.
“จะถามเส้นทางใช่ไหมหนู”
“ค่ะคุณยาย คือพวกเราไม่แน่ใจว่านี่เป็นทางไปหมู่บ้าน...หรือเปล่าคะ”
เธอบอกชื่อหมู่บ้าน อันเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางด้วยน้ำเสียงมีสัมมาคารวะ บ่งบอกความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ แม้จะเป็นคนแปลกหน้าก็ตามที คุณยายยังไม่ตอบคำถามอย่างคนมั่วไปควรจะทำ เดินไปวางตะเกียงลงบนโต๊ะไม้อย่างไม่รีบร้อน ทำให้ภายในร้านสว่างไสวมากขึ้นกว่าเดิม มือทำท่าค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ด้านหลังโต๊ะก่อนตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า
“พวกเธอไม่ได้หลงทางหรอก แต่หลงเวลาเท่านั้น”
“หมายความว่ายังไงคะยาย” ไม่เพียงแต่จันทราจะมึนงงกับคำพูดแปลกๆ แฟนหนุ่มข้างกายก็ยังรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่เขาเลือกจะสงบนิ่งดูสถานการณ์ต่อไปอย่างใคร่ครวญ
“เอาเป็นว่ายายจะช่วยได้เท่าที่จะช่วยได้ก็แล้วกัน”
พูดจบคุณยายเดินตรงมาหาสองหนุ่มสาวพลางยื่นมือส่งของบางอย่างมาเบื้องหน้า จันทราขมวดคิ้วจ้องมองอย่างไม่เข้าใจ ในมือของหญิงชราเป็นเพียงเทียนไขขนาดเท่านิ้วมือสองเล่ม
“พวกเราไม่ได้จะซื้อของครับ แค่ถามทางเท่านั้น” ตะวันรีบบอก ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินทองแต่เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวกับการชอบพูดอะไรตรงๆ ใบหน้าของคุณยายยังคงประดับรอยยิ้มขณะยัดเทียนไขทั้งสองเล่มใส่มือของฝ่ายหญิงพลางบอกด้วยเสียงนุ่มนวล
“ยายก็ไม่ได้บอกว่าจะขายนี่นา รับเอาไว้เถอะ เทียนสองเล่มจะช่วยพวกเธอได้เมื่อถึงเวลา ยายคงพูดอะไรมากไม่ได้”
“ขอบคุณมากค่ะคุณยาย ว่าแต่ที่คุณยายพูด หมายถึงเวลาอะไรคะ” จันทราของกำนัลรับไว้โดยไม่เรื่องยากมากความ พลาง มองหน้าคนให้ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจ คุณยายได้แต่ยิ้มน้อยๆ และตอบว่า
“เอาเถอะ ถึงเวลาแล้วจะรู้เอง อย่าลืมที่บอกนะ เก็บติดตัวเอาไว้ ยายได้เวลากลับล่ะ”
“กลับบ้านหรือคะ อีกไกลไหมคะจะถึงทางแยก บ้านคุณยายอยู่ไหนคะ แล้วมาขายสินค้าอะไรคะ”
คุณยายยังคงมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม โดยไม่ตอบอะไรกับคำถามชุดใหญ่ หันหลังเดินกลับเข้าไปในร้าน ปิดตะเกียงโบราณ ก่อนฉวยตะเกียงดวงที่เหลือเดินดุ่มไปด้านหลังร้านอย่างคนรู้ทาง หันมายิ้มให้อีกครั้ง เดินมุ่งหน้าเข้าไปในเงามืดห่างออกไปจากถนนไปตามทางเดินเล็กๆ ลัดเลี้ยวตามแนวสุมทุมพุ่มไม้ซึ่งปรากฏให้เห็นในแสงวูบวาบของตะเกียง ก่อนดับลับหายไปจากสายตา
“ยังไม่ทันได้ถามอะไรให้รู้เรื่องเลย คุณยายจอมยิ้มแกจะรีบไปไหนกัน ทำตัวแปลกๆพิลึกเหมือนไม่ใช่คน แล้วเอาเทียนไขมาให้ทำไม ถ้าเป็นของกินได้พันธุ์พื้นเมืองแถวนี้อย่างแอปเปิลหรือองุ่นทับทิม ก็ว่าไปอย่าง”
ตะวันโคลงศีรษะไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่อย่างน้อยก็อุ่นใจได้ระดับหนึ่งว่าไม่มีการหลงทาง แม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆ กับการเดินทางอันยาวนานผิดปกติ และกับคำพูดปริศนาของคุณยายใจดีก็ตาม แฟนสาวยื่นเทียนในมือให้เล่มหนึ่งแต่เขาส่ายหน้าปฏิเสธ บอกให้เก็บเทียนไขไว้ทั้งสองเล่ม เนื่องจากไม่เชื่อเรื่องของขลังเครื่องรางใดๆ ซึ่งแฟนสาวเข้าใจดีจึงไม่รบเร้าอะไร ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อแท่งเทียน เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ พลางกลับมานั่งซ้อนท้ายอีกครั้ง
“มืดแล้ว ยายแกคงรีบกลับบ้าน เราไปต่อกันดีกว่าค่ะ”
หญิงสาวว่าพลางหันไปมองด้านหลังอย่างหวาดๆ เมื่อนึกถึงรถบรรทุกสยองนรกที่ใช้เส้นทางร่วมกัน และเจ้าของร่างประหลาดท้ายรถกับพฤติกรรมชวนสยองจิต ยังคงตอกตรึงความรู้สึกไม่จางหาย ด้านหลังมีเพียงความมืดโดยไม่ปรากฏแสงไฟหน้ารถบรรทุกลึกลับโผล่มาเขย่าขวัญ แต่ไม่เจอก็ดีแล้ว เพราะภาพสุดแสนน่ากลัวยังคงประทับชัดเจนในความรู้สึกไม่จางหาย และน่าแปลกใจว่าตัวเองปรับความรู้สึกได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ บางทีอาจเป็นเพราะมากับคนรักก็เป็นได้ ทำให้กำลังใจมั่นคงไม่เสียศูนย์ไปกับเรื่องราวอันชวนขนลุก
ระยะทางดูเหมือนว่าอีกไม่ไกลจะถึงทางแยกเข้าหมู่บ้าน แต่สิ่งที่ทั้งสองไม่รู้คือ การเดินทางครั้งนี้ยาวนานกว่าคาดคิด รวมทั้งเรื่องราวแปลกประหลาด รอโอกาสและเวลาของมันอยู่ในความมืดอย่างเยือกเย็น
“นั่นไง ป้ายบอกทางข้างหน้า”
หลังจากขับรถไปได้สักพัก ตะวันหันมาบอกกับคนซ้อนท้ายอย่างดีใจเมื่อแสงไฟหน้ารถส่องให้เห็นแผ่นป้ายสีขาวชัดเจนโดดเด่นข้างถนน จึงรีบชะลอรถไปจอดเทียบทันที แต่แล้วทั้งคู่ต้องตะลึงอย่างไม่เชื่อสายตา
ป้ายบอกทางขนาดใหญ่มีเพียงพื้นสีขาว ไม่มีตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว !
เป็นไปได้อย่างไรกัน …มีใครอุตริพิเรนทร์ทำป้ายบอกทางประหลาดแบบนี้
“เดือนว่ามันแปลกนะคะ” เสียงของคนรักแว่วดังข้างหูพร้อมกับวงแขนกอดเอวกระชับแน่นเข้า “เป็นไปไม่ได้หรอกว่าป้ายบอกทางจะว่างเปล่าโบ๋เบ๋ไม่บอกอะไร ไม่มีเหตุผลสักนิด”
“เขาคงลืม หรือทำไม่เสร็จ”
ชายหนุ่มคาดเดาแม้ว่าความเป็นไปได้แทบไม่มีเลยก็ตาม คงไม่มีหน่วยงานใดบรมชุ่ยขนาดนั้น แต่ยังนึกหาเหตุผลอื่นไม่ออก ได้แต่พยายามทำตัวเป็นคนมีอารมณ์ขันไม่เดือดร้อนหนักใจ แม้ว่าความรู้สึกเริ่มหายวูบๆ กับเหตุการณ์แปลกประหลาด
“ยังดีว่ามันไม่เขียน Highway To Hell น่า ผมว่าเราไปกันเถอะ ป้ายข้างหน้าคงบอกอะไรบ้าง”
“ถ้ามีป้ายข้างหน้านะ” จันทราพึมพำกับตัวเองอย่างใจคอไม่ดี เจอเหตุการณ์ชวนขนลุกตามรายทางมาตลอด แต่เธอยังคงปลุกปลอบความเข้มแข็ง แม้จะรู้สึกว่าสถานการณ์เลวร้ายลงทุกที สัญชาตญาณพิเศษบางอย่างบอกกับตัวเองมั่นใจว่าการเดินทางไม่ผิดผลาดแน่นอน แต่คืนนี้ทำไมมีเหตุการณ์พิกลหลุดโลกราวกำลังหลงเข้าไปในดินแดนอาถรรพ์ หญิงสาวลองหยิกเอวของหนุ่มคนขับอย่างแรง จนคนโดนหยิกเล็บมือพิฆาตสะดุ้งร้องโอ้ยก่อนหันมาถามอย่างคนไม่เข้าใจ
“ไม่มีอะไร เดือนลองหยิกดูว่าคุณเจ็บเป็นไหม” คำอธิบายเรียบง่ายของแฟนสาวทำให้ตะวันแทบอยากหักรถบิ๊กไบค์เลี้ยวลงข้างทาง
“โธ่ เจ็บสิครับ คิดอะไรของคุณอยู่เนี่ย”
“เดือนอยากมั่นใจว่าเรายังมีชีวิตอยู่”
“คิดบ้าๆ อะไรกัน” ตะวันโวยวาย ลดความเร็วรถลงเพื่อจะได้คุยกันถนัดมากขึ้น ไม่ต้องตะเบ็งเสียง พลางเริ่มไม่แน่ใจกับน้ำเสียงและความหมายของสาวคนรัก
“เป็นใครก็เจ็บสิครับ คนนะไม่ใช่แมว”
“เดือนเคยอ่านนิยายสยองขวัญ” หญิงสาวเริ่มเล่าเหตุผลของการหยิกปลิดวิญญาณด้วยเสียงกึ่งจริงจังกึ่งเล่น ไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย “เคยดูเคยอ่านไหมคะ คนขับรถกลางคืนแล้วประสบอุบัติเหตุ ไม่รู้ตัวเองว่าเสียชีวิต เขายังคงคิดว่ากำลังเดินทางต่อไป และเริ่มพบเหตุการณ์แปลกประหลาดชวนขนลุกมากขึ้นทุกที...ก่อนท้ายสุดต้องเริ่มยอมรับว่าตัวเองตายไปแล้ว “
“คิดอะไรแปลกๆ สมกับเป็นนางสาวจันทรา”
ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับเรื่องเล่าสยองขวัญของคนซ้อนท้ายแบบกึ่งเล่นกึ่งจริง” นั่นมันนิยายนะที่รัก แต่นี่เรื่องจริงชีวิตจริงๆของเราสอง จ้างให้ผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนตายแล้วไม่รู้ตัว เดือนจ๋า คุณก็ต้องแน่ใจแล้วนะว่าพวกเรายังไม่ได้ตาย ถ้าจะให้แน่ใจจะลองเอามีดปาดคอผมดูก็ได้นะครับ เอ้ะ ! นั่นแสงไฟอะไร”
ข้างทางมีแสงสว่างไสวคล้ายเป็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่กว่าป้ายบอกทางปกติ ซึ่งไม่ควรเป็นไปได้ในเส้นทางสายนี้ เมื่อเข้าไปใกล้จึงพบว่าเป็นป้ายริมทางสว่างจ้า ตะวันเหยียบเบรกจอดรถกะทันหันด้วยความประหลาดใจ
บริการห้องเช่า 24 ชั่วโมง
เลยป้ายไปเล็กน้อยเป็นถนนแยกออกจากสายหลักเป็นระยะทางประมาณสิบเมตร เป็นลานกว้างสามารถจอดรถยนต์ได้นับสิบคัน อาคารสองชั้นติดหลอดไฟสว่างเด่นเป็นสง่าชัดถนัดตา สภาพเหมือนโรงแรมข้างทางตามที่สามารถพบเห็นโดยทั่วไปในแหล่งชุมชนในเมือง แต่ไม่น่าจะมาพบแถวชนบท สองหนุ่มสาวแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยตลอดเวลาสามปีที่ผ่านไปมานับสิบครั้ง ราวกับว่าโรงแรมขนาดย่อมแห่งนี้ลอยลงมาจากอากาศมามาตั้งบนพื้นดินอย่างไรอย่างนั้น และที่น่าแปลกใจทำไมเพิ่งสังเกตเห็นโรงแรมหลังจากพบป้ายริมทาง ทั้งที่เป็นอาคารสองชั้นสว่างไสวไปด้วยแสงไฟน่าจะมองเห้นได้ในระยะไกล
สองเดือนก่อนทั้งคู่เคยผ่านถนนสายนี้เพื่อไปเยี่ยมบ้านของฝ่ายหญิง ยังไม่เห็นโรงแรมข้างทางแห่งนี้เลย ถ้ามีก็คงสังเกตเห็นอย่างแน่นอนเพราะทั้งป้ายขนาดใหญ่และสะดุดตาไม่ไกลจากถนนใหญ่ ไม่มีทางหลงหูรอดตาไปได้ จะบอกว่าขับรถเลยทางแยกเข้าหมู่บ้านก็เป็นไปไม่ได้ เพราะทางแยกมีป้ายระบุชื่อหมู่บ้านชัดเจนไม่มีทางหลงทางได้อย่างแน่นอน
จันทราสะกิดบ่าแฟนหนุ่ม พูดด้วยเสียงแสดงความประหลาดใจว่า
“เดือนแน่ใจค่ะเราไม่หลงทาง แต่ก็แน่ใจเหมือนกันว่าไม่เคยเห็นโรงแรมข้างทางนี่มาก่อนเลย ไม่น่าเป็นไปได้”
คราวนี้ตะวันยิ้มไม่ออก มีแต่ความฉงนสนเท่ห์สุดขีด ความจริงปรากฏตรงหน้าและสามัญสำนึกอันขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับเหตุการณ์ เรื่องเส้นทางคนอย่างนายตะวันไม่มีทางหลงทิศหลงทางผิดพลาดอย่างแน่นอน ได้ฉายาจากเพื่อนๆว่ามนุษย์แมวซึ่งเป็นสัตว์ความทรงจำเกี่ยวกับเส้นทางดีเยี่ยม
“เราต้องไปถามดูให้รู้แน่”
หลังจากมองประเมินสถานการณ์พักหนึ่ง ชายหนุ่มบอกกับแฟนสาวชนิดไม่รอคำวินิจฉัยตีความ บิ๊กไบค์เลี้ยวเข้าถนนข้างทางตรงไปยังโรงแรมปริศนาทันที อย่างน้อยมองเห็นรถยนต์หลายคันจอดอยู่ลานกว้างหน้าอาคาร หมายถึงว่าคงไม่ใช่โรงแรมนรกสยองขวัญ โฮเทลแคลิฟอร์เนีย หรือ เบตส์ โมเทล ของนอร์แมน เบตส์ แห่งหนังไซโคอันระทึกขวัญเป็นแน่แท้ อาคารสองชั้นสังเกตว่าจำนวนเกินครึ่งหนึ่งมีแสงไฟสว่างลอดออกมาทางหน้าต่าง แสดงว่ามีคนมาพักอยู่มากพอสมควร แม้ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ก็ตาม
จันทรามีความสงสัยมากมายแต่ยังหาเหตุผลห้ามปรามแฟนหนุ่มไม่ได้ คนอย่างตะวันถ้าอยากจะรู้อะไร เขาจะพยายามทำทุกอย่างให้บรรลุเป้าหมาย เป็นคนใจร้อนแต่มีเหตุผล และสำคัญคือมีความเป็นผู้ปกป้องไว้ใจได้เสมอกับทุกสถานการณ์ ไม่ใช่คนดีเต็มร้อย แต่ส่วนดีที่มีอยู่ ก็จัดว่ามากพอในการเป็นเหตุผลทำให้เธอรับผู้ชายคนนี้มาเต็มหัวใจ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอเชื่อมั่นว่าเขาจะปกป้องอย่างสุดชีวิตจิตใจ เท่านี้ก็มากเกินพอในการเปิดหัวใจให้กับใครบางคน
ถ้ามีคนในโรงแรม
ต้องมีข้อมูล เป็นเหตุผลง่ายๆ
ลานจอดรถสังเกตว่ามีรถหลายคันหลายประเภท ทั้งรถเก๋ง รถกระบะที่ชาวบ้านใช้กันทั่วไป รถบรรทุก คนเก๋งส่วนบุคคล กระทั่งรถเกี่ยวข้าว ความจริงเวลานี้ยังไม่ดึกมาก แค่ทุ่มกว่าๆ แต่บรรยากาศเงียบสงบอย่างน่าประหลาด สายลมโชยพัดมาไม่ได้หนาวเหน็บอะไรมากมาย แต่ทำให้ใจสั่นสะท้านอย่างไม่มีเหตุผล
ตะวันจอดรถไว้ในลานกว้างหน้าอาคาร สายตาเก็บรายละเอียดต่างๆ ตามความเคยชินของหนุ่มไฟแรงตื่นตัวอยู่เสมอ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วสงสัยเมื่อมองเห็นรถคันใหญ่สีดำรูปร่างคล้ายรถบรรทุกศพ จอดใกล้บริเวณทางออกห่างออกไปไม่มากนัก แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะเขาเพิ่งแซงรถนรกคันนั้นมา ฝาปิดท้ายรถเปิดทิ้งเอาไว้และไม่มีโลงศพอยู่บนรถปรากฏให้เห็น
จันทราเองก็สังเกตเห็นเหมือนกัน แต่ไม่มีใครพูดอะไร พื้นที่แถวนี้เป็นชนบท คงไม่แปลกอะไรว่าจะมีรถบรรทุกสำหรับขนผลิตผลทางเกษตรตามเส้นทาง
ห้องโถงกว้างชั้นล่างหน้าอาคารมีเคาน์เตอร์สำหรับรับแขกมาติดต่อ ชายชราชุดดำท่าทางดูดีมีสง่าวัยห่างจากสุสานไม่มากนักนั่งตัวตรงนิ่งอยู่ ท่าทางไม่สนใจแขกหน้าใหม่ จนตะวันส่งเสียงทักขึ้นจึงหันมามองด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนบอกด้วยเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ว่า
“มีห้องพักว่างเสมอครับ”
“เราไม่ได้มาพักนะครับ” ตะวันรีบบอกเมื่อเห็นชายชราทำท่าจะเอื้อมมือไปหาชั้นเก็บลูกกุญแจจากผนังด้านหลัง “คือว่าเราแวะมาถามเส้นทางเท่านั้น”
“คนมาที่นี่ต้องการห้องพักกันทั้งนั้น”
< มีต่อครับ>
.
ทางหลอน ......... 4
“จะถามเส้นทางใช่ไหมหนู”
“ค่ะคุณยาย คือพวกเราไม่แน่ใจว่านี่เป็นทางไปหมู่บ้าน...หรือเปล่าคะ”
เธอบอกชื่อหมู่บ้าน อันเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางด้วยน้ำเสียงมีสัมมาคารวะ บ่งบอกความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ แม้จะเป็นคนแปลกหน้าก็ตามที คุณยายยังไม่ตอบคำถามอย่างคนมั่วไปควรจะทำ เดินไปวางตะเกียงลงบนโต๊ะไม้อย่างไม่รีบร้อน ทำให้ภายในร้านสว่างไสวมากขึ้นกว่าเดิม มือทำท่าค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ด้านหลังโต๊ะก่อนตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า
“พวกเธอไม่ได้หลงทางหรอก แต่หลงเวลาเท่านั้น”
“หมายความว่ายังไงคะยาย” ไม่เพียงแต่จันทราจะมึนงงกับคำพูดแปลกๆ แฟนหนุ่มข้างกายก็ยังรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่เขาเลือกจะสงบนิ่งดูสถานการณ์ต่อไปอย่างใคร่ครวญ
“เอาเป็นว่ายายจะช่วยได้เท่าที่จะช่วยได้ก็แล้วกัน”
พูดจบคุณยายเดินตรงมาหาสองหนุ่มสาวพลางยื่นมือส่งของบางอย่างมาเบื้องหน้า จันทราขมวดคิ้วจ้องมองอย่างไม่เข้าใจ ในมือของหญิงชราเป็นเพียงเทียนไขขนาดเท่านิ้วมือสองเล่ม
“พวกเราไม่ได้จะซื้อของครับ แค่ถามทางเท่านั้น” ตะวันรีบบอก ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินทองแต่เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวกับการชอบพูดอะไรตรงๆ ใบหน้าของคุณยายยังคงประดับรอยยิ้มขณะยัดเทียนไขทั้งสองเล่มใส่มือของฝ่ายหญิงพลางบอกด้วยเสียงนุ่มนวล
“ยายก็ไม่ได้บอกว่าจะขายนี่นา รับเอาไว้เถอะ เทียนสองเล่มจะช่วยพวกเธอได้เมื่อถึงเวลา ยายคงพูดอะไรมากไม่ได้”
“ขอบคุณมากค่ะคุณยาย ว่าแต่ที่คุณยายพูด หมายถึงเวลาอะไรคะ” จันทราของกำนัลรับไว้โดยไม่เรื่องยากมากความ พลาง มองหน้าคนให้ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจ คุณยายได้แต่ยิ้มน้อยๆ และตอบว่า
“เอาเถอะ ถึงเวลาแล้วจะรู้เอง อย่าลืมที่บอกนะ เก็บติดตัวเอาไว้ ยายได้เวลากลับล่ะ”
“กลับบ้านหรือคะ อีกไกลไหมคะจะถึงทางแยก บ้านคุณยายอยู่ไหนคะ แล้วมาขายสินค้าอะไรคะ”
คุณยายยังคงมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม โดยไม่ตอบอะไรกับคำถามชุดใหญ่ หันหลังเดินกลับเข้าไปในร้าน ปิดตะเกียงโบราณ ก่อนฉวยตะเกียงดวงที่เหลือเดินดุ่มไปด้านหลังร้านอย่างคนรู้ทาง หันมายิ้มให้อีกครั้ง เดินมุ่งหน้าเข้าไปในเงามืดห่างออกไปจากถนนไปตามทางเดินเล็กๆ ลัดเลี้ยวตามแนวสุมทุมพุ่มไม้ซึ่งปรากฏให้เห็นในแสงวูบวาบของตะเกียง ก่อนดับลับหายไปจากสายตา
“ยังไม่ทันได้ถามอะไรให้รู้เรื่องเลย คุณยายจอมยิ้มแกจะรีบไปไหนกัน ทำตัวแปลกๆพิลึกเหมือนไม่ใช่คน แล้วเอาเทียนไขมาให้ทำไม ถ้าเป็นของกินได้พันธุ์พื้นเมืองแถวนี้อย่างแอปเปิลหรือองุ่นทับทิม ก็ว่าไปอย่าง”
ตะวันโคลงศีรษะไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่อย่างน้อยก็อุ่นใจได้ระดับหนึ่งว่าไม่มีการหลงทาง แม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆ กับการเดินทางอันยาวนานผิดปกติ และกับคำพูดปริศนาของคุณยายใจดีก็ตาม แฟนสาวยื่นเทียนในมือให้เล่มหนึ่งแต่เขาส่ายหน้าปฏิเสธ บอกให้เก็บเทียนไขไว้ทั้งสองเล่ม เนื่องจากไม่เชื่อเรื่องของขลังเครื่องรางใดๆ ซึ่งแฟนสาวเข้าใจดีจึงไม่รบเร้าอะไร ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อแท่งเทียน เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ พลางกลับมานั่งซ้อนท้ายอีกครั้ง
“มืดแล้ว ยายแกคงรีบกลับบ้าน เราไปต่อกันดีกว่าค่ะ”
หญิงสาวว่าพลางหันไปมองด้านหลังอย่างหวาดๆ เมื่อนึกถึงรถบรรทุกสยองนรกที่ใช้เส้นทางร่วมกัน และเจ้าของร่างประหลาดท้ายรถกับพฤติกรรมชวนสยองจิต ยังคงตอกตรึงความรู้สึกไม่จางหาย ด้านหลังมีเพียงความมืดโดยไม่ปรากฏแสงไฟหน้ารถบรรทุกลึกลับโผล่มาเขย่าขวัญ แต่ไม่เจอก็ดีแล้ว เพราะภาพสุดแสนน่ากลัวยังคงประทับชัดเจนในความรู้สึกไม่จางหาย และน่าแปลกใจว่าตัวเองปรับความรู้สึกได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ บางทีอาจเป็นเพราะมากับคนรักก็เป็นได้ ทำให้กำลังใจมั่นคงไม่เสียศูนย์ไปกับเรื่องราวอันชวนขนลุก
ระยะทางดูเหมือนว่าอีกไม่ไกลจะถึงทางแยกเข้าหมู่บ้าน แต่สิ่งที่ทั้งสองไม่รู้คือ การเดินทางครั้งนี้ยาวนานกว่าคาดคิด รวมทั้งเรื่องราวแปลกประหลาด รอโอกาสและเวลาของมันอยู่ในความมืดอย่างเยือกเย็น
“นั่นไง ป้ายบอกทางข้างหน้า”
หลังจากขับรถไปได้สักพัก ตะวันหันมาบอกกับคนซ้อนท้ายอย่างดีใจเมื่อแสงไฟหน้ารถส่องให้เห็นแผ่นป้ายสีขาวชัดเจนโดดเด่นข้างถนน จึงรีบชะลอรถไปจอดเทียบทันที แต่แล้วทั้งคู่ต้องตะลึงอย่างไม่เชื่อสายตา
ป้ายบอกทางขนาดใหญ่มีเพียงพื้นสีขาว ไม่มีตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว !
เป็นไปได้อย่างไรกัน …มีใครอุตริพิเรนทร์ทำป้ายบอกทางประหลาดแบบนี้
“เดือนว่ามันแปลกนะคะ” เสียงของคนรักแว่วดังข้างหูพร้อมกับวงแขนกอดเอวกระชับแน่นเข้า “เป็นไปไม่ได้หรอกว่าป้ายบอกทางจะว่างเปล่าโบ๋เบ๋ไม่บอกอะไร ไม่มีเหตุผลสักนิด”
“เขาคงลืม หรือทำไม่เสร็จ”
ชายหนุ่มคาดเดาแม้ว่าความเป็นไปได้แทบไม่มีเลยก็ตาม คงไม่มีหน่วยงานใดบรมชุ่ยขนาดนั้น แต่ยังนึกหาเหตุผลอื่นไม่ออก ได้แต่พยายามทำตัวเป็นคนมีอารมณ์ขันไม่เดือดร้อนหนักใจ แม้ว่าความรู้สึกเริ่มหายวูบๆ กับเหตุการณ์แปลกประหลาด
“ยังดีว่ามันไม่เขียน Highway To Hell น่า ผมว่าเราไปกันเถอะ ป้ายข้างหน้าคงบอกอะไรบ้าง”
“ถ้ามีป้ายข้างหน้านะ” จันทราพึมพำกับตัวเองอย่างใจคอไม่ดี เจอเหตุการณ์ชวนขนลุกตามรายทางมาตลอด แต่เธอยังคงปลุกปลอบความเข้มแข็ง แม้จะรู้สึกว่าสถานการณ์เลวร้ายลงทุกที สัญชาตญาณพิเศษบางอย่างบอกกับตัวเองมั่นใจว่าการเดินทางไม่ผิดผลาดแน่นอน แต่คืนนี้ทำไมมีเหตุการณ์พิกลหลุดโลกราวกำลังหลงเข้าไปในดินแดนอาถรรพ์ หญิงสาวลองหยิกเอวของหนุ่มคนขับอย่างแรง จนคนโดนหยิกเล็บมือพิฆาตสะดุ้งร้องโอ้ยก่อนหันมาถามอย่างคนไม่เข้าใจ
“ไม่มีอะไร เดือนลองหยิกดูว่าคุณเจ็บเป็นไหม” คำอธิบายเรียบง่ายของแฟนสาวทำให้ตะวันแทบอยากหักรถบิ๊กไบค์เลี้ยวลงข้างทาง
“โธ่ เจ็บสิครับ คิดอะไรของคุณอยู่เนี่ย”
“เดือนอยากมั่นใจว่าเรายังมีชีวิตอยู่”
“คิดบ้าๆ อะไรกัน” ตะวันโวยวาย ลดความเร็วรถลงเพื่อจะได้คุยกันถนัดมากขึ้น ไม่ต้องตะเบ็งเสียง พลางเริ่มไม่แน่ใจกับน้ำเสียงและความหมายของสาวคนรัก
“เป็นใครก็เจ็บสิครับ คนนะไม่ใช่แมว”
“เดือนเคยอ่านนิยายสยองขวัญ” หญิงสาวเริ่มเล่าเหตุผลของการหยิกปลิดวิญญาณด้วยเสียงกึ่งจริงจังกึ่งเล่น ไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย “เคยดูเคยอ่านไหมคะ คนขับรถกลางคืนแล้วประสบอุบัติเหตุ ไม่รู้ตัวเองว่าเสียชีวิต เขายังคงคิดว่ากำลังเดินทางต่อไป และเริ่มพบเหตุการณ์แปลกประหลาดชวนขนลุกมากขึ้นทุกที...ก่อนท้ายสุดต้องเริ่มยอมรับว่าตัวเองตายไปแล้ว “
“คิดอะไรแปลกๆ สมกับเป็นนางสาวจันทรา”
ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับเรื่องเล่าสยองขวัญของคนซ้อนท้ายแบบกึ่งเล่นกึ่งจริง” นั่นมันนิยายนะที่รัก แต่นี่เรื่องจริงชีวิตจริงๆของเราสอง จ้างให้ผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนตายแล้วไม่รู้ตัว เดือนจ๋า คุณก็ต้องแน่ใจแล้วนะว่าพวกเรายังไม่ได้ตาย ถ้าจะให้แน่ใจจะลองเอามีดปาดคอผมดูก็ได้นะครับ เอ้ะ ! นั่นแสงไฟอะไร”
ข้างทางมีแสงสว่างไสวคล้ายเป็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่กว่าป้ายบอกทางปกติ ซึ่งไม่ควรเป็นไปได้ในเส้นทางสายนี้ เมื่อเข้าไปใกล้จึงพบว่าเป็นป้ายริมทางสว่างจ้า ตะวันเหยียบเบรกจอดรถกะทันหันด้วยความประหลาดใจ
บริการห้องเช่า 24 ชั่วโมง
เลยป้ายไปเล็กน้อยเป็นถนนแยกออกจากสายหลักเป็นระยะทางประมาณสิบเมตร เป็นลานกว้างสามารถจอดรถยนต์ได้นับสิบคัน อาคารสองชั้นติดหลอดไฟสว่างเด่นเป็นสง่าชัดถนัดตา สภาพเหมือนโรงแรมข้างทางตามที่สามารถพบเห็นโดยทั่วไปในแหล่งชุมชนในเมือง แต่ไม่น่าจะมาพบแถวชนบท สองหนุ่มสาวแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยตลอดเวลาสามปีที่ผ่านไปมานับสิบครั้ง ราวกับว่าโรงแรมขนาดย่อมแห่งนี้ลอยลงมาจากอากาศมามาตั้งบนพื้นดินอย่างไรอย่างนั้น และที่น่าแปลกใจทำไมเพิ่งสังเกตเห็นโรงแรมหลังจากพบป้ายริมทาง ทั้งที่เป็นอาคารสองชั้นสว่างไสวไปด้วยแสงไฟน่าจะมองเห้นได้ในระยะไกล
สองเดือนก่อนทั้งคู่เคยผ่านถนนสายนี้เพื่อไปเยี่ยมบ้านของฝ่ายหญิง ยังไม่เห็นโรงแรมข้างทางแห่งนี้เลย ถ้ามีก็คงสังเกตเห็นอย่างแน่นอนเพราะทั้งป้ายขนาดใหญ่และสะดุดตาไม่ไกลจากถนนใหญ่ ไม่มีทางหลงหูรอดตาไปได้ จะบอกว่าขับรถเลยทางแยกเข้าหมู่บ้านก็เป็นไปไม่ได้ เพราะทางแยกมีป้ายระบุชื่อหมู่บ้านชัดเจนไม่มีทางหลงทางได้อย่างแน่นอน
จันทราสะกิดบ่าแฟนหนุ่ม พูดด้วยเสียงแสดงความประหลาดใจว่า
“เดือนแน่ใจค่ะเราไม่หลงทาง แต่ก็แน่ใจเหมือนกันว่าไม่เคยเห็นโรงแรมข้างทางนี่มาก่อนเลย ไม่น่าเป็นไปได้”
คราวนี้ตะวันยิ้มไม่ออก มีแต่ความฉงนสนเท่ห์สุดขีด ความจริงปรากฏตรงหน้าและสามัญสำนึกอันขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับเหตุการณ์ เรื่องเส้นทางคนอย่างนายตะวันไม่มีทางหลงทิศหลงทางผิดพลาดอย่างแน่นอน ได้ฉายาจากเพื่อนๆว่ามนุษย์แมวซึ่งเป็นสัตว์ความทรงจำเกี่ยวกับเส้นทางดีเยี่ยม
“เราต้องไปถามดูให้รู้แน่”
หลังจากมองประเมินสถานการณ์พักหนึ่ง ชายหนุ่มบอกกับแฟนสาวชนิดไม่รอคำวินิจฉัยตีความ บิ๊กไบค์เลี้ยวเข้าถนนข้างทางตรงไปยังโรงแรมปริศนาทันที อย่างน้อยมองเห็นรถยนต์หลายคันจอดอยู่ลานกว้างหน้าอาคาร หมายถึงว่าคงไม่ใช่โรงแรมนรกสยองขวัญ โฮเทลแคลิฟอร์เนีย หรือ เบตส์ โมเทล ของนอร์แมน เบตส์ แห่งหนังไซโคอันระทึกขวัญเป็นแน่แท้ อาคารสองชั้นสังเกตว่าจำนวนเกินครึ่งหนึ่งมีแสงไฟสว่างลอดออกมาทางหน้าต่าง แสดงว่ามีคนมาพักอยู่มากพอสมควร แม้ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ก็ตาม
จันทรามีความสงสัยมากมายแต่ยังหาเหตุผลห้ามปรามแฟนหนุ่มไม่ได้ คนอย่างตะวันถ้าอยากจะรู้อะไร เขาจะพยายามทำทุกอย่างให้บรรลุเป้าหมาย เป็นคนใจร้อนแต่มีเหตุผล และสำคัญคือมีความเป็นผู้ปกป้องไว้ใจได้เสมอกับทุกสถานการณ์ ไม่ใช่คนดีเต็มร้อย แต่ส่วนดีที่มีอยู่ ก็จัดว่ามากพอในการเป็นเหตุผลทำให้เธอรับผู้ชายคนนี้มาเต็มหัวใจ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอเชื่อมั่นว่าเขาจะปกป้องอย่างสุดชีวิตจิตใจ เท่านี้ก็มากเกินพอในการเปิดหัวใจให้กับใครบางคน
ถ้ามีคนในโรงแรม
ต้องมีข้อมูล เป็นเหตุผลง่ายๆ
ลานจอดรถสังเกตว่ามีรถหลายคันหลายประเภท ทั้งรถเก๋ง รถกระบะที่ชาวบ้านใช้กันทั่วไป รถบรรทุก คนเก๋งส่วนบุคคล กระทั่งรถเกี่ยวข้าว ความจริงเวลานี้ยังไม่ดึกมาก แค่ทุ่มกว่าๆ แต่บรรยากาศเงียบสงบอย่างน่าประหลาด สายลมโชยพัดมาไม่ได้หนาวเหน็บอะไรมากมาย แต่ทำให้ใจสั่นสะท้านอย่างไม่มีเหตุผล
ตะวันจอดรถไว้ในลานกว้างหน้าอาคาร สายตาเก็บรายละเอียดต่างๆ ตามความเคยชินของหนุ่มไฟแรงตื่นตัวอยู่เสมอ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วสงสัยเมื่อมองเห็นรถคันใหญ่สีดำรูปร่างคล้ายรถบรรทุกศพ จอดใกล้บริเวณทางออกห่างออกไปไม่มากนัก แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะเขาเพิ่งแซงรถนรกคันนั้นมา ฝาปิดท้ายรถเปิดทิ้งเอาไว้และไม่มีโลงศพอยู่บนรถปรากฏให้เห็น
จันทราเองก็สังเกตเห็นเหมือนกัน แต่ไม่มีใครพูดอะไร พื้นที่แถวนี้เป็นชนบท คงไม่แปลกอะไรว่าจะมีรถบรรทุกสำหรับขนผลิตผลทางเกษตรตามเส้นทาง
ห้องโถงกว้างชั้นล่างหน้าอาคารมีเคาน์เตอร์สำหรับรับแขกมาติดต่อ ชายชราชุดดำท่าทางดูดีมีสง่าวัยห่างจากสุสานไม่มากนักนั่งตัวตรงนิ่งอยู่ ท่าทางไม่สนใจแขกหน้าใหม่ จนตะวันส่งเสียงทักขึ้นจึงหันมามองด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนบอกด้วยเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ว่า
“มีห้องพักว่างเสมอครับ”
“เราไม่ได้มาพักนะครับ” ตะวันรีบบอกเมื่อเห็นชายชราทำท่าจะเอื้อมมือไปหาชั้นเก็บลูกกุญแจจากผนังด้านหลัง “คือว่าเราแวะมาถามเส้นทางเท่านั้น”
“คนมาที่นี่ต้องการห้องพักกันทั้งนั้น”
< มีต่อครับ>
.