สิ่งที่จะได้จากกระทู้นี้คือเกร็ดความรู้และประสบการณ์เสริมในการขับขี่รถยนต์ในทวีปยุโรป ทั้งนี้ก็ยังสามารถนำเอาไปประยุกใช้กับประเทศอื่นๆได้เช่นกัน โดยผู้ขับขี่ (ผม) ได้ผ่านประสบการณ์ขับรถในต่างแดนมาบ้าง เช่น ญี่ปุ่น โครเอเชีย เช็ก ออสเตรีย เยอรมนี และสวิสเซอร์แลนด์
ทั้งนี้ผมได้เตรียมความรู้พื้นฐานแบบง่ายที่สุด! ให้เพื่อนๆได้เอาไปใช้กันแบบไม่กั๊กครับ โดยเริ่มตั้งแต่การจองรถไปจนถึงการรับรถ เอาหละ! เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
1. จองรถ
อันดับแรกให้ดูรถจากเว็บไซต์ www.rentalcars.com ก่อน ถ้าถูกใจคันไหนก็ให้ดูบริษัทฯที่เป็นเจ้าของรถคันนี้ จากรูปด้านล่างก็จะเห็นว่ารถคันนี้เป็นของ SixT มีคะแนนรีวิว 9/10 (ด้านล่างซ้ายของรูป)
แต่อย่าพึ่งจองผ่านตรงนี้ อันนี้ดูให้รู้ว่าเราต้องจองกับใคร ผมแนะนำให้ไปจองโดยตรงที่เว็บไซต์ของผู้ให้บริการเลย เพราะอะไรเดี๋ยวเราค่อยๆดูไปด้วยกัน
ทริปยุโรปผมมักจะใช้บริการของ SixT ผ่านทางเว็บไซต์ www.sixt.global ส่วนญี่ปุ่นจะเป็น Times Car Rental ผ่าน www.timescar-rental.com มากกว่าครึ่งจะได้อัพเกรดเป็นรถรุ่นที่ดีกว่า เช่น จอง Mazda 3 แต่ได้ Prius กระทั่งจอง Mercedes-Benz E-Class แต่ได้ Mercedes-Benz รุ่น GLE
2. การเลือกรถ
ความถนัด - ขนาดของรถมีผลต่อการกะระยะ ยิ่งเล็กยิ่งง่าย และถ้าเราไม่เคยขับรถขนาดใหญ่ แนะนำว่าอย่าเลือกของใหญ่ครับถ้าคุณไม่มั่นใจ
พื้นที่ท้ายรถ - ให้เราดูจากที่ว่างท้ายรถ (กระโปรงรถ) ว่าใส่กระเป๋าได้กี่ใบ เพราะถ้ายิ่งเที่ยวนานก็ยิ่งจะต้องใช้กระเป๋าใบใหญ่ตามไปด้วย เราต้องคำนวนให้ดีว่าจะใส่กระเป๋าได้ครบไหม ในภาพรถตัวอย่างด้านบนระบุไว้ว่าใส่ได้ 2 ใบ ให้ตีกลมๆว่าใบใหญ่ขนาดประมาณ 30” 2 ใบ ผมก็กะเอาว่ากระเป๋าขนาด 26-28 น่าจะยัดเข้าไปได้ถึง 3 ใบ แต่บางคันก็ได้แค่ 2 ใบจริงๆ (ไม่นับกระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อย) ระมัดระวังเรื่องนี้ให้มากครับ
ชนิดของเกียร์ - หลายคนคงถนัดใช้เกียร์ออโต้ ผมขอให้รีบจองนะครับ เพราะราคาขึ้นไวยิ่งกว่าตั๋วเครื่องบินเสียอีก แต่ถ้าตัดใจเลือกเกียร์กระปุกก็จะได้ราคาที่ถูกกว่าเยอะ
จำกัดระยะวิ่ง - มีทั้งจำกัดและไม่จำกัด จากรูปตัวอย่างด้านบนเราทดลองจองรถ 7 วัน ผลคือจำกัดให้วิ่งได้แค่ 875 km เท่านั้น ถ้าขับเกินก็จะต้องจ่ายเงินเพิ่มตามส่วนต่างระยะทาง
การชำระเงิน - ปกติแล้วเราก็จะเลือกจ่ายเอาหน้างานครับ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเงินเราถึงมือผู้ให้บริการแล้ว อีกทั้งยังสามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าเรามั่นใจให้เราชำระเงินไปเลยทันทีก็ได้ เพราะส่วนใหญ่จะได้ราคาที่ถูกลงค่อนข้างเยอะ
ประกันภ้ย - ให้เลือกประกันที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันปัญหาให้เยอะที่สุดตั้งแต่อุบัติเหตุร้ายแรงหรือแม้แต่รอยขีดข่วน (แค่รอยเล็กๆก็โดนปรับแล้วนะจ๊ะ) และนอกจากประกันตัวรถแล้วก็แนะนำให้ซื้อประกันตัวบุคคลเพิ่มเติมอีกต่อนึงกันไว้ครับ
อ็อพชั่นเสริม - ผู้ให้บริการบางเจ้าก็จะมีออพชั่นเสริมให้เราจ่ายเพิ่ม! เช่น ยางกันหิมะ จีพีเอส หรือการเพิ่มจำนวนคนขับ
3. ทำใบขับขี่สากล
สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือใบขับขี่สากลครับ แน่นอนว่าต้องยังไม่หมดอายุ เพราะเจ้าหน้าของผู้ให้บริการเช่ารถต้องตรวจสอบอย่างแน่นอน ไม่งั้นการจองรถของคุณจะเป็นโมฆะไปโดยปริยาย
แต่เราสามารถทำได้ไม่ยากครับ เพียงแค่เตรียมหลักฐานให้ครบถ้วน แล้วย้ายก้นของคุณไปที่กรมขนส่งประจำจังหวัดที่ไหนก็ได้ในประเทศไทย โดยให้เตรียมเอกสารให้พร้อมดังนี้
1) สำเนาหนังสือเดินทาง เล่มที่ใช้ในการเดินทาง (พร้อมตัวจริง)
2) สำเนาประจำตัวประชาชน (พร้อมตัวจริง)
3) สำเนาใบขับขี่รถส่วนบุคคล หรือ ตลอดชีพ (พร้อมตัวจริง)
4) รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป (รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน) โดยถ่ายรูปหน้าตรง ไม่สวมหมวกหรือสวมแว่นตาสีเข้ม และไม่มีภาพวิวหลังรูป
5) สำเนาหลักฐานการแก้ไขชื่อ- สกุล, ทะเบียนสมรสหรือใบหย่า
6) ค่าธรรมเนียม 505 บาท
อ้างอิงจาก:
https://www.dlt.go.th/th/driving-license/view.php?_did=90
4. ศึกษากฏจราจร
สิ่งสำคัญมากๆที่ขาดไม่ได้เลยก็คือความรู้ในเรื่องของกฏจราจรครับ โดยแต่ละประเทศก็จะมีข้อกำหนดที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป ผมก็ขอแนะนำว่าให้ศึกษากฏคร่าวๆก่อนไป เพราะถ้าฝ่าฝืนเพียงเล็กน้อยก็อาจจะโดนปรับโทษแบบได้ไม่คุ้มเสียเลยจริงๆ
รู้จักป้ายจราจร
ผมจะขอยกตัวอย่างป้ายจราจรในยุโรปที่แปลกตาสำหรับคนไทยมาให้ดูสัก 5-6 ป้ายเป็นน้ำจิ้มนะครับ
ป้าย 3 อันด้านบนมักจะปักอยู่บริเวณหัวถนน โดยหมายถึง "ห้ามยานพาหนะดังรูปวิ่งผ่านถนนดังกล่าวครับ" เราขับรถยนต์อยู่แล้วก็ให้สังเกตแค่ 3 อันนี้พอ
ป้าย 4 อันด้านบนจะเกี่ยวกับการแซงและห้ามแซง
อันแรกหมายถึงห้ามทุกกรณี
อันที่สองหมายถึงรถบรรทุกห้ามแซง (รถยนต์ธรรมดาแซงได้)
อันที่สามหมายถึงสุดเขตห้ามแซง
อันสุดท้ายหมายถึงรถบรรทุกแซงได้แล้วนะ
การเข้าวงเวียน
ง่ายก็จริงแต่ต้อง
มีสติ ที่ไทยเราจะวิ่งตามเข็มนาฬิกา และถ้าเป็นต่างประเทศอย่างญี่ปุ่นก็จะเหมือนกัน แต่ถ้าไปยุโรปจะต้องวิ่งเข้าวงเวียนแบบทวนเข็มนาฬิกา (ยกเว้นอังกฤษ) เพราะเราขับรถเลนขวานะคร้าบ ตรงนี้สำคัญมากๆพลาดไม่ได้จริงๆ
การจอดรถ
ส่วนใหญ่เราจะต้องจอดรถในที่เฉพาะเท่านั้น และเกือบทั้งหมดจะต้องจ่ายเงินเสมอ โดยแต่ละจุดจะมีระบบควบคุมและการชำระเงินดังนี้
1) รับบัตรจอดขาเข้าและเสียบบัตรคืนขาออก - ตรงนี้ต้องไปหาตู้ชำระเงินในอาคารจอดรถก่อนขับรถออกไปครับ
2) จ่ายหน้าตู้สาธารณะ - บางที่ที่เราไปจะเป็นที่จอดรถแบบพื้นที่โล่ง เพราะงั้นพอจอดเสร็จก็ต้องหาตู้จ่ายเงินครับ จากนั้นก็จะได้ตั๋วจอดรถมาเพื่อเอากลับไปเสียบไว้หน้ารถ บางที่ไฮเทคหน่อยก็ไม่ต้องมีตั๋วครับ หยอดเงินแล้วดูได้จากจอเลยว่าช่องที่เราจอดเหลือเวลากี่นาที
ควบคุมความเร็วรถ
ป้ายจำกัดความเร็วถือเป็นสิ่งศักสิทธิ์อย่างนึงครับ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเจอป้ายจำกัดความเร็วที่ 50 km/h แต่คุณเหยียบไป 51 km/h แค่นี้กล้องก็จับได้แล้วครับ ผมโดนมาก่อน และค่าปรับเยอะกว่าบ้านเราหลายเท่า ชนิดที่ว่ากินมาม่าแทนข้าวไปหลายวัน
ทางม้าลาย
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เราไม่ได้พูดถึงเวียดนามหรืออินโดนีเซีย แต่เรากำลังคุยกันถึงยุโรปที่ขึ้นชื่อว่าเข้มงวดในทุกเรื่อง โดยที่นี่เค้าถือว่าความปลอดภัยของคนเดินถนนสำคัญที่สุด และเมื่อไหร่ที่เราเหยียบคันเร่งเข้าถึงตัวเมืองแล้ว นอกจากจะต้องลดความเร็ว เราต้องมัดระวังคนข้ามถนนบนทางม้าลายเสมอ น้อยครั้งที่เราจะเห็นสะพานลอยข้ามถนนในยุโรป คือผมเห็นแต่ทางม้าลาย เพราะงั้นเมื่อเราเห็นคนเตรียมข้ามทางม้าลายเมื่อไหร่ให้ชะลอแล้วหยุดทันทีเพื่อให้คนไปก่อนรถ แม้เบรคหัวทิ่มก็ต้องเบรค … ยกเว้น! ในตัวเมืองที่จะมีสัญญาณจราจรควบคุม
การใช้ทางหลวง/ทางด่วน
อันนี้แล้วแต่ประเทศอีกนั่นแหละครับ บางที่ก็ฟรี บางทีก็ต้องจ่าย
ในประเทศออสเตรียหรือเช็กจะเว้นค่าทางด่วนเมื่อเราใช้รถที่มีป้ายทะเบียนเป็นของเยอรมันนี
ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์เราต้องซื้อ Vitgette Card ซึ่งหาได้ตามปั้มในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ปั้มที่อยู่ใกล้เขตแดนสวิส หรือที่ชายแดนสวิส (Border) สนนราคาอยู่ที่ 40 CHF หรือ 1,350 บาท ซื้อทีเดียวใช้ได้ทั้งปี … แหม่ และ
ในประเทศโครเอเชียจะเหมือนบ้านเราเช่นเดียวกันกับ
ญี่ปุ่น
การเติมน้ำมัน
ที่ยุโรปต้องช่วยตัวเองครับ ไม่มีใครอยากเป็นเด็กปั้มสักเท่าไหร่ แต่อย่ากังวลครับ เราขับรถเป็นก็ต้องเติมน้ำมันเองเป็นละฟ่ะ โดยสถานการณ์ทั้งหลายที่เราจะเจอมีไม่กี่อย่างหรอกครับ ให้ดูตามนี้เป็นหลักไปก่อนแล้วกัน
1) เติมน้ำมันเองแล้วไปจ่ายในมินิมาร์ท
2) หยอดเงินในตู้แล้วเติมน้ำมันเอง
3) เสียบบัตรเครดิต (ต้องมี PIN) แล้วเติมน้ำมันเอง
วิธีการเติมน้ำมันทั้งหมดก็มีแค่นี้เองครับ ง่ายจนคิดว่าไม่ต้องมีเด็กปั้มก็ได้ใช่ไหมหละ
5. ศึกษาลักษณะพิเศษของรถ
รถแต่ละรุ่นจะมีลักษณะเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชั่นหน้าปัดน้ำฝน ไฟเลี้ยว กระจกรถ หรือตำแหน่งของฝาเติมน้ำมัน ดังนั้นให้เราศึกษารถที่เราเลือกให้ดีก่อนขับขี่
6. ศึกษาเส้นทาง
ผมเข้าใจว่าเรามี Google Map เรามี GPS เรามีเทคโนโลยี แต่อยากให้ลองนั่งดู นั่งจำ นั่งศึกษาแผนที่ให้ขึ้นใจระดับนึง โดยอาจจะใช้เจ้า Google Map และ Google Street Map ไปควบคู่กันก็ได้ อย่างน้อยๆข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์ตอนสถานการณ์คับขัน
บางครั้งเราจะพึ่ง Google Map หรือ GPS โดยไม่ได้ทำการบ้านเลยก็คงจะเสี่ยงไปหน่อย เพราะคุณอาจจะเจอส่วนบุคคล ทางตัน หรือทางที่รถยนต์เข้าไม่ได้ และแม่แต่ซอยเปลี่ยวที่อันตราย ทั้งๆที่เราควรหลีกเลี่ยงเส้นทางเหล่านั้น เพราะงั้นผมแนะนำให้ทำการบ้านไปเยอะๆ ประหยัดเวลาเที่ยวดีกว่าเสียเที่ยวครับ
7. ไปเอารถได้!
เซ็นต์สัญญา - เตรียมใบจองที่ปริ้นท์ไว้ ใบขับขี่สากล บัตรเครดิต และพาสปอร์ต เพื่อเซ็นสัญญาก่อนรับรถ
ชำระเงิน - บัตรเครดิตของเราจะโดนรูดเกินจากยอดเช่าประมาณ 200-300% ทั้งนี้ก็เพื่อประกันยอดสูงสุดที่เราจะต้องจ่ายครับ เช่น ค่าจองรถประมาณ 3x,xxx บาท ก็จะรูดเพื่อหักเงินเราไว้ประมาณ 5-6 หมื่นบาท กันเหนียว แต่บางที่ก็ไม่มีอันนี้แล้วแต่ผู้ให้บริการ
เม็คชัวเรื่องประกัน - คอนเฟิร์มเรื่องการประกันภัยกับเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้รับการคุ้มครองแบบไหนบ้าง ถ้าเราไม่ได้ประกันชั้น 1 ให้เช็ครถให้ละเอียดก่อนนะครับ ถ้าให้ดีถ่ายรูปไว้ด้วยกันเหนียว เพราะถ้ามีรอยนิดเดียวรับรองว่าต้องมีจ่ายเพิ่มแน่นอน
น้ำมัน - ต่างประเทศใช้น้ำมันไม่เหมือนบ้านเรา เพราะงั้นถามให้ถูก จำให้แม่น
ลองของจริง - ก่อนขับขี่จริงก็ต้องมีการลองของกันหน่อยครับ ให้เราลองดูว่าฟังก์ชั่นต่างๆของรถเราใช้งานได้ปกติ นั่งสบาย นั่งแล้วรู้สึกเอาอยู่ และที่สำคัญ เพื่อนร่วมทางของเราต้องนั่งสบายด้วยครับ ถึงตรงนี้ต้องอย่าลืมจัดกระเป๋าให้สบายที่สุดก่อนออกรถ เพราะถ้ายัดกระเป๋าไม่ได้อย่างที่คำนวนเอาไว้ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าบานเลยครับ
สุดท้ายขอฝากไว้
ผมแนะนำให้ติดสินใจจองรถให้ไวที่สุด โดยเฉพาะรถเกียร์ออโต้ที่ราคาวิ่งไวอย่างกะ Usain Bolt แต่ถ้าใครขับเกียร์กระปุกได้แนะนำเป็นอย่างมากเลยนะครับ เพราะราคาถูกกว่ากันเยอะ ประหยัดเงินไปกินเบียร์เถอะพี่น้องงงง
การขับรถเที่ยวด้วยตัวเองเป็นอะไรที่ฟินาเล่ที่สุดในสามโลกก็ไม่ปาน ไม่ใช่แค่ยุโรป แต่เป็นทุกที่บนโลกใบนี้ เพราเราจะแวะพักเมื่อไหร่ก็ได้ ถ่ายรูปตรงไหนก็ได้ และทริคเล็กๆที่น่าเก็บเกี่ยวไปลองก็หนีไม่พ้นการขับรถที่ไม่ต้องขึ้นทางด่วน เพราะระหว่างทางเราจะได้เห็นรางวัลที่คุ้มค่าตลอดเส้นทาง รับรองว่าได้ประสบการณ์ดีๆกลับไปแน่นอนครับ
『พร้อมลุย!』วิธีการเตรียมตัวก่อนไปขับรถในยุโรป
ทั้งนี้ผมได้เตรียมความรู้พื้นฐานแบบง่ายที่สุด! ให้เพื่อนๆได้เอาไปใช้กันแบบไม่กั๊กครับ โดยเริ่มตั้งแต่การจองรถไปจนถึงการรับรถ เอาหละ! เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
1. จองรถ
อันดับแรกให้ดูรถจากเว็บไซต์ www.rentalcars.com ก่อน ถ้าถูกใจคันไหนก็ให้ดูบริษัทฯที่เป็นเจ้าของรถคันนี้ จากรูปด้านล่างก็จะเห็นว่ารถคันนี้เป็นของ SixT มีคะแนนรีวิว 9/10 (ด้านล่างซ้ายของรูป)
แต่อย่าพึ่งจองผ่านตรงนี้ อันนี้ดูให้รู้ว่าเราต้องจองกับใคร ผมแนะนำให้ไปจองโดยตรงที่เว็บไซต์ของผู้ให้บริการเลย เพราะอะไรเดี๋ยวเราค่อยๆดูไปด้วยกัน
ทริปยุโรปผมมักจะใช้บริการของ SixT ผ่านทางเว็บไซต์ www.sixt.global ส่วนญี่ปุ่นจะเป็น Times Car Rental ผ่าน www.timescar-rental.com มากกว่าครึ่งจะได้อัพเกรดเป็นรถรุ่นที่ดีกว่า เช่น จอง Mazda 3 แต่ได้ Prius กระทั่งจอง Mercedes-Benz E-Class แต่ได้ Mercedes-Benz รุ่น GLE
2. การเลือกรถ
ความถนัด - ขนาดของรถมีผลต่อการกะระยะ ยิ่งเล็กยิ่งง่าย และถ้าเราไม่เคยขับรถขนาดใหญ่ แนะนำว่าอย่าเลือกของใหญ่ครับถ้าคุณไม่มั่นใจ
พื้นที่ท้ายรถ - ให้เราดูจากที่ว่างท้ายรถ (กระโปรงรถ) ว่าใส่กระเป๋าได้กี่ใบ เพราะถ้ายิ่งเที่ยวนานก็ยิ่งจะต้องใช้กระเป๋าใบใหญ่ตามไปด้วย เราต้องคำนวนให้ดีว่าจะใส่กระเป๋าได้ครบไหม ในภาพรถตัวอย่างด้านบนระบุไว้ว่าใส่ได้ 2 ใบ ให้ตีกลมๆว่าใบใหญ่ขนาดประมาณ 30” 2 ใบ ผมก็กะเอาว่ากระเป๋าขนาด 26-28 น่าจะยัดเข้าไปได้ถึง 3 ใบ แต่บางคันก็ได้แค่ 2 ใบจริงๆ (ไม่นับกระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อย) ระมัดระวังเรื่องนี้ให้มากครับ
ชนิดของเกียร์ - หลายคนคงถนัดใช้เกียร์ออโต้ ผมขอให้รีบจองนะครับ เพราะราคาขึ้นไวยิ่งกว่าตั๋วเครื่องบินเสียอีก แต่ถ้าตัดใจเลือกเกียร์กระปุกก็จะได้ราคาที่ถูกกว่าเยอะ
จำกัดระยะวิ่ง - มีทั้งจำกัดและไม่จำกัด จากรูปตัวอย่างด้านบนเราทดลองจองรถ 7 วัน ผลคือจำกัดให้วิ่งได้แค่ 875 km เท่านั้น ถ้าขับเกินก็จะต้องจ่ายเงินเพิ่มตามส่วนต่างระยะทาง
การชำระเงิน - ปกติแล้วเราก็จะเลือกจ่ายเอาหน้างานครับ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเงินเราถึงมือผู้ให้บริการแล้ว อีกทั้งยังสามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าเรามั่นใจให้เราชำระเงินไปเลยทันทีก็ได้ เพราะส่วนใหญ่จะได้ราคาที่ถูกลงค่อนข้างเยอะ
ประกันภ้ย - ให้เลือกประกันที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันปัญหาให้เยอะที่สุดตั้งแต่อุบัติเหตุร้ายแรงหรือแม้แต่รอยขีดข่วน (แค่รอยเล็กๆก็โดนปรับแล้วนะจ๊ะ) และนอกจากประกันตัวรถแล้วก็แนะนำให้ซื้อประกันตัวบุคคลเพิ่มเติมอีกต่อนึงกันไว้ครับ
อ็อพชั่นเสริม - ผู้ให้บริการบางเจ้าก็จะมีออพชั่นเสริมให้เราจ่ายเพิ่ม! เช่น ยางกันหิมะ จีพีเอส หรือการเพิ่มจำนวนคนขับ
3. ทำใบขับขี่สากล
สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือใบขับขี่สากลครับ แน่นอนว่าต้องยังไม่หมดอายุ เพราะเจ้าหน้าของผู้ให้บริการเช่ารถต้องตรวจสอบอย่างแน่นอน ไม่งั้นการจองรถของคุณจะเป็นโมฆะไปโดยปริยาย
แต่เราสามารถทำได้ไม่ยากครับ เพียงแค่เตรียมหลักฐานให้ครบถ้วน แล้วย้ายก้นของคุณไปที่กรมขนส่งประจำจังหวัดที่ไหนก็ได้ในประเทศไทย โดยให้เตรียมเอกสารให้พร้อมดังนี้
1) สำเนาหนังสือเดินทาง เล่มที่ใช้ในการเดินทาง (พร้อมตัวจริง)
2) สำเนาประจำตัวประชาชน (พร้อมตัวจริง)
3) สำเนาใบขับขี่รถส่วนบุคคล หรือ ตลอดชีพ (พร้อมตัวจริง)
4) รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป (รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน) โดยถ่ายรูปหน้าตรง ไม่สวมหมวกหรือสวมแว่นตาสีเข้ม และไม่มีภาพวิวหลังรูป
5) สำเนาหลักฐานการแก้ไขชื่อ- สกุล, ทะเบียนสมรสหรือใบหย่า
6) ค่าธรรมเนียม 505 บาท
อ้างอิงจาก: https://www.dlt.go.th/th/driving-license/view.php?_did=90
4. ศึกษากฏจราจร
สิ่งสำคัญมากๆที่ขาดไม่ได้เลยก็คือความรู้ในเรื่องของกฏจราจรครับ โดยแต่ละประเทศก็จะมีข้อกำหนดที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป ผมก็ขอแนะนำว่าให้ศึกษากฏคร่าวๆก่อนไป เพราะถ้าฝ่าฝืนเพียงเล็กน้อยก็อาจจะโดนปรับโทษแบบได้ไม่คุ้มเสียเลยจริงๆ
รู้จักป้ายจราจร
ผมจะขอยกตัวอย่างป้ายจราจรในยุโรปที่แปลกตาสำหรับคนไทยมาให้ดูสัก 5-6 ป้ายเป็นน้ำจิ้มนะครับ
ป้าย 3 อันด้านบนมักจะปักอยู่บริเวณหัวถนน โดยหมายถึง "ห้ามยานพาหนะดังรูปวิ่งผ่านถนนดังกล่าวครับ" เราขับรถยนต์อยู่แล้วก็ให้สังเกตแค่ 3 อันนี้พอ
ป้าย 4 อันด้านบนจะเกี่ยวกับการแซงและห้ามแซง
อันแรกหมายถึงห้ามทุกกรณี อันที่สองหมายถึงรถบรรทุกห้ามแซง (รถยนต์ธรรมดาแซงได้) อันที่สามหมายถึงสุดเขตห้ามแซง อันสุดท้ายหมายถึงรถบรรทุกแซงได้แล้วนะ
การเข้าวงเวียน
ง่ายก็จริงแต่ต้องมีสติ ที่ไทยเราจะวิ่งตามเข็มนาฬิกา และถ้าเป็นต่างประเทศอย่างญี่ปุ่นก็จะเหมือนกัน แต่ถ้าไปยุโรปจะต้องวิ่งเข้าวงเวียนแบบทวนเข็มนาฬิกา (ยกเว้นอังกฤษ) เพราะเราขับรถเลนขวานะคร้าบ ตรงนี้สำคัญมากๆพลาดไม่ได้จริงๆ
การจอดรถ
ส่วนใหญ่เราจะต้องจอดรถในที่เฉพาะเท่านั้น และเกือบทั้งหมดจะต้องจ่ายเงินเสมอ โดยแต่ละจุดจะมีระบบควบคุมและการชำระเงินดังนี้
1) รับบัตรจอดขาเข้าและเสียบบัตรคืนขาออก - ตรงนี้ต้องไปหาตู้ชำระเงินในอาคารจอดรถก่อนขับรถออกไปครับ
2) จ่ายหน้าตู้สาธารณะ - บางที่ที่เราไปจะเป็นที่จอดรถแบบพื้นที่โล่ง เพราะงั้นพอจอดเสร็จก็ต้องหาตู้จ่ายเงินครับ จากนั้นก็จะได้ตั๋วจอดรถมาเพื่อเอากลับไปเสียบไว้หน้ารถ บางที่ไฮเทคหน่อยก็ไม่ต้องมีตั๋วครับ หยอดเงินแล้วดูได้จากจอเลยว่าช่องที่เราจอดเหลือเวลากี่นาที
ควบคุมความเร็วรถ
ป้ายจำกัดความเร็วถือเป็นสิ่งศักสิทธิ์อย่างนึงครับ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเจอป้ายจำกัดความเร็วที่ 50 km/h แต่คุณเหยียบไป 51 km/h แค่นี้กล้องก็จับได้แล้วครับ ผมโดนมาก่อน และค่าปรับเยอะกว่าบ้านเราหลายเท่า ชนิดที่ว่ากินมาม่าแทนข้าวไปหลายวัน
ทางม้าลาย
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เราไม่ได้พูดถึงเวียดนามหรืออินโดนีเซีย แต่เรากำลังคุยกันถึงยุโรปที่ขึ้นชื่อว่าเข้มงวดในทุกเรื่อง โดยที่นี่เค้าถือว่าความปลอดภัยของคนเดินถนนสำคัญที่สุด และเมื่อไหร่ที่เราเหยียบคันเร่งเข้าถึงตัวเมืองแล้ว นอกจากจะต้องลดความเร็ว เราต้องมัดระวังคนข้ามถนนบนทางม้าลายเสมอ น้อยครั้งที่เราจะเห็นสะพานลอยข้ามถนนในยุโรป คือผมเห็นแต่ทางม้าลาย เพราะงั้นเมื่อเราเห็นคนเตรียมข้ามทางม้าลายเมื่อไหร่ให้ชะลอแล้วหยุดทันทีเพื่อให้คนไปก่อนรถ แม้เบรคหัวทิ่มก็ต้องเบรค … ยกเว้น! ในตัวเมืองที่จะมีสัญญาณจราจรควบคุม
การใช้ทางหลวง/ทางด่วน
อันนี้แล้วแต่ประเทศอีกนั่นแหละครับ บางที่ก็ฟรี บางทีก็ต้องจ่าย ในประเทศออสเตรียหรือเช็กจะเว้นค่าทางด่วนเมื่อเราใช้รถที่มีป้ายทะเบียนเป็นของเยอรมันนี ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์เราต้องซื้อ Vitgette Card ซึ่งหาได้ตามปั้มในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ปั้มที่อยู่ใกล้เขตแดนสวิส หรือที่ชายแดนสวิส (Border) สนนราคาอยู่ที่ 40 CHF หรือ 1,350 บาท ซื้อทีเดียวใช้ได้ทั้งปี … แหม่ และในประเทศโครเอเชียจะเหมือนบ้านเราเช่นเดียวกันกับญี่ปุ่น
การเติมน้ำมัน
ที่ยุโรปต้องช่วยตัวเองครับ ไม่มีใครอยากเป็นเด็กปั้มสักเท่าไหร่ แต่อย่ากังวลครับ เราขับรถเป็นก็ต้องเติมน้ำมันเองเป็นละฟ่ะ โดยสถานการณ์ทั้งหลายที่เราจะเจอมีไม่กี่อย่างหรอกครับ ให้ดูตามนี้เป็นหลักไปก่อนแล้วกัน
1) เติมน้ำมันเองแล้วไปจ่ายในมินิมาร์ท
2) หยอดเงินในตู้แล้วเติมน้ำมันเอง
3) เสียบบัตรเครดิต (ต้องมี PIN) แล้วเติมน้ำมันเอง
วิธีการเติมน้ำมันทั้งหมดก็มีแค่นี้เองครับ ง่ายจนคิดว่าไม่ต้องมีเด็กปั้มก็ได้ใช่ไหมหละ
5. ศึกษาลักษณะพิเศษของรถ
รถแต่ละรุ่นจะมีลักษณะเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชั่นหน้าปัดน้ำฝน ไฟเลี้ยว กระจกรถ หรือตำแหน่งของฝาเติมน้ำมัน ดังนั้นให้เราศึกษารถที่เราเลือกให้ดีก่อนขับขี่
6. ศึกษาเส้นทาง
ผมเข้าใจว่าเรามี Google Map เรามี GPS เรามีเทคโนโลยี แต่อยากให้ลองนั่งดู นั่งจำ นั่งศึกษาแผนที่ให้ขึ้นใจระดับนึง โดยอาจจะใช้เจ้า Google Map และ Google Street Map ไปควบคู่กันก็ได้ อย่างน้อยๆข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์ตอนสถานการณ์คับขัน
บางครั้งเราจะพึ่ง Google Map หรือ GPS โดยไม่ได้ทำการบ้านเลยก็คงจะเสี่ยงไปหน่อย เพราะคุณอาจจะเจอส่วนบุคคล ทางตัน หรือทางที่รถยนต์เข้าไม่ได้ และแม่แต่ซอยเปลี่ยวที่อันตราย ทั้งๆที่เราควรหลีกเลี่ยงเส้นทางเหล่านั้น เพราะงั้นผมแนะนำให้ทำการบ้านไปเยอะๆ ประหยัดเวลาเที่ยวดีกว่าเสียเที่ยวครับ
7. ไปเอารถได้!
เซ็นต์สัญญา - เตรียมใบจองที่ปริ้นท์ไว้ ใบขับขี่สากล บัตรเครดิต และพาสปอร์ต เพื่อเซ็นสัญญาก่อนรับรถ
ชำระเงิน - บัตรเครดิตของเราจะโดนรูดเกินจากยอดเช่าประมาณ 200-300% ทั้งนี้ก็เพื่อประกันยอดสูงสุดที่เราจะต้องจ่ายครับ เช่น ค่าจองรถประมาณ 3x,xxx บาท ก็จะรูดเพื่อหักเงินเราไว้ประมาณ 5-6 หมื่นบาท กันเหนียว แต่บางที่ก็ไม่มีอันนี้แล้วแต่ผู้ให้บริการ
เม็คชัวเรื่องประกัน - คอนเฟิร์มเรื่องการประกันภัยกับเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้รับการคุ้มครองแบบไหนบ้าง ถ้าเราไม่ได้ประกันชั้น 1 ให้เช็ครถให้ละเอียดก่อนนะครับ ถ้าให้ดีถ่ายรูปไว้ด้วยกันเหนียว เพราะถ้ามีรอยนิดเดียวรับรองว่าต้องมีจ่ายเพิ่มแน่นอน
น้ำมัน - ต่างประเทศใช้น้ำมันไม่เหมือนบ้านเรา เพราะงั้นถามให้ถูก จำให้แม่น
ลองของจริง - ก่อนขับขี่จริงก็ต้องมีการลองของกันหน่อยครับ ให้เราลองดูว่าฟังก์ชั่นต่างๆของรถเราใช้งานได้ปกติ นั่งสบาย นั่งแล้วรู้สึกเอาอยู่ และที่สำคัญ เพื่อนร่วมทางของเราต้องนั่งสบายด้วยครับ ถึงตรงนี้ต้องอย่าลืมจัดกระเป๋าให้สบายที่สุดก่อนออกรถ เพราะถ้ายัดกระเป๋าไม่ได้อย่างที่คำนวนเอาไว้ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าบานเลยครับ
สุดท้ายขอฝากไว้
ผมแนะนำให้ติดสินใจจองรถให้ไวที่สุด โดยเฉพาะรถเกียร์ออโต้ที่ราคาวิ่งไวอย่างกะ Usain Bolt แต่ถ้าใครขับเกียร์กระปุกได้แนะนำเป็นอย่างมากเลยนะครับ เพราะราคาถูกกว่ากันเยอะ ประหยัดเงินไปกินเบียร์เถอะพี่น้องงงง
การขับรถเที่ยวด้วยตัวเองเป็นอะไรที่ฟินาเล่ที่สุดในสามโลกก็ไม่ปาน ไม่ใช่แค่ยุโรป แต่เป็นทุกที่บนโลกใบนี้ เพราเราจะแวะพักเมื่อไหร่ก็ได้ ถ่ายรูปตรงไหนก็ได้ และทริคเล็กๆที่น่าเก็บเกี่ยวไปลองก็หนีไม่พ้นการขับรถที่ไม่ต้องขึ้นทางด่วน เพราะระหว่างทางเราจะได้เห็นรางวัลที่คุ้มค่าตลอดเส้นทาง รับรองว่าได้ประสบการณ์ดีๆกลับไปแน่นอนครับ
www.facebook.com/27daydream