ครบทั้ง 6 เมือง SiXnature แล้วนะคะ
ตอนที่ 1 หลงเสน่ห์ส่าหรีท่อง 6 เมือง siXnature แห่งดินแดนภารตะ [Agra, Jaipur]
https://ppantip.com/topic/36962976
ตอนที่ 2 หลงเสน่ห์ส่าหรี ตะลุยเมืองสีฟ้าในนิทาน [Pushkar, Jodhpur]
https://ppantip.com/topic/36969503
ตอนที่ 3 หลงเสน่ห์ส่าหรี ล่องเมืองทะเลสาบ นอนกลางทะเลทราย [๊Udaipur, Jaisalmer]
https://ppantip.com/topic/36974194
_______________________________
ในกระทู้แรก "หลงเสน่ห์ส่าหรีท่อง 6 เมือง siXnature แห่งดินแดนภารตะ กับ CANON EOS M6"
https://ppantip.com/topic/36962976
เราร่ายถึงแพลนการเดินทางทั้ง 6 เมือง SiXnature ของอินเดียไปครบแล้ว ว่าด้วยการเตรียมตัว และพาไปสัมผัสกับ 2 เมืองแรกของทริป คือ
Agra เมืองแห่งความรักที่มีทัชมาฮาลเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางจากทั่วโลก และ
Jaipur เมืองสีชมพู ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของรัฐราชาสถานนั่นเอง
สำหรับเนื้อหากระทู้นี้ จะเป็นเรื่องของเมืองที่ 3 และ 4 ของทริป คือ
Pushkar เมืองแห่งทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่ตั้งของวัดพราหมณ์แห่งเดียวในอินเดีย ที่ชาวฮินดูล้วนแต่ปรารถนาที่จะมาอาบน้ำในทะเลสาบนี้สักครั้ง และ
Jodhpur เมืองสีฟ้าในนิทาน ที่โด่งดังของอินเดียนั่นเอง
ก่อนเข้าสู่ Chapter 3 และ 4 มาดูคลิป ไฮไลท์ของทริปนี้ที่ถ่ายมาจากเจ้า M6 ตัวนี้กันก่อนดีกว่า
Chapter 3
Pushkar เมืองโฮลี่แห่งดินแดนแห่งทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์
ก่อนอื่นบอกก่อนว่า ภาพใน Chapter ที่ 3 ทั้งหมด เราใช้ไฟล์ Jpeg โปรเสสด้วยโปรแกรม VSCO โดยใช้การส่งรูปจากกล้องไปที่โทรศัพท์ด้วยระบบ WIFI ผ่าน App Camera Connect ของ Canon ยังไงขอใช้รูปที่แต่งไว้ตั้งแต่เดินทางมาลงเลยละกันนะคะ
“Pushkar เมืองเก่าแก่เล็กๆตั้งล้อมรอบทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ที่ถือเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของชาวฮินดู ที่มีความเชื่อว่าชาวฮินดูควรมีโอกาสไปอาบน้ำในทะเลสาบนี้สักครั้งในชีวิต เมืองนี้อยู่ห่างจาก Jaipur เมืองหลวงของแคว้นเพียงแค่ 150 กิโลเมตร แต่การเดินทางไปพุชการ์จะต้องมาลงที่ Ajmer ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลกันนักก่อน แล้วต่อรถริกชอว์หรือรถบัสข้ามภูเขาไปอีก 15 กิโลเมตร”
เราเลือกเดินทางจาก Jaipur ด้วยรถประจำทาง ซึ่งมีออกทุกชั่วโมง โดยนั่งรถ AC Seater คือเป็นรถบัสแอร์ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยสามารถ walkin ไปซื้อตั๋วที่สถานีรถบัสได้เลย ไม่ต้องจองล่วงหน้าก็ได้ค่ะเพราะมีรถออกทุกชั่วโมง
เราได้รถรอบหกโมงครึ่ง กว่าจะไปถึง Ajmir ก็ 3 ทุ่มแล้ว รถบัสหมดเลยต้องใช้บริการริกชอว์ไป Pushkar ต่อ จากที่หาข้อมูลมาเหมือนค่ารถจะถูกมาก แต่พอไปถึงจริงๆแล้วค่ารถไม่ได้ถูกเท่าไหร่นัก เราเลยเปิด grab เทียบราคาเอาว่าถ้าได้รถประมาณ 350-400 รูปีก็ถือว่าอยู่ในเรทที่รับได้ เพียงแค่เปลี่ยนจากรถยนต์นั่งสบายๆเป็นริกชอว์ระบบแอร์กี่กันแทน
การนั่งริกชอว์ขึ้นเขาลงเขาที่มืดสนิทในเวลากลางคืน กับทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อและรถกระเทือนตลอดทางคือทรมานและเหนื่อยมาก T T เรียกว่าพอไปถึงนี่ค่ารถ 200 บาทคือถูกไปเลยอะ ยิ่งคิดว่าพี่เขาต้องขับกลับคนเดียวอะนะ
คืนแรกใน Pushkar เราเข้าที่พักที่จองจากบนรถ เป็นโรงแรมเล็กๆ อยู่ติดกับวัดพราหมณ์เก่าแก่แห่งเดียวของอินเดีย
เรียกว่าเดินออกจากโรงแรมก็เจอทะเลสาบเลย คือเป็นโรงแรมที่ทำเลดีมาก
ความพีคของห้องของเราคือเป็นห้องหัวมุมที่มีหน้าต่างเปิดไปเห็นทะเลสาบแบบพาโนรามาเลยทีเดียว ในตอนเช้าเราตื่นมาเพราะเสียงสวดมนต์และเสียงดนตรีกระหึ่มตั้งแต่ตีห้ากว่า เมาขี้ตาเปิดหน้าต่างออกไปคือ ตะลึงว่าที่นี่สวยมาก ไม่มีแดด มีแต่ฟ้าขาวๆ อากาศเย็นสบาย ลมแรงๆ และเห็นสาวอินเดียในส่าหรีหลากสีอาบน้ำกันในทะเลสาบศักดิ์สิทธ์ มีผู้ชายลักษณะเป็นพราหมณ์อยู่นั่งริมน้ำ มีคนที่อาบน้ำเสร็จแล้วเดินไปหา นั่งทำพิธีอะไรกันสักแป๊บเป็นอันจบพิธีอาบน้ำ ถือเป็นการประกอบพิธีชำระล้างบาปในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์เหมือนที่คนลงไปชำระล้างบาปในแม่น้ำคงคา
สำหรับตอนนั้นอากาศมันดีจนทำได้แค่คว้ากล้องมาใส่เลนส์เทเล EF-M 55-200mm F/4.5-6.3 IS STM
ส่องให้ทั่วแค่นั้นแหละ แล้วก็ล้มตัวนอนต่อ ฮ่าๆ คือมันชิลจนเราไม่ควรทำอะไรนอกจากนอนฟังเสียงเพลง เสียงสวดมนต์และเสียงลม แล้วก็หลับตาจริงๆ
บรรยากาศรอบทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์
8.30 น. ฝืนความง่วงลงมาเดินรอบทะเลสาบจนได้ อากาศยังคงดีไม่ต่างกับตอนหกโมงเช้า แต่ชาวฮินดูมากมายหลั่งไหลมาจากไหนกันไม่รู้เยอะมาก มาอาบน้ำกันในทะเลสาปศักดิ์สิทธิ์ ที่ว่ากันว่าเกิดจากการที่พระพรหมทำดอกบัวร่วงลงมาบนโลก ทำให้เกิดทะเลสาบรองรับดอกบัวนั้นไว้ ที่นี่จึงเป็นทะเลสาบที่เกิดขึ้นมากลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง เปรียบเหมือนบ้านเกิดของพระพรหมผู้ยิ่งใหญ่
ฝั่งวัดพราหม์ที่เราอยู่คนจะคึกคักเป็นพิเศษ แต่ว่าห้ามถ่ายรูปเราเลยเดินวนกันไปอีกทางกันแทน ก็เลยได้ถ่ายรูปคุณลุงคุณป้าที่มาอาบน้ำ ทาตัว และตากส่าหรีกันมาบ้าง
ความดีงามอย่างนึงของของการใช้กล้องตัวเล็กอย่าง EOS M คือ ได้ช็อตแคนดิตที่เป็นธรรมชาติกว่ากล้องใหญ่ เพราะคนจะไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่เวลาถ่าย เวลาเราตั้งใจออกไปถ่ายผู้คน เราจะติดเลนส์ Kit EF-M 15-45mm ไม่ก็ EF-M 22mm แหละ เอากล้องคอไว้แล้วเปิดจอพับขึ้นมา เวลาเดินก็ก้มดูจอ กดทัชโฟกัสให้มันลั่นชัตเตอร์เลยในการทัชแค่ 1 ที บางทีคนที่เราเดินผ่าน หรือไปหยุดใกล้ๆไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราถ่ายรูปเขาอยู่อย่างรูปด้านบนทั้งหมดนี่แหละ
เซลฟี่โชว์หน้าสดคนตื่นเช้าหน่อย เสียดายลืมใช้โหมดหน้าเนียน 555
โชคดีมากที่เราเดินไปเจอคุณลุงคุณป้ากลุ่มใหญ่กลุ่มนึงเห็นเราให้ความสนใจเลยเรียกเราไปป้ายหน้าผากให้ ระหว่างคุณป้าป้ายสีให้ คุณลุงก็จะสวดไปตลอดเวลา เสร็จพิธีคุณลุงจะเอาใบไม้ใส่ในนั้นแล้วเอาช้อนเล็กๆตักให้เรากินทั้งน้ำและใบไม้นั้น เป็นอันเสร็จพิธี สรุปว่าเราไม่เจอมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบของการหลอกให้เสียเงินทำพิธี แต่ได้ความประทับใจดีๆกลับมาแทนจากลุงๆป้าๆกลุ่มนี้ซะงั้น
คุณป้าที่เรียกเราถ่ายรูปเรียกให้เราไปถ่ายคุณลุงสองคนที่กำลังทำป้ายสีกันอยู่ โดยเอาสีป้ายตัวแทบจะทั้งตัว ป้ายหน้า คอ หลังคอ ตามตัว โดยคุณลุงสองคนจะสลับกันสวดระหว่างที่อีกคนนึงแต้มสี
ครอบครัวอินเดีย ที่มาขอให้ถ่ายรูปให้ พอถามว่าอยากได้รูปไหม นางก็บอกว่าไม่เอา เอ๊า!!เอาที่สบายใจเลยจ้า
เอ้อ มีเรื่องน่ารักๆอีกเรื่องอยากเล่าให้ฟัง ด้วยความเป็นคนต่างถิ่นต่างเชื้อชาติ ไปเดินๆนี่แอบเกร็งๆเหมือนกันนะ แล้วมีคนลุงคนนึงถามขึ้นมากลางวงลุงป้าเลยว่า เป็นคนที่ไหน นับถือศาสนาอะไร ยอมรับว่าเอ๊ะถ้าเราบอกว่าพุทธ เขาจะหาว่าเราอยู่ผิดที่ผิดทาง ไปวุ่นวายในพื้นที่ของเขารึเปล่านะ แต่คุณลุงน่ารักมาก คุณลุงทำท่าดีใจแล้วพูดกันแต่ว่า Hindu Love Buddhism น่ารักดี
เดินรอบทะเลสาบรอบนึงจบแล้วก็ไปหาอะไรกินกันต่อ แน่นอนว่าขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ชาวฮินดูมาแสดงบุญกันที่นี่มีแต่อาหารมังสวิรัตให้กินนะจ๊ะ และสำหรับคนไม่กินผักอย่างเราถือว่าบันเทิงพอสมควร เปิดเมนูละก็ควานหาแต่แกงมันฝรั่ง กินหลายๆมื้อนี่แอบเอียนเหมือนกัน เพราะกินมังมาตั้งแต่ Jaipur นี่ก็เข้าวันที่ 3 แล้ว T T
เที่ยงตรงออกจากเมืองนี้เพื่อนั่งรถไฟจาก Ajmir ไป Jodhpur กันต่อ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง
ถือว่าเรามีเวลาที่นี่น้อยมาก ซึ่งจริงๆ Pushkar จะตัดออกจากแพลนไปเลยก็ได้ แต่ติดที่เราอยากมาสัมผัสความชิลของเมืองนี้ดู แล้วก็ไม่ผิดหวัง เรากับเพื่อนถึงกะพูดกันว่า ถ้ามีโอกาสอยากมาใหม่ มาอยู่หลายๆวัน ที่นี่มันเหมาะจะมานั่งทำงาน ใช้ชีวิตเรื่อยๆเปื่อยๆมากเลยล่ะ
[SR] หลงเสน่ห์ส่าหรี ตะลุยเมืองสีฟ้าในนิทาน กับ CANON EOSM6
ตอนที่ 1 หลงเสน่ห์ส่าหรีท่อง 6 เมือง siXnature แห่งดินแดนภารตะ [Agra, Jaipur]
https://ppantip.com/topic/36962976
ตอนที่ 2 หลงเสน่ห์ส่าหรี ตะลุยเมืองสีฟ้าในนิทาน [Pushkar, Jodhpur]
https://ppantip.com/topic/36969503
ตอนที่ 3 หลงเสน่ห์ส่าหรี ล่องเมืองทะเลสาบ นอนกลางทะเลทราย [๊Udaipur, Jaisalmer]
https://ppantip.com/topic/36974194
_______________________________
https://ppantip.com/topic/36962976
เราร่ายถึงแพลนการเดินทางทั้ง 6 เมือง SiXnature ของอินเดียไปครบแล้ว ว่าด้วยการเตรียมตัว และพาไปสัมผัสกับ 2 เมืองแรกของทริป คือ Agra เมืองแห่งความรักที่มีทัชมาฮาลเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางจากทั่วโลก และ Jaipur เมืองสีชมพู ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของรัฐราชาสถานนั่นเอง
สำหรับเนื้อหากระทู้นี้ จะเป็นเรื่องของเมืองที่ 3 และ 4 ของทริป คือ Pushkar เมืองแห่งทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่ตั้งของวัดพราหมณ์แห่งเดียวในอินเดีย ที่ชาวฮินดูล้วนแต่ปรารถนาที่จะมาอาบน้ำในทะเลสาบนี้สักครั้ง และ Jodhpur เมืองสีฟ้าในนิทาน ที่โด่งดังของอินเดียนั่นเอง
ก่อนเข้าสู่ Chapter 3 และ 4 มาดูคลิป ไฮไลท์ของทริปนี้ที่ถ่ายมาจากเจ้า M6 ตัวนี้กันก่อนดีกว่า
Chapter 3
Pushkar เมืองโฮลี่แห่งดินแดนแห่งทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์
ก่อนอื่นบอกก่อนว่า ภาพใน Chapter ที่ 3 ทั้งหมด เราใช้ไฟล์ Jpeg โปรเสสด้วยโปรแกรม VSCO โดยใช้การส่งรูปจากกล้องไปที่โทรศัพท์ด้วยระบบ WIFI ผ่าน App Camera Connect ของ Canon ยังไงขอใช้รูปที่แต่งไว้ตั้งแต่เดินทางมาลงเลยละกันนะคะ
“Pushkar เมืองเก่าแก่เล็กๆตั้งล้อมรอบทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ที่ถือเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของชาวฮินดู ที่มีความเชื่อว่าชาวฮินดูควรมีโอกาสไปอาบน้ำในทะเลสาบนี้สักครั้งในชีวิต เมืองนี้อยู่ห่างจาก Jaipur เมืองหลวงของแคว้นเพียงแค่ 150 กิโลเมตร แต่การเดินทางไปพุชการ์จะต้องมาลงที่ Ajmer ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลกันนักก่อน แล้วต่อรถริกชอว์หรือรถบัสข้ามภูเขาไปอีก 15 กิโลเมตร”
เราเลือกเดินทางจาก Jaipur ด้วยรถประจำทาง ซึ่งมีออกทุกชั่วโมง โดยนั่งรถ AC Seater คือเป็นรถบัสแอร์ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยสามารถ walkin ไปซื้อตั๋วที่สถานีรถบัสได้เลย ไม่ต้องจองล่วงหน้าก็ได้ค่ะเพราะมีรถออกทุกชั่วโมง
เราได้รถรอบหกโมงครึ่ง กว่าจะไปถึง Ajmir ก็ 3 ทุ่มแล้ว รถบัสหมดเลยต้องใช้บริการริกชอว์ไป Pushkar ต่อ จากที่หาข้อมูลมาเหมือนค่ารถจะถูกมาก แต่พอไปถึงจริงๆแล้วค่ารถไม่ได้ถูกเท่าไหร่นัก เราเลยเปิด grab เทียบราคาเอาว่าถ้าได้รถประมาณ 350-400 รูปีก็ถือว่าอยู่ในเรทที่รับได้ เพียงแค่เปลี่ยนจากรถยนต์นั่งสบายๆเป็นริกชอว์ระบบแอร์กี่กันแทน
การนั่งริกชอว์ขึ้นเขาลงเขาที่มืดสนิทในเวลากลางคืน กับทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อและรถกระเทือนตลอดทางคือทรมานและเหนื่อยมาก T T เรียกว่าพอไปถึงนี่ค่ารถ 200 บาทคือถูกไปเลยอะ ยิ่งคิดว่าพี่เขาต้องขับกลับคนเดียวอะนะ
คืนแรกใน Pushkar เราเข้าที่พักที่จองจากบนรถ เป็นโรงแรมเล็กๆ อยู่ติดกับวัดพราหมณ์เก่าแก่แห่งเดียวของอินเดีย
เรียกว่าเดินออกจากโรงแรมก็เจอทะเลสาบเลย คือเป็นโรงแรมที่ทำเลดีมาก
ความพีคของห้องของเราคือเป็นห้องหัวมุมที่มีหน้าต่างเปิดไปเห็นทะเลสาบแบบพาโนรามาเลยทีเดียว ในตอนเช้าเราตื่นมาเพราะเสียงสวดมนต์และเสียงดนตรีกระหึ่มตั้งแต่ตีห้ากว่า เมาขี้ตาเปิดหน้าต่างออกไปคือ ตะลึงว่าที่นี่สวยมาก ไม่มีแดด มีแต่ฟ้าขาวๆ อากาศเย็นสบาย ลมแรงๆ และเห็นสาวอินเดียในส่าหรีหลากสีอาบน้ำกันในทะเลสาบศักดิ์สิทธ์ มีผู้ชายลักษณะเป็นพราหมณ์อยู่นั่งริมน้ำ มีคนที่อาบน้ำเสร็จแล้วเดินไปหา นั่งทำพิธีอะไรกันสักแป๊บเป็นอันจบพิธีอาบน้ำ ถือเป็นการประกอบพิธีชำระล้างบาปในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์เหมือนที่คนลงไปชำระล้างบาปในแม่น้ำคงคา
สำหรับตอนนั้นอากาศมันดีจนทำได้แค่คว้ากล้องมาใส่เลนส์เทเล EF-M 55-200mm F/4.5-6.3 IS STM
ส่องให้ทั่วแค่นั้นแหละ แล้วก็ล้มตัวนอนต่อ ฮ่าๆ คือมันชิลจนเราไม่ควรทำอะไรนอกจากนอนฟังเสียงเพลง เสียงสวดมนต์และเสียงลม แล้วก็หลับตาจริงๆ
บรรยากาศรอบทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์
8.30 น. ฝืนความง่วงลงมาเดินรอบทะเลสาบจนได้ อากาศยังคงดีไม่ต่างกับตอนหกโมงเช้า แต่ชาวฮินดูมากมายหลั่งไหลมาจากไหนกันไม่รู้เยอะมาก มาอาบน้ำกันในทะเลสาปศักดิ์สิทธิ์ ที่ว่ากันว่าเกิดจากการที่พระพรหมทำดอกบัวร่วงลงมาบนโลก ทำให้เกิดทะเลสาบรองรับดอกบัวนั้นไว้ ที่นี่จึงเป็นทะเลสาบที่เกิดขึ้นมากลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง เปรียบเหมือนบ้านเกิดของพระพรหมผู้ยิ่งใหญ่
ฝั่งวัดพราหม์ที่เราอยู่คนจะคึกคักเป็นพิเศษ แต่ว่าห้ามถ่ายรูปเราเลยเดินวนกันไปอีกทางกันแทน ก็เลยได้ถ่ายรูปคุณลุงคุณป้าที่มาอาบน้ำ ทาตัว และตากส่าหรีกันมาบ้าง
ความดีงามอย่างนึงของของการใช้กล้องตัวเล็กอย่าง EOS M คือ ได้ช็อตแคนดิตที่เป็นธรรมชาติกว่ากล้องใหญ่ เพราะคนจะไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่เวลาถ่าย เวลาเราตั้งใจออกไปถ่ายผู้คน เราจะติดเลนส์ Kit EF-M 15-45mm ไม่ก็ EF-M 22mm แหละ เอากล้องคอไว้แล้วเปิดจอพับขึ้นมา เวลาเดินก็ก้มดูจอ กดทัชโฟกัสให้มันลั่นชัตเตอร์เลยในการทัชแค่ 1 ที บางทีคนที่เราเดินผ่าน หรือไปหยุดใกล้ๆไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราถ่ายรูปเขาอยู่อย่างรูปด้านบนทั้งหมดนี่แหละ
เซลฟี่โชว์หน้าสดคนตื่นเช้าหน่อย เสียดายลืมใช้โหมดหน้าเนียน 555
โชคดีมากที่เราเดินไปเจอคุณลุงคุณป้ากลุ่มใหญ่กลุ่มนึงเห็นเราให้ความสนใจเลยเรียกเราไปป้ายหน้าผากให้ ระหว่างคุณป้าป้ายสีให้ คุณลุงก็จะสวดไปตลอดเวลา เสร็จพิธีคุณลุงจะเอาใบไม้ใส่ในนั้นแล้วเอาช้อนเล็กๆตักให้เรากินทั้งน้ำและใบไม้นั้น เป็นอันเสร็จพิธี สรุปว่าเราไม่เจอมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบของการหลอกให้เสียเงินทำพิธี แต่ได้ความประทับใจดีๆกลับมาแทนจากลุงๆป้าๆกลุ่มนี้ซะงั้น
คุณป้าที่เรียกเราถ่ายรูปเรียกให้เราไปถ่ายคุณลุงสองคนที่กำลังทำป้ายสีกันอยู่ โดยเอาสีป้ายตัวแทบจะทั้งตัว ป้ายหน้า คอ หลังคอ ตามตัว โดยคุณลุงสองคนจะสลับกันสวดระหว่างที่อีกคนนึงแต้มสี
ครอบครัวอินเดีย ที่มาขอให้ถ่ายรูปให้ พอถามว่าอยากได้รูปไหม นางก็บอกว่าไม่เอา เอ๊า!!เอาที่สบายใจเลยจ้า
เอ้อ มีเรื่องน่ารักๆอีกเรื่องอยากเล่าให้ฟัง ด้วยความเป็นคนต่างถิ่นต่างเชื้อชาติ ไปเดินๆนี่แอบเกร็งๆเหมือนกันนะ แล้วมีคนลุงคนนึงถามขึ้นมากลางวงลุงป้าเลยว่า เป็นคนที่ไหน นับถือศาสนาอะไร ยอมรับว่าเอ๊ะถ้าเราบอกว่าพุทธ เขาจะหาว่าเราอยู่ผิดที่ผิดทาง ไปวุ่นวายในพื้นที่ของเขารึเปล่านะ แต่คุณลุงน่ารักมาก คุณลุงทำท่าดีใจแล้วพูดกันแต่ว่า Hindu Love Buddhism น่ารักดี
เดินรอบทะเลสาบรอบนึงจบแล้วก็ไปหาอะไรกินกันต่อ แน่นอนว่าขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ชาวฮินดูมาแสดงบุญกันที่นี่มีแต่อาหารมังสวิรัตให้กินนะจ๊ะ และสำหรับคนไม่กินผักอย่างเราถือว่าบันเทิงพอสมควร เปิดเมนูละก็ควานหาแต่แกงมันฝรั่ง กินหลายๆมื้อนี่แอบเอียนเหมือนกัน เพราะกินมังมาตั้งแต่ Jaipur นี่ก็เข้าวันที่ 3 แล้ว T T
เที่ยงตรงออกจากเมืองนี้เพื่อนั่งรถไฟจาก Ajmir ไป Jodhpur กันต่อ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง
ถือว่าเรามีเวลาที่นี่น้อยมาก ซึ่งจริงๆ Pushkar จะตัดออกจากแพลนไปเลยก็ได้ แต่ติดที่เราอยากมาสัมผัสความชิลของเมืองนี้ดู แล้วก็ไม่ผิดหวัง เรากับเพื่อนถึงกะพูดกันว่า ถ้ามีโอกาสอยากมาใหม่ มาอยู่หลายๆวัน ที่นี่มันเหมาะจะมานั่งทำงาน ใช้ชีวิตเรื่อยๆเปื่อยๆมากเลยล่ะ