶ Zone ธรรมชาติ จะมีป้ายหลักๆดังนี้
- ป้ายหมายเลข 23 ropeway (ไม่แน่ใจว่า 22 หรือ 23)
- ป้ายหมายเลข 24 kegon waterfall (ขวา) และ ทะเลสาบ chuzenji (ซ้าย)
▶ หลังจากซื้อตั๋วเป็นที่เรียบร้อย เราก็มารอรถบัสที่ฝั่งตรงข้ามของสถานี โดย แผนของเราคือจะไปเที่ยว zone ธรรมชาติก่อน (เป้าหมายหลัก) แล้วจึงกลับลงมาเที่ยว zone มรดกโลก (เป้าหมายลอง)
▶ ซึ่งก็เวลาประมาณ 9 โมงได้คนเริ่มเยอะแล้ว แต่ว่าไม่ต้องห่วง รถบัสมาตลอดเลย เรารอแค่ 5-10 นาที ก็ได้ขึ้นแล้ว *ในการขึ้นรถบัสครั้งแรกคนขับจะทำการฉีกหางตั๋วของเรา
▶ มุ่งตรงสู่ง เป้าหมายเลข 24 ของเราใช้เวลาเดินทางประมาณ 40-50 นาที ก็ถึงข้างบนนี่อากาศดีมาก เย็นสบาย มีหมอกตามแนวเขา
▶ ความน่ารักของคนญี่ปุ่นอีกอย่างคือ พวกเค้าเคารพกฏระเบียบ และมีวินัยกันมาก ถนนไม่มีรถ ถ้าไฟแดงพวกเค้าก็ไม่ข้าม
▶ อันนี้เป็นดอกหญ้าที่แบบสวยมาก เคยเห็นตาม wallpaper ในคอม
▶ เราจะไปที่ kegon waterfall (ขวา) ก่อน เดินไปไม่ไกล 5-10 นาที ก็ถึงตัวน้ำตก โดยด้านหน้ามีของกินขาย ซึ่งแน่นอนเราต้องไปกินแน่นอน ซึ่งอาหารที่จะเริ่มขายตอน 10.00 น. คือเราไปซื้อปลาเค้าบอกว่า ให้รอถึง 10 โมงก่อน จะขายพร้อมกันทุกร้าน , อย่างแรกเลยที่ควรกิน เพราะ มันอร่อยจริงๆ เป็นปลาย่างเตาถ่าน เค็มๆ แต่อร่อย ซึ่งราคาตัวละ 600 เยน (มีร้านเดียวหาเจอแน่ๆ) คิดว่าน่าจะเป็นปลาที่จับจากแถวนี้แหละ ไม่น้ำตก ก็ทะเลสาบ ถ้าใครไปลองกินดูสักครั้งนะ รับรองความอร่อย
▶ นอกจากนั้นก็ยังมีพวกไอติม กาแฟ ขนมอื่นๆขาย บลาๆ
▶ หลังจากอิ่มท้องก็พร้อมลุย เราลองเดินไปรอบๆ เพื่อหาน้ำตก ซึ่งนี่ก็เป็นมุมแรกที่เห็นน้ำตก แต่ก็มีต้นไม้บังอยู่เยอะ
▶ หลังจากนั้นก็เดินมาตรงที่ขายตั๋วก็ยัง งง ว่าอืมต้องเสียค่าเข้าชมด้วยหรอ ? ปรากฏว่า เห็นคนอื่นๆเดินไปทางข้างๆ ซึ่งมันมีทางเดินลงไป เป็นจุดชมวิวที่เห็นน้ำตกได้ชัดเจน แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่ว่าอ้าว ตรงนี้เห็นน้ำตกชัดเจนและสวยดี แล้วทำไมตรงทางเข้าต้องเสียค่าเข้าชม ?
▶ ตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าชมน้ำตก คนละ 550 เยน แล้วก็ค้นพบว่า มันคือลิฟท์ลงไปด้านล่างของน้ำตก OMG 55555
▶ สรุปคือลงลิฟท์ไปทั้งหมด 100 เมตร ออกมาเป็นอุโมงค์ ภายในคือหนาวเลยแหละ เต็มไปด้วยละอองน้ำ จากแอบง่วงๆตื่นเลย 5555
▶ หลังจากออกอุโมงค์มาก็พบน้ำตก Kegon ที่รอคอยแล้ว ตรงจุดนี้ก็มีที่ชมวิวแบบด้านบน (ไม่ได้ลงไปถึงพื้นด้านล่าง) ถามว่าคุ้มมั้ยที่ลงมา บอกเลยว่าคุ้มมาก ข้างล่างคือสวยกว่าข้างบนมาก ประทับใจ รอบๆของน้ำตกก็เต็มไปด้วยต้นไม้ เนินหินต่างๆ และตอนเราไปเจอฝูงนกบินอยู่แถวน้ำตกคือดี
▶ หลังจากอินกับน้ำตกได้สักพัก ก็เดินย้อนกลับไปอีกทาง มุ่งตรงสู่ ทะเลสาบ chuzenji และ ประตูแดง ที่ยอดฮิตที่คนไทยชอบไป ระหว่างทางก็เจอแต่ดอกไม้สวยๆ 555 (ดอกไม้เมืองหนาวคือสวยจริงๆ) เลยต้องถ่ายรูปไว้ซะหน่อย
▶ เดินมาได้สักพักก็ถึงประตูแดง โลเคชั่นสุดฮิตของการถ่ายรูปของคนไทย
▶ เดินเลยมาสักนิดนึงก็จะเจอ ทะเลสาบ chuzenji เป็นทะเลสาบที่น้ำใสมากๆ รอบๆทะเลสาบมีเรือเป็ดให้ปั่นเล่น มีเรือล่องไปชม Nikko National Park เอาเป็นว่าขอเล่าบรรยากาศรอบๆทะเลสาบผ่านรูปละกัน