บทสนทนาเมื่อหลายปีก่อน...
"แกรักในหลวงรึเปล่า" ปีนั้นการเมืองบ้านเราไม่ค่อยปกตินัก ฉันเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 เช่นเดียวกันกับเพื่อนเพียงแต่เราอยู่คนละมหาวิทยาลัย ในขณะที่กำลังถกเรื่องการเมือง การปิดล้อม การประท้วง การก่อจลาจลของคนกลุ่มหนึ่งอย่างออกรส เพื่อนก็โพล่งคำถามนั้นขึ้นมา
"รักสิ" ฉันตอบสั้นๆ
"ทำไมถึงรัก มันต้องมีเหตุผลนะ"
"เราเรียนโรงเรียนเจ้า" ฉันตอบง่ายๆ โรงเรียนเจ้าของฉันหมายถึงโรงเรียนที่ได้รับพระราชทานนามมาให้เป็นโรงเรียนในนามเดียวกันแห่งที่ 12 ของประเทศ ซึ่งแต่เดิมที่บริเวณนั้นจะถูกสร้างรีสอร์ท แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านที่ดินผืนนั้นก็กลายเป็นโรงเรียนที่อยู่บนเขาแห่งเดียวในภาคตะวันออก โรงเรียนของฉันตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา เมื่อขึ้นไปยืนที่จุดสูงสุดของโรงเรียนก็มองเห็นทะเล หน้าหนาวจะเหลืองอร่ามไปด้วยดอกบัวตอง ค่ำคืนที่ฟ้าเปิดก็สวยงามราวกับยืนอยู่ท่ามกลางทะเลดาว และเรามีศูนย์รวมใจคือพระบรมรูปสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนี หรือ "สมเด็จย่า"
"เหตุผลสิ้นคิดจังวะ อะถามใหม่ แล้วถ้ามีใครมาด่าเจ้าแกจะทำไง ด่ากลับมั้ย"
"ไม่อะ"
"ทำไม รักก็ต้องปกป้องดิ"
"ไม่จำเป็นหรอกการรับรู้ของคนเราไม่เท่ากัน วันหนึ่งคนพวกนั้นก็ได้เห็นเองแหละ"
เรื่องราวที่เราสนทนาในวันนั้นดำเนินไปเรื่อยๆ แต่ที่จดจำได้แม่นก็คงเป็นประโยคข้างต้น ว่ากันตามจริงที่ฉันบอกว่ารักเจ้า ฉันไม่ได้รักเพราะว่าพ่อแม่บอกให้รัก ฉันไม่ได้รักเพราะว่าในหนังสือเรียนบอกว่าพระมหากษัตริย์ไทยมากล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณจนหาที่สุดมิได้ ฉันไม่ได้รักเพราะว่าใครๆก็รัก แต่ความรักเหล่านั้นมันแทรกซึมเข้าไปในหัวจิตหัวใจโดยที่ฉันเองก็ไม่เคยรู้ตัว รู้แค่ว่าตัวเองชื่นชมจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ท่านและเชื้อพระวงศ์
ข่าวในพระราชสำนัก...
ฉันเติบโตมาในครอบครัวใหญ่ ทุกเย็นฉันจะนั่งดูโทรทัศน์กับตา ยาย และทุกครั้งที่มีข่าวในหลวงเสด็จออกเยี่ยมประชาชนตามักจะก้มกราบที่หน้าโทรทัศน์
ฉันเห็นชาวบ้านที่ไปรอรับเสด็จเอาผ้าเช็ดหน้าปูเป็นลาดพระบาทให้ทรงเหยียบและเอากลับมาทูนไว้เหนือหัว ฉันเห็นคนที่ทุกคนเรียนว่า "ในหลวง" โน้มตัวลงพูดคุยกับคนเหล่านั้น เครื่องแบบที่คล้ายๆทหาร ใส่หมวก และรองเท้าสีดำเป็นภาพที่คุ้นตา เคียงข้างกันนั้นคือพระราชินี ฉันมักจิตนาการว่าพระราชินีจะต้องฉลองพระองค์ด้วยชุดไทยเต็มยศอย่างในละครจักรๆวงศ์ๆที่ฉันดูตอนเช้าวันหยุด แต่พระราชินีที่เคียงข้างพระราชาของฉันแต่งตัวธรรมดา แต่สวย รอยแย้มสรวล พระโอษฐ์สีสดใส และพระเนตรที่มองไปยังทุกคน ฉันก็คิดเอาเองว่าพระองค์ท่านต้องใจดีแน่ๆ ขณะนั้นฉันอายุไม่เกิน 7 ขวบ ไม่ได้รู้เรื่องราวมากนัก แต่ก็อยู่ในวัยที่จำความได้ อีกภาพที่คุ้นตาฉันตลอด 23 ปี ก่อนที่ตาจะจากไปนั่นคือ ทุกๆวันที่ 5 ธันวาคม เมื่อพระองค์ท่านเสด็จออกมหาสมาคมเพื่อพระราชทานพระบรมราโชวาท ตาของฉันจะต้องเอากางเกงขาก๊วยความยาวครึ่งแข้งออกมาสวมทับกางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่บ้าน พร้อมกับเอาผ้าขาวม้าผืนเก่งพาดไหล่และนั่งพนมมือฟังพระบรมราโชวาทหน้าโทรทัศน์ ฉันในวันที่เป็นเด็กน้อยนั่งอยู่ข้างๆตา ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้างตามประสา
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" นอกจากข่าวในพระราชสำนัก ที่ที่ฉันได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวได้บ่อยที่สุดก็คือบนปฏิทิน วันนั้นฝนตกหนัก ไฟดับ ตาเอาตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ทำเองด้วยกระป๋องนมเก่ามาจุดวางข้างๆตู้หนังสือ เหนือขึ้นไปคือปฏิทินสีซีเปีย ตรงกลางเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ประทับอยู่ใต้พระนพปฎลเศวตฉัตร ใต้ภาพนั้นมีคำในเครื่องหมายคำพูดว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" จำได้ว่าตัวเองยืนอ่านข้อความนี้ใต้แสงตะเกียงวนไปวนมาหลายรอบแต่ก็ไม่เข้าใจความหมาย เราไม่เข้าใจว่าครองโดยธรรมคืออะไร ประโยชน์สุขนี่ต้องเป็นแบบไหน มหาชนชาวสยามคือใคร แต่การนั่งดูข่าวในพระราชสำนักพร้อมกับตายายทุกๆเย็นฉันก็เข้าใจว่าพระองค์ท่านพูดถึงชาวเขา เพราะพระองค์เสด็จภาคเหนือบ่อย ทรงสร้างอาชีพให้ชาวไทยภูเขาและใครต่อใครมากมาย แต่ก็นั่นแหละเด็กน้อยอย่างฉันไม่ได้รู้อะไรมาก
ศึกษาพระราชกรณียกิจผ่านสาราณุกรมไทย ฉบับเยาวชน...
ฉันเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัด มีนักเรียนทั้งโรงเรียนนับรวมครู คุณลุงภารโรง คุณยายแม่บ้านแล้วยังไม่ครบร้อย แต่ห้องสมุดโรงเรียนฉันใหญ่ไม่น้อยหน้าโรงเรียนใหญ่ๆในตัวตำบล หรืออำเภอเลย วันหนึ่งโรงเรียนเล็กๆของฉันจัดตอบปัญหาในพจนานุกรม โดยที่ไม่แบ่งระดับชั้น เด็กนักเรียนตั้งแต่ ป.1 - ป.6 แข่งด้วยกันหมด แหล่งความรู้ของเราคือสาราณุกรมไทยฉบับเยาวชน ที่ปกติแล้วเรียงอย่างสวยงามอยู่ในตู้และล็อกกุญแจเพิ่มความแข็งแรงอีกชั้น ขณะนั้นฉันอายุ 8 ขวบ อยู่ ป.2 ฉันอยากชนะ จึงเข้าห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือหนาๆที่แทบจะยกไม่ไหวทุกพักกลางวัน ใช่...ฉันชนะ แต่นอกจากรางวัลเป็นปากกาสวยๆ 1 ด้าม และแบงค์สีแดง 1 ใบ และสมุดพระราชทานเล่มสีน้ำตาล 1 ชุด (ยังนึกเสียดายอยู่ทุกวันนี้ว่าทำไมถึงไม่เก็บไว้) ฉันรู้เรื่องราวสารพัดมากขึ้นจากหนังสือเล่มหนานั้น เหนือสิ่งอื่นใดฉันได้รู้จักพระราชาของฉันมากขึ้น และรูจักคำว่าพระจริยวัตรอันงดงามเป็นครั้งแรก
นอกจากครั้งนั้นในสมัยเด็ก เมื่อเติบโตขึ้นฉันยังมีโอกาสได้ศึกษาพระราชกรณียกิจอย่างมากมายเสมอมา เพราะฉันเป็นเด็กกิจกรรมประเภทที่มีคำขวัญประจำตัวว่า กิจกรรมดี กิจกรรมเด่น เน้นกิจกรรม สิ่งหนึ่งที่ฉันทำได้ดีคือการเขียนเรียงความ เขียนเรื่องสั้น และพูดสุนทรพจน์ แน่นอนว่าทุกครั้งที่ลงแข่งกิจกรรมเหล่านี้ฉันจำเป็นต้องหาข้อมูลเชิงลึกเพื่อเอาไปแข่งกับคู่ต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการแกล้งดิน กังหันน้ำชัยพัฒนา ฝนหลวง และอีกกว่าสามพันโครงการของพระราชาที่ย่างสองพระยาทไปทางใดก็ปรากฏความงอกงามที่นั่นเสมอ สิ่งเหล่านี้แทรกซึมเข้ามาในหัวใจทีละน้อย พระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านฉันได้รู้ ได้เห็นจากบันทึกต่างๆมากมาย และฉันไม่เคยเห็นพระราชาองค์ไหนที่ต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้เลย การแข่งขันของฉันชนะบ้าง แพ้บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่พระราชาของฉันไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆที่ขัดขวางประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามเลย
ถวายงานผ่านศิลปะ หอศิลป์ฯ กทม.
ครั้งสุดท้ายที่แข่งสุนทรพจน์อุดมศึกษาฉันไม่ได้ผ่านการคัดเลือกระดับมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แต่ฉันยังอยากเล่าเรื่องราวที่ฉันรู้ อยากบอกให้ใครๆเห็นว่าพระราชาของฉันวิเศษขนาดไหน ตอนนั้นแอบเศร้าเล็กๆที่รู้ว่านั่นเป็นครั้งสุดท้าย เพราะอายุเกินเกณฑ์ประกวดแล้ว แต่อยู่ๆวันหนึ่งก็มีจดหมายจากหอศิลป์ฯกรุงเทพมหานคร ABCC มาที่คณะ ประกาศรับสมัครนิสิตเป็นผู้นำชมอาสาในนิทรรศการ "ภาพของพ่อ บารมีแห่งแผ่นดิน" นิทรรศการแรกของหอศิลป์ฯกรุงเทพมหานคร ฉันผ่านการคัดเลือกและปฏิบัติภาระกิจผู้นำชมสลับกับอาสาคนอื่นๆเป็นเวลาสามเดือน
นิทรรศการครั้งนั้นจัดแสดงพระบรมฉายาลักษณ์ พระบรมสาทิสลักษณ์ พระบรมฉายาทิสลักษณ์ พระบรมรูป ของศิลปินชื่อดังมากมาย เช่น คุณอนุชัย ศรีจรูญภู่ทอง อ.เฉลิมชัย อ.ประเทือง เอมเจริญ แต่ละภาพมีรายละเอียด และเรื่องราวในภาพต่างกันไป ศิลปินมักแวะเวียนมาดูงานและเล่าเรื่องราว แรงบันดาลใจที่ได้รับจากพระองค์ท่านให้เราฟังเสมอ นอกจากนี้ก็มีประชาชนทั่วไปที่เข้าชมนิทรรศการแวะเวียนมาเล่าเรื่องราวดีๆให้พวกเราฟังด้วยเช่นกัน เราแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เหล่าอาสานำชมนิทรรศการที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติที่สุดในชีวิตของพวกเรา คนที่เข้าชมงานก็แวะมาเติมควาชุ่มชื่นใจด้วยเรื่องราวน่ารักๆให้เราฟังเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างชาติที่เข้ามาชมนิทรรศการและทึ่งกับพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ของพระอง์ท่าน การนำชมนิทรรศการชั่วคราว 3 เดือนของพวกเราจบลงด้วยรอยยิ้มและความภาคภูมิใจ และฉันรู้แน่แล้วว่าฉันเทิดทูนพระราชาพระองค์นี้เหลือเกิน
365 ที่แล้วมา...
วันนี้ของปีที่แล้ว 13 ตุลาคม 2559 ฉันเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปทำงานที่จังหวัดนครพนมตั้งแต่วันที่ 10 ฉันทำงานด้วยความสนุกสนานเป็นปกติ จนเมื่อวันที่ 12 เริ่มมีแถลงการณ์จากโรงพยาบาลเกี่ยวกับการถวายการรักษา ฉันไม่ค่อยมีสมาธิทำงานนัก นั่งเปิดเฟซบุคเลื่อนหน้าจอขึ้นลงหวังจะเจอข่าวดีว่าพระองค์ท่านทรงเสด็จออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว งานของฉันคือพิธีกรซึ่งต้องใช้พลังใจพอสมควรที่จะต้องทำให้คนอื่นสนุกทั้งๆที่เราไม่สบายใจ ช่วงนั้นเป็นช่วงน้ำหลาก ริมแม่น้ำโขงจังหวัดนครพนมมีการแข่งเรือยาวสานสัมพันธ์ไทย - ลาว แต่นักแข่งไทยดูจะใจไม่ค่อยดีนัก
เช้าวันที่ 13 ฉันแต่งตัวด้วยชุดทำงานสีเหลือสดใส แต่บรรยากาศรอบตัวทึมเทา เงียบเหงาแปลกๆ ฝีพายสองฝั่งโขงดูเหมือนอยู่คนละโลกกับคนบนฝั่ง พวกเขาฝึกซ้อมและต้องใช้เสียงเพื่อเรียกพลัง แต่ดูเหมือนว่าเสียงเหล่านั้นไม่ได้ดังขึ้นมาบนฝั่งเลย ฝีพายทั้งสองฝั่งสลับกันแพ้ ชนะไปตามฝีมือ ฉันพักจากเวทีลงมาเปิดเฟซบุคเลื่อนไปเลื่อนมา เปิดอ่านข่าวเรื่อยเปื่อย ไปจนกระดานหุ้นซึ่งขณะนั้นเป็นสีแดงทั้งกระดาน ใจหายวาบ แต่คิดว่าคงเป็นการปั่นกระแสกระมัง ฉันว้าวุ่นเชคข่าวจากเพื่อนๆใน กทม. ช่วงบ่ายรุ่นพี่ที่เป็นข้าราชการที่จ.ชลบุรีบอกว่า นายกฯยกเลิกภาระกิจกระทันหัน ไม่ไปชลบุรีแล้ว เนื่องจากวันนั้นนายกฯมีภาระกิจที่นั่น สักพักใหญ่ๆภาพบนหน้าแรกของเฟสบุคเป็นภาพถ่ายจากหน้า รพ.ศิริราช ผู้คนสีหน้าเจ็บปวด กอดสิ่งแทนพระองค์ไว้แนบอก ไม่นานก็มีข่าวออกมาว่า รพ.ศิริราชปิดลงนามถวายพระพรแล้ว และบุคลากรร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ฉันน้ำตาไหลเงียบๆคนเดียว ไม่เคยคิดว่ามันจะเจ็บปวด กระชากหัวใจขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการมีเพียงข่าวลือ ฉันกับเพื่อนๆได้แต่ปลอบใจกันไปมาว่ามันไม่ใช่หรอก รอฟังประกาศจากสำนักพระราชวังนะ แต่ใจพวกเราทุกคนรู้ดีว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป หายใจไม่ทั่วท้อง ไม่อยากไปไหนหรือทำอะไรทั้งนั้น ได้แต่นั่งรออยู่หน้าโทรทัศน์ทั้งๆที่เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมง
ก่อนถึงเวลาประกาศราว 1 ชั่วโมงทีมงานมาเรียกฉันออกไปกินข้าว ซึ่งทีแรกฉันจะไม่ออกไปเพราะอยากรอดูข่าว แต่ทีมงานกลัวว่าจะหิวเพราะยังไม่ได้กินตั้งแต่บ่ายก็เลยออกไป ฉันไปถึงร้านข้าวแต่จิตใจตอนนั้นกินอะไรไม่ลงจริงๆ ได้แต่นั่งรอทีมงาน ตาจ้องอยู่ที่จอโทรทัศน์จนกระทั่งถึงเวลา...
แบลคกราวด์สีดำปรากฏ ผู้ประกาศข่าวแต่งชุดดำ โดยที่ผู้ประกาศยังไม่ทันได้พูดอะไรน้ำตาฉันไหลพราก จนกระทั่งจบคำว่า "...สวรรคต" ทุกคนที่นั่งอยู่ในร้านพากันร้องไห้ ฉันไม่เข้มแข็งพอจะนั่งอยู่ตรงนั้นได้จึงแยกออกมารอที่รถ คืนนั้นทั้งคืนฉันนอนไม่หลับ น้ำตาก็ไหลไม่หยุด จนสุดท้ายคิดว่าฉันควรทำอะไรสักอย่างเท่าที่ฉันพอจะทำได้ในเวลานั้น
เจ็ดทศวรรษใต้ร่มฉัตรแก้ว ปวงประชาผ่องแผ้วเกษมสันต์
ใต้ร่มธงไทยแห่งองค์พระทรงธรรม์ ไทยจึงรอดเรื่องคับขันตลอดมา
สองพระบาทยุรยาตรทุกถิ่นที่ ให้ประชาอยู่ดีกันถ้วนหน้า
ทรงแก้ไขปัญหา ดิน น้ำ ไร่ นา เพื่อเหล่าข้าฯได้อยู่สุขสบาย
สองพระหัตถ์ทรงจัดสรรค์สัมมากิจ เป็นต้นแบบชีวิตข้าฯทั้งหลาย
ธ เกิดฟ้า ไม่อยู่ฟ้าสุขสบาย อุทิศวรกายอยู่คู่ผืนดิน
พระเสโทแต่ละหยดที่หลั่งไหล คือการพัฒนาไทยไม่จบสิ้น
"ภูมิพล" มิใช่เพียงจอมภูมินทร์ แต่คือดวงชีวินของข้าฯไทย
สิบสามตุลาบ่ายสามศกห้าเก้า ดินโศกโลกเศร้าดาวหลับไหล
พระปิ่นฟ้าเสด็จสู่สวรรคาลัย พสกไทยหัวใจสลายทั้งแผ่นดิน
มรรษรัญชน์
และนี่คือสิ่งที่ฉันเขียนในคืนนั้น อยากเขียนให้มากกว่านี้ อยากเขียนให้ดีกว่านี้ อยากบอกเล่าเรื่องราวให้มากกว่านี้ แต่เพียงเท่านี้กระดาษที่เขียนกลอนนี่ก็เปื้อนน้ำตาไปทั่วทั้งหน้าแล้ว ขณะนั้นฉันนึกถึงแม่พลอยในสี่แผ่นดิน บทประพันธ์อมตะของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ แม่พลอยผ่านการสูญเสียมาได้ยังไงตั้งสี่ครั้งสี่ครา แค่การผลัดแผ่นดินเดียวในชีวิตก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งแผ่นดิน บรรยากาศสงัดวังเวงไปหมด ไม่มีแม้แต่เสียงจิ้งหรีด คืนนั้นอากาศเย็นและหมอกลงหนา มารู้เอาตอนเช้าว่านั่นคือ "หมอกธุมเกตุ"
"แกรักในหลวงรึเปล่า เราไม่เห็นรักเลย" ประโยคนั้น ความทรงจำ และ 365 วัน แห่งความคิดถึง
"แกรักในหลวงรึเปล่า" ปีนั้นการเมืองบ้านเราไม่ค่อยปกตินัก ฉันเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 เช่นเดียวกันกับเพื่อนเพียงแต่เราอยู่คนละมหาวิทยาลัย ในขณะที่กำลังถกเรื่องการเมือง การปิดล้อม การประท้วง การก่อจลาจลของคนกลุ่มหนึ่งอย่างออกรส เพื่อนก็โพล่งคำถามนั้นขึ้นมา
"รักสิ" ฉันตอบสั้นๆ
"ทำไมถึงรัก มันต้องมีเหตุผลนะ"
"เราเรียนโรงเรียนเจ้า" ฉันตอบง่ายๆ โรงเรียนเจ้าของฉันหมายถึงโรงเรียนที่ได้รับพระราชทานนามมาให้เป็นโรงเรียนในนามเดียวกันแห่งที่ 12 ของประเทศ ซึ่งแต่เดิมที่บริเวณนั้นจะถูกสร้างรีสอร์ท แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านที่ดินผืนนั้นก็กลายเป็นโรงเรียนที่อยู่บนเขาแห่งเดียวในภาคตะวันออก โรงเรียนของฉันตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา เมื่อขึ้นไปยืนที่จุดสูงสุดของโรงเรียนก็มองเห็นทะเล หน้าหนาวจะเหลืองอร่ามไปด้วยดอกบัวตอง ค่ำคืนที่ฟ้าเปิดก็สวยงามราวกับยืนอยู่ท่ามกลางทะเลดาว และเรามีศูนย์รวมใจคือพระบรมรูปสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนี หรือ "สมเด็จย่า"
"เหตุผลสิ้นคิดจังวะ อะถามใหม่ แล้วถ้ามีใครมาด่าเจ้าแกจะทำไง ด่ากลับมั้ย"
"ไม่อะ"
"ทำไม รักก็ต้องปกป้องดิ"
"ไม่จำเป็นหรอกการรับรู้ของคนเราไม่เท่ากัน วันหนึ่งคนพวกนั้นก็ได้เห็นเองแหละ"
เรื่องราวที่เราสนทนาในวันนั้นดำเนินไปเรื่อยๆ แต่ที่จดจำได้แม่นก็คงเป็นประโยคข้างต้น ว่ากันตามจริงที่ฉันบอกว่ารักเจ้า ฉันไม่ได้รักเพราะว่าพ่อแม่บอกให้รัก ฉันไม่ได้รักเพราะว่าในหนังสือเรียนบอกว่าพระมหากษัตริย์ไทยมากล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณจนหาที่สุดมิได้ ฉันไม่ได้รักเพราะว่าใครๆก็รัก แต่ความรักเหล่านั้นมันแทรกซึมเข้าไปในหัวจิตหัวใจโดยที่ฉันเองก็ไม่เคยรู้ตัว รู้แค่ว่าตัวเองชื่นชมจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ท่านและเชื้อพระวงศ์
ข่าวในพระราชสำนัก...
ฉันเติบโตมาในครอบครัวใหญ่ ทุกเย็นฉันจะนั่งดูโทรทัศน์กับตา ยาย และทุกครั้งที่มีข่าวในหลวงเสด็จออกเยี่ยมประชาชนตามักจะก้มกราบที่หน้าโทรทัศน์
ฉันเห็นชาวบ้านที่ไปรอรับเสด็จเอาผ้าเช็ดหน้าปูเป็นลาดพระบาทให้ทรงเหยียบและเอากลับมาทูนไว้เหนือหัว ฉันเห็นคนที่ทุกคนเรียนว่า "ในหลวง" โน้มตัวลงพูดคุยกับคนเหล่านั้น เครื่องแบบที่คล้ายๆทหาร ใส่หมวก และรองเท้าสีดำเป็นภาพที่คุ้นตา เคียงข้างกันนั้นคือพระราชินี ฉันมักจิตนาการว่าพระราชินีจะต้องฉลองพระองค์ด้วยชุดไทยเต็มยศอย่างในละครจักรๆวงศ์ๆที่ฉันดูตอนเช้าวันหยุด แต่พระราชินีที่เคียงข้างพระราชาของฉันแต่งตัวธรรมดา แต่สวย รอยแย้มสรวล พระโอษฐ์สีสดใส และพระเนตรที่มองไปยังทุกคน ฉันก็คิดเอาเองว่าพระองค์ท่านต้องใจดีแน่ๆ ขณะนั้นฉันอายุไม่เกิน 7 ขวบ ไม่ได้รู้เรื่องราวมากนัก แต่ก็อยู่ในวัยที่จำความได้ อีกภาพที่คุ้นตาฉันตลอด 23 ปี ก่อนที่ตาจะจากไปนั่นคือ ทุกๆวันที่ 5 ธันวาคม เมื่อพระองค์ท่านเสด็จออกมหาสมาคมเพื่อพระราชทานพระบรมราโชวาท ตาของฉันจะต้องเอากางเกงขาก๊วยความยาวครึ่งแข้งออกมาสวมทับกางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่บ้าน พร้อมกับเอาผ้าขาวม้าผืนเก่งพาดไหล่และนั่งพนมมือฟังพระบรมราโชวาทหน้าโทรทัศน์ ฉันในวันที่เป็นเด็กน้อยนั่งอยู่ข้างๆตา ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้างตามประสา
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" นอกจากข่าวในพระราชสำนัก ที่ที่ฉันได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวได้บ่อยที่สุดก็คือบนปฏิทิน วันนั้นฝนตกหนัก ไฟดับ ตาเอาตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ทำเองด้วยกระป๋องนมเก่ามาจุดวางข้างๆตู้หนังสือ เหนือขึ้นไปคือปฏิทินสีซีเปีย ตรงกลางเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ประทับอยู่ใต้พระนพปฎลเศวตฉัตร ใต้ภาพนั้นมีคำในเครื่องหมายคำพูดว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" จำได้ว่าตัวเองยืนอ่านข้อความนี้ใต้แสงตะเกียงวนไปวนมาหลายรอบแต่ก็ไม่เข้าใจความหมาย เราไม่เข้าใจว่าครองโดยธรรมคืออะไร ประโยชน์สุขนี่ต้องเป็นแบบไหน มหาชนชาวสยามคือใคร แต่การนั่งดูข่าวในพระราชสำนักพร้อมกับตายายทุกๆเย็นฉันก็เข้าใจว่าพระองค์ท่านพูดถึงชาวเขา เพราะพระองค์เสด็จภาคเหนือบ่อย ทรงสร้างอาชีพให้ชาวไทยภูเขาและใครต่อใครมากมาย แต่ก็นั่นแหละเด็กน้อยอย่างฉันไม่ได้รู้อะไรมาก
ศึกษาพระราชกรณียกิจผ่านสาราณุกรมไทย ฉบับเยาวชน...
ฉันเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัด มีนักเรียนทั้งโรงเรียนนับรวมครู คุณลุงภารโรง คุณยายแม่บ้านแล้วยังไม่ครบร้อย แต่ห้องสมุดโรงเรียนฉันใหญ่ไม่น้อยหน้าโรงเรียนใหญ่ๆในตัวตำบล หรืออำเภอเลย วันหนึ่งโรงเรียนเล็กๆของฉันจัดตอบปัญหาในพจนานุกรม โดยที่ไม่แบ่งระดับชั้น เด็กนักเรียนตั้งแต่ ป.1 - ป.6 แข่งด้วยกันหมด แหล่งความรู้ของเราคือสาราณุกรมไทยฉบับเยาวชน ที่ปกติแล้วเรียงอย่างสวยงามอยู่ในตู้และล็อกกุญแจเพิ่มความแข็งแรงอีกชั้น ขณะนั้นฉันอายุ 8 ขวบ อยู่ ป.2 ฉันอยากชนะ จึงเข้าห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือหนาๆที่แทบจะยกไม่ไหวทุกพักกลางวัน ใช่...ฉันชนะ แต่นอกจากรางวัลเป็นปากกาสวยๆ 1 ด้าม และแบงค์สีแดง 1 ใบ และสมุดพระราชทานเล่มสีน้ำตาล 1 ชุด (ยังนึกเสียดายอยู่ทุกวันนี้ว่าทำไมถึงไม่เก็บไว้) ฉันรู้เรื่องราวสารพัดมากขึ้นจากหนังสือเล่มหนานั้น เหนือสิ่งอื่นใดฉันได้รู้จักพระราชาของฉันมากขึ้น และรูจักคำว่าพระจริยวัตรอันงดงามเป็นครั้งแรก
นอกจากครั้งนั้นในสมัยเด็ก เมื่อเติบโตขึ้นฉันยังมีโอกาสได้ศึกษาพระราชกรณียกิจอย่างมากมายเสมอมา เพราะฉันเป็นเด็กกิจกรรมประเภทที่มีคำขวัญประจำตัวว่า กิจกรรมดี กิจกรรมเด่น เน้นกิจกรรม สิ่งหนึ่งที่ฉันทำได้ดีคือการเขียนเรียงความ เขียนเรื่องสั้น และพูดสุนทรพจน์ แน่นอนว่าทุกครั้งที่ลงแข่งกิจกรรมเหล่านี้ฉันจำเป็นต้องหาข้อมูลเชิงลึกเพื่อเอาไปแข่งกับคู่ต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการแกล้งดิน กังหันน้ำชัยพัฒนา ฝนหลวง และอีกกว่าสามพันโครงการของพระราชาที่ย่างสองพระยาทไปทางใดก็ปรากฏความงอกงามที่นั่นเสมอ สิ่งเหล่านี้แทรกซึมเข้ามาในหัวใจทีละน้อย พระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านฉันได้รู้ ได้เห็นจากบันทึกต่างๆมากมาย และฉันไม่เคยเห็นพระราชาองค์ไหนที่ต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้เลย การแข่งขันของฉันชนะบ้าง แพ้บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่พระราชาของฉันไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆที่ขัดขวางประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามเลย
ถวายงานผ่านศิลปะ หอศิลป์ฯ กทม.
ครั้งสุดท้ายที่แข่งสุนทรพจน์อุดมศึกษาฉันไม่ได้ผ่านการคัดเลือกระดับมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แต่ฉันยังอยากเล่าเรื่องราวที่ฉันรู้ อยากบอกให้ใครๆเห็นว่าพระราชาของฉันวิเศษขนาดไหน ตอนนั้นแอบเศร้าเล็กๆที่รู้ว่านั่นเป็นครั้งสุดท้าย เพราะอายุเกินเกณฑ์ประกวดแล้ว แต่อยู่ๆวันหนึ่งก็มีจดหมายจากหอศิลป์ฯกรุงเทพมหานคร ABCC มาที่คณะ ประกาศรับสมัครนิสิตเป็นผู้นำชมอาสาในนิทรรศการ "ภาพของพ่อ บารมีแห่งแผ่นดิน" นิทรรศการแรกของหอศิลป์ฯกรุงเทพมหานคร ฉันผ่านการคัดเลือกและปฏิบัติภาระกิจผู้นำชมสลับกับอาสาคนอื่นๆเป็นเวลาสามเดือน
นิทรรศการครั้งนั้นจัดแสดงพระบรมฉายาลักษณ์ พระบรมสาทิสลักษณ์ พระบรมฉายาทิสลักษณ์ พระบรมรูป ของศิลปินชื่อดังมากมาย เช่น คุณอนุชัย ศรีจรูญภู่ทอง อ.เฉลิมชัย อ.ประเทือง เอมเจริญ แต่ละภาพมีรายละเอียด และเรื่องราวในภาพต่างกันไป ศิลปินมักแวะเวียนมาดูงานและเล่าเรื่องราว แรงบันดาลใจที่ได้รับจากพระองค์ท่านให้เราฟังเสมอ นอกจากนี้ก็มีประชาชนทั่วไปที่เข้าชมนิทรรศการแวะเวียนมาเล่าเรื่องราวดีๆให้พวกเราฟังด้วยเช่นกัน เราแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เหล่าอาสานำชมนิทรรศการที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติที่สุดในชีวิตของพวกเรา คนที่เข้าชมงานก็แวะมาเติมควาชุ่มชื่นใจด้วยเรื่องราวน่ารักๆให้เราฟังเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างชาติที่เข้ามาชมนิทรรศการและทึ่งกับพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ของพระอง์ท่าน การนำชมนิทรรศการชั่วคราว 3 เดือนของพวกเราจบลงด้วยรอยยิ้มและความภาคภูมิใจ และฉันรู้แน่แล้วว่าฉันเทิดทูนพระราชาพระองค์นี้เหลือเกิน
365 ที่แล้วมา...
วันนี้ของปีที่แล้ว 13 ตุลาคม 2559 ฉันเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปทำงานที่จังหวัดนครพนมตั้งแต่วันที่ 10 ฉันทำงานด้วยความสนุกสนานเป็นปกติ จนเมื่อวันที่ 12 เริ่มมีแถลงการณ์จากโรงพยาบาลเกี่ยวกับการถวายการรักษา ฉันไม่ค่อยมีสมาธิทำงานนัก นั่งเปิดเฟซบุคเลื่อนหน้าจอขึ้นลงหวังจะเจอข่าวดีว่าพระองค์ท่านทรงเสด็จออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว งานของฉันคือพิธีกรซึ่งต้องใช้พลังใจพอสมควรที่จะต้องทำให้คนอื่นสนุกทั้งๆที่เราไม่สบายใจ ช่วงนั้นเป็นช่วงน้ำหลาก ริมแม่น้ำโขงจังหวัดนครพนมมีการแข่งเรือยาวสานสัมพันธ์ไทย - ลาว แต่นักแข่งไทยดูจะใจไม่ค่อยดีนัก
เช้าวันที่ 13 ฉันแต่งตัวด้วยชุดทำงานสีเหลือสดใส แต่บรรยากาศรอบตัวทึมเทา เงียบเหงาแปลกๆ ฝีพายสองฝั่งโขงดูเหมือนอยู่คนละโลกกับคนบนฝั่ง พวกเขาฝึกซ้อมและต้องใช้เสียงเพื่อเรียกพลัง แต่ดูเหมือนว่าเสียงเหล่านั้นไม่ได้ดังขึ้นมาบนฝั่งเลย ฝีพายทั้งสองฝั่งสลับกันแพ้ ชนะไปตามฝีมือ ฉันพักจากเวทีลงมาเปิดเฟซบุคเลื่อนไปเลื่อนมา เปิดอ่านข่าวเรื่อยเปื่อย ไปจนกระดานหุ้นซึ่งขณะนั้นเป็นสีแดงทั้งกระดาน ใจหายวาบ แต่คิดว่าคงเป็นการปั่นกระแสกระมัง ฉันว้าวุ่นเชคข่าวจากเพื่อนๆใน กทม. ช่วงบ่ายรุ่นพี่ที่เป็นข้าราชการที่จ.ชลบุรีบอกว่า นายกฯยกเลิกภาระกิจกระทันหัน ไม่ไปชลบุรีแล้ว เนื่องจากวันนั้นนายกฯมีภาระกิจที่นั่น สักพักใหญ่ๆภาพบนหน้าแรกของเฟสบุคเป็นภาพถ่ายจากหน้า รพ.ศิริราช ผู้คนสีหน้าเจ็บปวด กอดสิ่งแทนพระองค์ไว้แนบอก ไม่นานก็มีข่าวออกมาว่า รพ.ศิริราชปิดลงนามถวายพระพรแล้ว และบุคลากรร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ฉันน้ำตาไหลเงียบๆคนเดียว ไม่เคยคิดว่ามันจะเจ็บปวด กระชากหัวใจขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการมีเพียงข่าวลือ ฉันกับเพื่อนๆได้แต่ปลอบใจกันไปมาว่ามันไม่ใช่หรอก รอฟังประกาศจากสำนักพระราชวังนะ แต่ใจพวกเราทุกคนรู้ดีว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป หายใจไม่ทั่วท้อง ไม่อยากไปไหนหรือทำอะไรทั้งนั้น ได้แต่นั่งรออยู่หน้าโทรทัศน์ทั้งๆที่เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมง
ก่อนถึงเวลาประกาศราว 1 ชั่วโมงทีมงานมาเรียกฉันออกไปกินข้าว ซึ่งทีแรกฉันจะไม่ออกไปเพราะอยากรอดูข่าว แต่ทีมงานกลัวว่าจะหิวเพราะยังไม่ได้กินตั้งแต่บ่ายก็เลยออกไป ฉันไปถึงร้านข้าวแต่จิตใจตอนนั้นกินอะไรไม่ลงจริงๆ ได้แต่นั่งรอทีมงาน ตาจ้องอยู่ที่จอโทรทัศน์จนกระทั่งถึงเวลา...
แบลคกราวด์สีดำปรากฏ ผู้ประกาศข่าวแต่งชุดดำ โดยที่ผู้ประกาศยังไม่ทันได้พูดอะไรน้ำตาฉันไหลพราก จนกระทั่งจบคำว่า "...สวรรคต" ทุกคนที่นั่งอยู่ในร้านพากันร้องไห้ ฉันไม่เข้มแข็งพอจะนั่งอยู่ตรงนั้นได้จึงแยกออกมารอที่รถ คืนนั้นทั้งคืนฉันนอนไม่หลับ น้ำตาก็ไหลไม่หยุด จนสุดท้ายคิดว่าฉันควรทำอะไรสักอย่างเท่าที่ฉันพอจะทำได้ในเวลานั้น
เจ็ดทศวรรษใต้ร่มฉัตรแก้ว ปวงประชาผ่องแผ้วเกษมสันต์
ใต้ร่มธงไทยแห่งองค์พระทรงธรรม์ ไทยจึงรอดเรื่องคับขันตลอดมา
สองพระบาทยุรยาตรทุกถิ่นที่ ให้ประชาอยู่ดีกันถ้วนหน้า
ทรงแก้ไขปัญหา ดิน น้ำ ไร่ นา เพื่อเหล่าข้าฯได้อยู่สุขสบาย
สองพระหัตถ์ทรงจัดสรรค์สัมมากิจ เป็นต้นแบบชีวิตข้าฯทั้งหลาย
ธ เกิดฟ้า ไม่อยู่ฟ้าสุขสบาย อุทิศวรกายอยู่คู่ผืนดิน
พระเสโทแต่ละหยดที่หลั่งไหล คือการพัฒนาไทยไม่จบสิ้น
"ภูมิพล" มิใช่เพียงจอมภูมินทร์ แต่คือดวงชีวินของข้าฯไทย
สิบสามตุลาบ่ายสามศกห้าเก้า ดินโศกโลกเศร้าดาวหลับไหล
พระปิ่นฟ้าเสด็จสู่สวรรคาลัย พสกไทยหัวใจสลายทั้งแผ่นดิน
มรรษรัญชน์
และนี่คือสิ่งที่ฉันเขียนในคืนนั้น อยากเขียนให้มากกว่านี้ อยากเขียนให้ดีกว่านี้ อยากบอกเล่าเรื่องราวให้มากกว่านี้ แต่เพียงเท่านี้กระดาษที่เขียนกลอนนี่ก็เปื้อนน้ำตาไปทั่วทั้งหน้าแล้ว ขณะนั้นฉันนึกถึงแม่พลอยในสี่แผ่นดิน บทประพันธ์อมตะของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ แม่พลอยผ่านการสูญเสียมาได้ยังไงตั้งสี่ครั้งสี่ครา แค่การผลัดแผ่นดินเดียวในชีวิตก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งแผ่นดิน บรรยากาศสงัดวังเวงไปหมด ไม่มีแม้แต่เสียงจิ้งหรีด คืนนั้นอากาศเย็นและหมอกลงหนา มารู้เอาตอนเช้าว่านั่นคือ "หมอกธุมเกตุ"