เสด็จสู่ฟากฟ้าสุราลัย พระมหากรุณาธิคุณจารึกในใจไทยชั่วกาล .. ข้าพระพุทธเจ้า *ห้องเพลงคนรากหญ้า* 18/10/2560 รูปที่เคารพ

ใจร้าวชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปปีเศษ ปีเศษที่คนไทยทุกคนอยู่ในภาวะเศร้าโศกเสียใจ

ที่อยู่ๆก็ถูกพรากจากสิ่งที่ตนรักและเทิดทูน การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

เป็นสิ่งสุดท้ายที่คนไทยทุกคนอยากให้เกิดขึ้น และ เป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่พร้อมจะสละทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมี

ขอเพียงไม่ให้เหตุการณ์นี้เป็นจริง


ใจร้าวใจร้าวใจร้าว

ทุกครั้งที่เดินเข้าบ้าน สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือ มองด้วยความเคารพไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ของ

ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ กับ พระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถที่ติดไว้พนังสูงสุดของตัวอาคาร


ภาพทั้งสองภาพ คุณพ่อ จขกท ได้มาเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วราวปี พ.ศ ๒๕๒๐

และทางครอบครัว จขกท ถือว่าสองภาพนี้เป็นของที่หวงแหนที่สุดสิ่งหนึ่งของตระกูล

และเมื่อมองภาพนี้เมื่อใด เหตุการณ์ต่างๆในอดีตก็จะปรากฏขึ้นเหมือนเพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นาน

ดอกไม้ดอกไม้ดอกไม้

ช่วงราวปี พ.ศ ๒๔๘๘ - ๒๔๙๒ (ค.ศ 1945 - 1949 ) สงครามโลกครั้งที่ ๒ เพิ่งยุติลง

จีน ชนะสงครามต่อ ญี่ปุ่น แต่ศึกภายในของ จีน ก็เปิดฉากรบกันต่อระหว่าง ฝ่ายรัฐบาล กับ พรรค คอมมูนิสต์

คนจีนทางภาคใต้บางส่วนที่เริ่มมองเห็นแล้วว่า ฝ่ายรัฐบาลมีโอกาสที่จะแพ้ค่อนข้างสูง จึงเริ่มมองหาหนทาง

ที่จะอพยพหนีภัยสงคราม จนมาถึงปี พ.ศ ๒๔๙๒ พรรคคอมมูนิสต์ยึดครองประเทศจีนได้เกือบหมด

คนจีนในมณฑลกวางตุ้ง โดยเฉพาะที่เมือง แต้จิ๋ว จึงหนีภัยคอมมูนิสต์ไปยังประเทศต่างๆ เช่น

ฟิลิปปิน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และที่เข้ามาจำนวนมากที่สุดคือ ประเทศไทย

ซึ่งขณะนั้นตรงกับสมัยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ในหลวงรัชกาลที่ ๙



เมื่อคนจีนผู้อพยพเหล่านี้ เข้ามาในเขตประเทศไทย ส่วนใหญ่ก็มีสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว

เหมือนที่กล่าวกันว่า "เสื่อผืนหมอนใบ" แต่ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ ที่เป็นคุณสมบัติของคนจีน

และที่สำคัญคือ การที่คนจีนอพยพเหล่านี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก ในหลวงรัชกาลที่ ๙

ในการวางนโยบายให้ความรัก ความยุติธรรม ความเสมอภาค สิทธิ เสรีภาพ แก่คนจีนอพยพเหล่านี้เสมือนหนึ่งเป็นคนไทย

สายเลือดไทยที่เป็นเจ้าของประเทศ ต่างจากประเทศดังกล่าวข้างต้น ที่ถือว่าคนจีนอพยพ

เป็นเพียงบุคคลชั้นสองของประเทศนั้นๆ

วงเวียนเฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา  เยาวราช


ในช่วงราวปีพ.ศ ๒๕๑๑ เป็นต้นมา รัฐบาลเปิดโอกาสให้ชาวจีนเหล่านี้ เปลี่ยนจากแซ่ มาเป็น นามสกุล

ซึ่งก็หมายถึงมีสิทธิทุกอย่างเท่าเทียมคนไทย เชื้อสายไทย ทุกประการ คนจีนอพยพรุ่นนี้ จึงเริ่มมีนามสกุล

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ความรัก และ เทิดทูนในสถาบันพระมหากษัตริย์เริ่มฝังลึกอยู่ในจิตใจคนรุ่นนี้

ในช่วงปี พ.ศ ๒๕๑๗ - ๒๕๒๑ เกิดสงครามอินโดจีนขึ้น ประเทศเพื่อนบ้านของไทยทั้ง ๓ ประเทศคือ

เวียดนาม เขมร ลาว เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นระบอบคอมมูนิสต์ ชาติต่างๆในโลกต่างวิเคราะห์เป็น

เสียงเดียวกันว่า "ประเทศไทยจะต้องเป็นประเทศต่อไปตามทฤษฎี โดมิโน"


ขณะนั้น คนไทยทุกคนหวาดกลัวภัยคอมมูนิสต์ โดยเฉพาะคนจีนอพยพรุ่นพ่อแม่เรา

ซึ่งผ่านความลำบากยากเย็น กว่าจะมีทุกวันนี้ ทุกคนกลัวว่า คอมมูนิสต์จะมาพรากทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมี

ครั้นจะหนีหรือจะอพยพไปยังประเทศอื่นก็ไม่อยากไปจากแผ่นดินทองที่ตนรักผืนนี้

ช่วงเวลาที่คนในแผ่นดินนี้ขวัญเสีย มีเอกบุรุษผู้หนึ่งได้แสดงให้เห็นว่า

"จะขออยู่เป็นคนสุดท้ายจะไม่ยอมทิ้งคนในใต้ปกครองของพระองค์

จะปกป้องรักษาผืนแผ่นดินที่บรรพบุรุษใช้เลือดและน้ำตา รวบรวมแผ่นดินนี้ขึ้นมา"

และเอกบุรุษนั้นคือ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ฯ


เมื่อ เวียดนามบุกประชิดชายแดนไทย แล้วประกาศอย่างอหังการ์ว่า

"จะบุกยึดกรุงเทพภายใน ๗ วัน" แต่ขวัญของคนไทยไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว

เมื่อภาพที่ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จออกสู่แนวหน้าด้วยพระองค์เอง และยังทรงเสด็จไปเยี่ยม

ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และ ประชาชน ที่ได้รับบาดเจ็บ ตลอดจนดูแลผู้เสียชีวิตจากภัยสงคราม

ภาพเหล่านี้ให้ความรู้สึกแก่ประชาชนว่า

"แม้แต่กษัตริย์ผู้อยู่จุดสูงสุดของประเทศ ยังมีน้ำพระทัยกล้าหาญเสด็จไปแนวหน้าอย่างไม่กลัวภัยอันตราย

แล้วพวกเราซึ่งเป็นแค่ประชาชนหนำซ้ำยังเป็นผู้หนีร้อนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระองค์ท่านจะกลัวอะไร ? "


คนจีนอพยพรุ่นนั้น ไม่รู้สึกอีกแล้วว่าตัวเองเป็นคนจีน แต่รู้สึกเหมือนกันหมดว่า ตัวเองและครอบครัว

เป็นคนไทย คนไทยที่มีหน้าที่ต้องปกป้องแผ่นดินนี้เหมือนกัน และด้วยความพร้อมทางเศรษฐกิจที่มีมากกว่าอดีต

ทำให้การบริจาคเงินและปัจจัยอย่างอื่นในรูปแบบต่างๆ จึงมีมากมาย รูปที่แสดงข้างต้นก็เป็นส่วนหนึ่ง

ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คนไทยทุกคนแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการปกป้องประเทศ



จากที่กล่าวมาในข้างต้น พิสูจน์แล้วว่า คนจีนรุ่นอายุ 70 ขึ้นไป หรือรุ่น พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ของพวกเรา

จึงมีความจงรักภักดี และ เทิดทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เหนือสิ่งอื่นใด

เพราะสิ่งที่คนจีนอพยพรุ่นนั้นมี และ ตกทอดมรดกมาถึงลูกหลานในวันนี้ ก็ล้วนมาจากการที่คนรุ่นนั้น

ตัดสินใจถูกต้องที่สุดในชีวิต นั่นคือ เข้ามาพึ่งโพธิสมภารของ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร

สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร


พระองค์จะสถิตย์เหนือเกล้าชาวไทยตราบชั่วนิจนิรันดร์

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14
เสด็จประพาสสำเพ็ง น้ำพระทัยของในหลวงที่คนจีนมิรู้ลืม

หากเราได้มีโอกาสศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยโดยเฉพาะในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี 2475  แล้วคงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2489  ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8 ) และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งเป็น สมเด็จพระอนุชาในขณะนั้น ได้ทรงเสด็จประพาสสำเพ็ง ซึ่งเป็นหมายกำหนดการหนึ่งในหลายพระราชกรณียกิจของล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์ หลังจากที่ได้เสด็จนิวัติกลับประเทศไทย เป็นครั้งที่ 2เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2488

ก่อนหน้าที่จะเสด็จพระราชดำเนินไม่นาน มีการเคลื่อนไหวของคนจีนในประเทศไทยที่แสดงออกถึงความไม่พอใจรัฐบาลไทยในขณะนั้น อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และประเทศไทยซึ่งถูกบีบบังคับให้เป็นพันธมิตรกับประเทศญี่ปุ่นก็ต้องอยู่ในฐานะประเทศที่พ่ายแพ้สงครามเช่นกัน และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งมีเงื่อนไขประการหนึ่งก็คือ ให้กองทัพจีนส่งกำลังทหารเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย

แต่เนื่องจากรัฐบาลไทยห่วงใยในเรื่องความมั่นคงของชาติ และต้องการพลิกสถานการณ์มาเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร จึงขอให้ทหารญี่ปุ่นยอมวางอาวุธ ต่อลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเตน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของอังกฤษ ประจำภาคเอเชียตะวันออกไกล ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ชาวจีนขณะนั้น กอรปกับการที่ประเทศจีนได้ให้สัญชาติจีนกับคนจีนที่เกิดนอกประเทศ ยิ่งทำให้เกิดกระแสชาตินิยมในหมู่ชาวจีนเป็นอย่างมาก

คนจีนที่พักอาศัยในบริเวณย่านเยาวราช  ราชชวงศ์สำเพ็ง ต่างได้แสดงออกถึงความรู้สึกชาตินิยมด้วยการประดับธงชาติจีนตามร้านค้า บ้านเรือน เพื่อแสดงออกว่าตนเป็นคนจีนไม่ใช่คนไทย นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ทำร้ายคนไทยที่ผ่านเข้าไปในย่านของคนจีนที่เรียกกันว่า “เลี๊ยะพะ” รวมทั้งการหยุดงาน ปิดร้าน ทำให้เกิดภาวะสินค้าขาดแคลน นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างคนไทยกับคนจีนในประเทศ

การตัดสินพระทัยของพระองค์ท่านในขั้นต้นได้รับการทักท้วงเพราะรัฐบาลเกรงว่าจะผิดราชประเพณี แต่ทรงมีรับสั่งให้สำนักราชเลขานุการในพระองค์ แจ้งยืนยันให้รัฐบาลทราบ เพราะทั้งรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6  ก็เคยเสด็จพระราชดำเนินมาแล้ว จึงมีหมายกำหนดการเสด็จประพาสเยี่ยมชาวจีนที่สำเพ็ง ในวันที่ 3 มิถุนายน 2489  และเมื่อชาวจีนในสำเพ็งได้ทราบข่าวอันน่ายินดีนี้ ต่างได้ร่วมแรงร่วมใจกันเก็บกวาดขยะสิ่งรกรุงรังเพื่อเตรียมสถานที่รอรับเสด็จ



เมื่อล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาถึงในเวลา 9 นาฬิกาแล้ว นายกเทศมนตรีพระนคร เป็นผู้ถวายบังคมทูลเบิกผู้รักษาการแทนนายกสมาคมพาณิชย์จีน เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วเสด็จฯทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสำเพ็ง

โดยชาวสำเพ็งได้จัดสร้างซุ้มรับเสด็จถึง 7 ซุ้ม มีการจัดตั้งโต๊ะหมูบูชา และประดับธงไตรรงค์ดูสวยงาม โดยที่ตลอดสองข้างทางมีคนจีนที่อาศัยในย่านนั้นเดินทางมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นจำนวนมาก และในระหว่างเสด็จพระราชดำเนิน บรรดาพ่อค้าชาวจีนได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายของมีค่า เช่น เครื่องกระเบื้อง และสิ่งของที่ทำด้วยหยก รวมทั้งถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล รวม 13,000 บาท ซึ่งนับว่าเป็นเงินจำนวนมากในสมัยนั้น ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวได้ทรงตั้งเป็น  “ทุนพ่อค้าหลวง” และพระราชทานแก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อให้เก็บดอกผล สำหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ยากไร้



เมื่อเสด็จพระราชดำเนินจนสุดย่านสำเพ็งแล้ว ได้เสด็จเยือนสถานที่สำคัญในย่านใกล้เคียง ได้แก่โรงพยาบาลเทียนอัน สมาคมพาณิชย์จีน ที่สาทร ทรงเสวยพระกระยาหารกลางวันที่ทางสมาคมจัดถวาย แล้วเสด็จเยี่ยมมูลนิธิปอเต็กตึ้ง และโรงพยาบาลหัวเฉียว ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ ในช่วงเย็นวันดังกล่าว

ด้วยพระราชกรณียกิจในครั้งนั้น ช่วยให้สัมพันธภาพระหว่างคนไทยกับคนจีนกลับมาแน่นแฟ้นกันอีกครั้งหนึ่ง และนับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่คนไทยเชื้อสายจีนต่างน้อมรับและเทิดทูนไว้ตั้งแต่รุ่นบรรพชนจนถึงรุ่นลุกหลานในปัจจุบันอย่างมิรู้ลืม


ที่มา
http://www.chaoprayanews.com/2010/02/09/%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0/
http://oknation.nationtv.tv/blog/buzz/2010/02/19/entry-1
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่