สวัสดีค่ะ
ต่อจาก ความเดิมตอนที่แล้ว >> ฟินแลนด์ดินแดนมหัศจรรย์ ตอน: มีคนเคยถามว่า...ไปฟินแลนด์ แล้วถึงฟินแลนด์ มั๊ย?? (ดินแดน มูมิน+แสงเหนือ)
https://ppantip.com/topic/36896678
บอกเลยว่าชีวิตเด็กเทศ (ก็คือเด็กที่เรียนในต่างประเทศ ..ศัพท์ใหม่ๆ คิดเอง 55+) นั้น >> สวยหรู ดูแพง เล่อค่า และหน้าอิจฉา ... ตื่น ตื่น ตื่นๆๆๆๆ จาก "ความฝัน" เดี๋ยวนี้!!!!
อะแหม่ๆ .. ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ สายการบิน ฟินแอร์ กำลังนำทุกท่านเข้าสู่ "ความฝัน..ในชีวิตจริง" ของท่านแล้ว ..โปรดรัดเข็มขัดให้แน่นและตั้งสติของท่านให้มั่น ก่อนการเดินทางนะคะ 555+
ช่ายยยยย เลยยย .. ความอยากที่มีมาตั้งแต่ต้นนั้น หมดลงกับการเรียนตรงหน้าโดยฉับพลัน!! ... จำได้เลย ความรู้สึกวันแรกที่เข้าปฐมนิเทศกับเพื่อนๆชาวต่างชาติ หน้าอิฉันมีแต่ เครื่องหมาย เควสชั่นมาร์ค ?? .. อะไร ทำไม ทำไง ยังไง งง? นี่คือหลายๆคำที่คิดได้ ขณะนั่งฟังบรรยายจากอาจารย์ ถึงกฎระเบียบต่างๆ และวิถีชีวิตเบื่องต้นที่เด็กทุกคนจะต้องเผชิญ ..ขุ่นพระ!! อิฉันจับประเด็นอะไรไม่ค่อยได้เลย อะไรกันเนี่ยยยย จะพูดเร็วไปหนายยย กันค่ะ
.. สาระหลักๆ (ที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสาระดีมั๊ย) ที่ได้กลับหอไปนั้น ก็คือท่าทางการพูดของอาจารย์ทุกกกกกก คน ที่มาบรรยายตลอดการปฐมนิเทศทั้ง 4 วัน คือทุกท่านจะมีการบรรยาย ไปพร้อมๆกับท่าทางยกมือสองข้างขึ้นมา แล้วชูสองนิ้ว เหมือนทำท่าหูกระต่าย และทำมือดุ๊กดิ๊กไปมา ข้างๆ หูทั้งสองข้าง ตลอด ตลอด .. ฮากันปาย
เมื่อเริ่มต้นการเรียนในเทอมแรก ก็ใช้ชีวิตเหมือนการเรียนในเมืองไทย คือต้องลงทะเบียนเรียนเอง เลือกวิชาเอง จัดตารางเรียนเองว่าไม่ให้ลงวิชาที่มีตารางเรียนตรงกัน ถ้าวิชาไหนเต็มแต่อยากเรียนมากๆ ก็ต้องไปต่อรองกะอาจารย์ผู้สอน ซึ่งหน่วยกิตที่จะต้องลงทั้งหมดในเทอมนี้คือ 30 หน่วยกิต ช๊อกแพ๊พ!! .. บางวันนี่ตารางเรียนแน่นยิ่งกว่าดาราคิวทอง บอกเลย .. เรียน วนไปค่ะ ..บางทีคือต้องเรียนทั้งวัน ซึ่งทั้งวันในที่นี้หมายถึง ทั้งวันจิงๆ นะ คือ แม้แต่เวลาพักก็ไม่มี คาบเรียนมันจะต่อๆ กันไปเลย เราต้องจัดการตัวเอง โดยการเอาอาหารรองท้องไปกินตอนพักเบรคในชั่วโมง ประมาณ 5 นาที บ้าง หรือไม่ ถ้าไม่ทันก็น้ำเปล่าไปก่อนค่ะ ถ้าลืมเอาน้ำมาหรือหมด ก็โน้น น้ำในห้องน้ำค่ะ ประหยัดสุด และเป็นน้ำเปล่าจิงๆ เพราะส่วนใหญ่น้ำเปล่าที่วางขายจะเป็นน้ำเปล่าอัดแก๊ส มันจะซ่าๆ มีกลิ่นหลายกลิ่นให้เลือก แต่เรารู้สึกว่ากินแล้วมันไม่ให้ความรู้สึกเหมือนน้ำเปล่าเท่าไหร่ .. ก็น้ำในห้องน้ำนั่นแหละค่ะ เวิร์คสุด เพราะที่นี่เค้าสามารถดื่มน้ำจากก๊อกได้เลยทุกที ทำให้ประหยัดค่าน้ำเปล่าไปได้
ในแต่ละวันคือชีวิตมีสีสันมากกะความแปลกใหม่ที่คนอื่นทั่วไปคงไม่แปลก แต่สำหรับเราคือดี ดีในที่นี้คือ ตื่นเต้นดี ..เวลานั่งเรียน อาจารย์ที่สอนก็จะให้นักเรียนทุกคนแสดงความคิดเห็น (ตลอด) นี่แหละตื่นเต้นสุดๆ คือในหัวนี่แทบไม่ได้ฟังคำตอบเพื่อน คิดแต่คำตอบตัวเองว่าจะตอบไรแว้ พูดไปอาจารย์จะรู้เรื่องมั๊ย งี้ ..เพราะตอนอยู่เมืองไทยก็ไม่ใช่เด็กเรียนอะไร ที่จะมีความรู้แข่งกันยกมือตอบ เป็นเด็กหลังห้องแบบนั่งเงียบๆไปเท่านั้น แต่ก็นะ ผ่านมันมาได้ แบบกระท่อนกระแท่นสุดๆ วิชาที่เราชอบส่วนใหญ่จะเป็นวิชาที่มีการทำเลป คือจะสนุกมาก อาจารย์ที่นี่จะบอกทุกขั้นตอนไม่ว่าคุณจะมีพื้นฐานมามากหรือน้อย (เพราะนักเรียนหลายสัญชาติมาก) อาจารย์จะอธิบายให้เข้าใจหมด ทั้งหลักการ วิธีทำ หรือตัวอย่าง แม้แต่พื้นฐานการใช้อุปกรณ์ ที่แม้ว่าในคลาสที่เรียนจะเป็นนักเรียนที่ผ่านการเรียนปริญญาตรีมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น แต่คืออาจารย์เค้าให้ทุกอย่างที่เค้ามีกับนักเรียนแบบสุดๆ
และแน่นอนเมื่อเราเจอวิชาที่ชอบแล้ว วิชาที่ไม่ชอบก็ต้องตามมาติดๆ เป็นอะไรที่เครียดมาก เพราะไม่คุ้นเคยทั้งภาษาและวิชา จึงแบบกลัวว่าจะเรียนไม่ได้ เพราะจากการเข้าคลาสวันแรกนี่คือ โอ้โห เพื่อนๆเค้าเข้าใจกันหมดเลย ทำไมเราไม่เข้าใจ แถมมีรายงานอีกหลายเล่ม ตอนนั้นเครียดสุดๆ เครียดถึงขั้น ไม่อยากเรียน อยากกลับบ้าน (ซึ่งบ้านนี่อยากกลับเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็อยากกลับหนักไปอีก) จำได้ว่านั่งร้องไห้ทั้งคืน ตื่นมาก็มานั่งร้องไห้ต่อ คิดในใจว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่เนี่ยยย ตอนอยู่ไทยก็ อยากมาก อยากมา ขนาดพ่อ แม่ พี่ เตือนว่าจะไปอยู่ได้หรอ มันยากนะ ก็ยังบอกว่าได้ หนูอยากไปจิงๆ..แต่พอมาเจอแบบนี้ปุ๊บคือ ไม่น่ามาเล๊ยยย ร้องอยู่อย่างนั้น จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่เย็นย่ำ นั่นแหละถึงหยุดร้อง และคิดได้ ว่า นั่งไปก็เท่านั้น ยังไงก็ถอยไม่ได้.. อ่านหนังสือมั๊ย? 555+
หลายครั้งเวลานั่งทำการบ้านอยู่ที่หอ ก็จะมีเปิดเฟสบุ๊คบ้าง ก็จะเจอพวกข้อความที่ชอบแชร์ๆ กัน ประมาณ ประเทศฟินแลนด์ที่เค้ามีการศึกษาอันดับหนึ่งของโลก เด็กเค้าไม่เคยมีการบ้าน แต่ประเทศเรานี่ยังให้การบ้านอยู่ ... คือแบบ กรอกตาบน แล้วอยากจะตะโกนว่า..แล้วไอ้ที่ตูนั่งทำอยู่นี่เค้าเรียกอะไรแว้ๆๆๆ การบ้านท่วมหัว รายงานอาทิตย์หนึ่งไม่ต่ำกว่าสามเล่ม นี่ตูมาฟินแลนด์เสินเจิ้นมั๊ย ไหนว่าฟินแลนด์ไม่มีการบ้าน 55+
หลังจากการเรียนที่สนุกสนานผ่านไป ก็เข้าสู่ฤดูการสอบที่ปวดใจ นอกจากอ่านหนังสือแล้ว ต้องท่องศัพท์ด้วย อี้มม ชีวิตดี๊ดี (ยังคิดในใจทำไมฉันไม่ฉลาดกว่านี้นะ ..) แถมเทอมแรกนักเรียนทุกคนต้องเรียนวิชา ภาษาฟินเพื่อการเอาตัวรอดด้วย ท่องศัพท์กันเป็นนกแก้วนกขุนทอง 55+..แต่การสอบนี่บอกเลยว่าแพทเทินเดียวกะเมืองไทยคือ ไอ้ที่อ่านไม่ออก ไอ้ที่ออกจำไม่ได้ ... ประมาณให้คำถาม 4 ข้อ กระดาษคำตอบ 10 แผ่น แถมเอาเพิ่มได้ถ้าไม่พอ เงิบ!! ก็วาดรูปเพลินไปสิค่ะ 555+ แต่สิ่งที่แปลกใหม่คือ การเรียนที่นี่ ถ้าสอบรอบแรกไม่พอใจคะแนนตัวเอง เราสามารถสอบได้อีกหนึ่งรอบ โดยเค้าจะจัดให้สอบแบบนี้ในทุกๆวิชา คือใครจะสอบก็ได้ไม่สอบก็ได้ ประมาณว่าสอบซ่อมได้นั่นเอง แล้วก็เลือกคะแนนที่ดีที่สุดจากทั้งสองรอบได้ด้วย
ส่วนตัวเราคิดว่าระบบการศึกษาที่นี่ดีมาก อาจารย์ทุกคนจะเป็นสไตล์นี้หมด คือมีอะไรที่ฉันให้คุณได้ ฉันจะให้ ระบบการศึกษาที่นี่จะให้ทั้งคนในประเทศ และต่างประเทศที่เข้ามาเรียนที่นี่เรียนฟรี (เราไม่แน่ใจถึงกฏหมายที่แน่นอน แต่ตอนเราไปคือ ปริญญาโท และเอก ก็ยังเรียนฟรี) ซึ่งจากการคุยกับนักเรียนต่างชาติหลายคนที่มาที่นี่ก็มีส่วนที่เกิดจากเหตุผลนี้ เพราะไม่เสียค่าเทอมจึงมาเรียน แต่เงินที่เสียไปส่วนใหญ่จะไปอยู่กับค่าครองชีพ เพราะที่นี่ค่าครองชีพสูงมาก (ถ้าจะเรียนแบบจิงจังคงจะต้องคำนวณค่าใช้จ่ายกับค่าเรียนถัวเฉลี่ยกัน เพราะบางทีในประเทศอื่นถึงแม้จะเสียค่าเทอม แต่เมื่อเทียบรวมกับค่าครองชีพแล้ว ยังถูกกว่าการเสียค่าครองชีพอย่างเดียวในการมาเรียนฟินแลนด์)
ส่วนด้านการดำเนินชีวิตนั้น.. จากช่วงฤดูร้อน ที่มีฝนตกบ้าง ก็เข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ที่หน๊าววว หนาวว เป็นอาการที่เวลาพูดควันเริ่มออกจากปาก น้ำที่เกาะตามกระจก ผนัง กำแพงทั่วไปเริ่มจับตัวกันและก็แข็งเป็นเกล็ดๆ น้ำที่ขังตามท้องถนน ก็กลายเป็นน้ำแข็ง เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากกกก
และก็ตื่นเต้นหนักกว่าเดิมไปอีกกับการเริ่มต้นของการเจอหิมะครั้งแรกในชีวิต ..ในช่วงแรกๆ หิมะก็จะมาน้อยๆ คล้ายฝนพรำ แล้วก็ตกลงบนพื้นแล้วก็ละลายหายไป เป็นแบบนี้อยู่ประมาณอาทิตย์หนึ่งได้ บอกเลยว่าแอบชิมไปหลายรอบ 55+ จากนั้นไม่นาน มันก็จะเป็นหิมะที่หนาขึ้น ตกบ่อยขึ้น นานขึ้น จนพื้นถนนที่เดินเริ่มมีสีขาวของหิมะเต็มไปหมด เวลาตื่นเช้าขึ้นมา สิ่งแรกที่ทำบ่อยๆ คือการชะโงก หน้าไปดูที่หน้าต่าง ว่าวันนี้หิมะตกเยอะหรือยังนะ เมื่อไหร่มันจะตกแล้วกลายเป็นกองหิมะสูงๆ ซะที .. อยู่อย่างงี้ทุกวัน
อากาศในช่วงนี้ ก็จะเริ่มติดลบ -1 หรือ -2 ต่างกันไป แต่ช่วงเวลาให้ตืนเต้นและเดินชื่นชมกับบรรยากาศสีขาวที่มีหิมะปกคลุมอยู่รอบๆตัว มีไม่นานนัก เพราะมันหนาวมาก ชีวิตก็ต้องเข้าสู่วิถีของการหาซื้อเสื้อกันหนาวใหม่ที่หนากว่าเดิม ต้องซื้อรองเท้าบูธ ถุงมือหนัง ผ้าพันคอ ลองจอน เพิ่ม (คือที่เอาไปนี่ใส่ได้แต่ต้องเอามาใส่รวมๆกัน คือวันๆเวลาออกไปไหน นี่สวมเสื้อผ้าไม่ต่ำกว่าสี่ห้าชั้น เดินตัวกลมเป็นเทเลท๊อปบี้กันไปเลย 555+) เพราะอากาศเริ่มติดลบมากขึ้นเรื่อยๆ จาก -1 ก็วิวัฒนาการเป็นติดลบมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีอยู่คืนนึ่ง ต้องตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะมันหนาวมากก และพบว่าอากาศก็เข้าสู่ -27 องศา ไปแล้วจร้า ที่สุดของความยะเยือกอ่ะ ..แต่จากสถิติสูงสุดที่วัดได้นั้น ถึง -32 องศา บางคนบอกว่า บางวันวัดได้ -40 กันเลย คือชิวิตจะหนาวอะไรขนาดนี้ๆๆๆ เวลายืนรอรถนี่ทั้งหน้า ทั้งเท้าชาไปเลย ขนาดถุงเท้า สามคู่แล้ว รองเท้าก็มีขนนุ่มๆ ยังแทบไม่อยู่
นอกจากจะต้องเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตแล้ว ก็ต้องปรับเวลาใหม่ด้วย เพราะพอเข้าสู่ฤดูหนาว เวลาก็จะเร็วขึ้น ..เหมือนถ้าเวลาปกติฟินแลนด์จะช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง แต่พอเข้าสู่ฤดูหนาวเวลาก็จะช้ากว่าเมืองไทย 4 ชั่วโมง ..เช้าวันแรกที่เวลาเปลี่ยนนี่ งง เลย อ้าวทำไมเวลาในโทรศัพท์ กับนาฬิกาข้อมือไม่ตรงกันฟ่ะ ดีนะตื่นเช้า ไปเรียนทัน 555+
และอีกหนึ่งอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากความขาวของหิมะที่ปกคลุมโดยรอบ และช่วงเวลาที่ปรับเปลี่ยนแล้วนั้น ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่กล่าวขานกัน ก็กลายเป็นดินแดนมืดดดดด สนิท เกือบตลอดท้างงงวัน ในระยะเวลาหนึ่งวันของตอนกลางวัน พระอาทิตย์จะโผล่มาในเวลาประมาณ 10 โมงเช้า และจะลาลับ ไปในเวลาประมาณ บ่ายสอง และนั่นคือที่มาของภาพ Welcome to finland ..555+ ของเพื่อนๆในชั้นเรียน
คือตอนเช้าเรามีเรียน 7 โมง ออกจากหอ ท้องฟ้าก็มืดสนิท ต้องเดินออกมาพร้อมไฟฉาย เพื่อเดินไปรอรถบัส พอตอนเย็น หลังเลิกเรียน 4-5 โมงเย็นเดินออกมาจากมหาลัย พระอาทิตย์ก็กลับไปแล้ว เหลือแต่ความมืดกับหิมะเม็ดเล็กๆ ที่ตกตลอดทั้งวัน กับลมหนาวที่พัดมาทีแถบอยากจะวิ่งกลับเข้าไปในมหาลัยใหม่
และถ้าวันไหนกลับจาก มหาลัยแล้วต้องแวะซื้อของนี่จะทุกลักทุกเลมาก ของก็หนัก พื้นก็ลื่น (เพราะถ้าอากาศติดลบมากๆ พื้นจะกลายเป็นน้ำแข็งไปเลย ยังกะอยู่บนลานสเก๊ต ..เดินๆ ไปลื่นก็มี มีบางวันเคยตื่นสาย ไปแถบไม่ทันรถบัส เห็นแสงรถแบบลำไลๆ ก็รีบ วิ่งตาม แล้วล้มกลิ้งไปเลยก็มี) แต่ยังไม่หนักเท่าถ้าลืมซื้ออะไรสักอย่างแล้วมันจำเป็นที่ต้องใช้จิงๆ จะเซ็งตัวเองมาก เพราะกว่าจะถอดชุดเสร็จ พอลืมซื้อของ ก็ต้องใส่ชุดกลับเข้าไปใหม่ ประมาณว่า ใส่ชุดสิบนาที เพื่อวิ่งไปซื้อของ แค่สองสามนาที แล้วก็กลับมาถอดชุดอีก ..เพลียกันไปเลย
บอกเลยว่า นับถือคนที่นี่มาก ที่เค้าสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ เพราะต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงในทุกๆฤดูตลอดทั้งปี เพราะถ้าเป็นบ้านเรา ถึงจะมีช่วงหน้าหนาวที่สว่างช้า มืดเร็วบ้าง แต่ความสว่างหรือช่วงเวลาก็ยังเสถียร์ และเอื้อต่อการดำเนินชีวิต ที่พอสว่างก็คือช่วงเวลาเช้า พอความมืดมาเยือนก็เข้าสู่ช่วงเวลาเย็นพอดี .. ผิดกับที่นี่ ที่ไม่สามารถเงยหน้าดูเวลาจากพระอาทิตย์ได้เลย ว่าตอนนี้พระอาทิตย์อยู่ตรงจุดนี้เป็นช่วงเวลากี่โมงแล้วนะ
[CR] ฟินแลนด์ดินแดนมหัศจรรย์ ตอน: ชีวิตเรียบง่าย ที่ไม่ง่าย กับการเรียนในดินแดนหิมะ
ต่อจาก ความเดิมตอนที่แล้ว >> ฟินแลนด์ดินแดนมหัศจรรย์ ตอน: มีคนเคยถามว่า...ไปฟินแลนด์ แล้วถึงฟินแลนด์ มั๊ย?? (ดินแดน มูมิน+แสงเหนือ)
https://ppantip.com/topic/36896678
บอกเลยว่าชีวิตเด็กเทศ (ก็คือเด็กที่เรียนในต่างประเทศ ..ศัพท์ใหม่ๆ คิดเอง 55+) นั้น >> สวยหรู ดูแพง เล่อค่า และหน้าอิจฉา ... ตื่น ตื่น ตื่นๆๆๆๆ จาก "ความฝัน" เดี๋ยวนี้!!!!
อะแหม่ๆ .. ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ สายการบิน ฟินแอร์ กำลังนำทุกท่านเข้าสู่ "ความฝัน..ในชีวิตจริง" ของท่านแล้ว ..โปรดรัดเข็มขัดให้แน่นและตั้งสติของท่านให้มั่น ก่อนการเดินทางนะคะ 555+
ช่ายยยยย เลยยย .. ความอยากที่มีมาตั้งแต่ต้นนั้น หมดลงกับการเรียนตรงหน้าโดยฉับพลัน!! ... จำได้เลย ความรู้สึกวันแรกที่เข้าปฐมนิเทศกับเพื่อนๆชาวต่างชาติ หน้าอิฉันมีแต่ เครื่องหมาย เควสชั่นมาร์ค ?? .. อะไร ทำไม ทำไง ยังไง งง? นี่คือหลายๆคำที่คิดได้ ขณะนั่งฟังบรรยายจากอาจารย์ ถึงกฎระเบียบต่างๆ และวิถีชีวิตเบื่องต้นที่เด็กทุกคนจะต้องเผชิญ ..ขุ่นพระ!! อิฉันจับประเด็นอะไรไม่ค่อยได้เลย อะไรกันเนี่ยยยย จะพูดเร็วไปหนายยย กันค่ะ
.. สาระหลักๆ (ที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสาระดีมั๊ย) ที่ได้กลับหอไปนั้น ก็คือท่าทางการพูดของอาจารย์ทุกกกกกก คน ที่มาบรรยายตลอดการปฐมนิเทศทั้ง 4 วัน คือทุกท่านจะมีการบรรยาย ไปพร้อมๆกับท่าทางยกมือสองข้างขึ้นมา แล้วชูสองนิ้ว เหมือนทำท่าหูกระต่าย และทำมือดุ๊กดิ๊กไปมา ข้างๆ หูทั้งสองข้าง ตลอด ตลอด .. ฮากันปาย
เมื่อเริ่มต้นการเรียนในเทอมแรก ก็ใช้ชีวิตเหมือนการเรียนในเมืองไทย คือต้องลงทะเบียนเรียนเอง เลือกวิชาเอง จัดตารางเรียนเองว่าไม่ให้ลงวิชาที่มีตารางเรียนตรงกัน ถ้าวิชาไหนเต็มแต่อยากเรียนมากๆ ก็ต้องไปต่อรองกะอาจารย์ผู้สอน ซึ่งหน่วยกิตที่จะต้องลงทั้งหมดในเทอมนี้คือ 30 หน่วยกิต ช๊อกแพ๊พ!! .. บางวันนี่ตารางเรียนแน่นยิ่งกว่าดาราคิวทอง บอกเลย .. เรียน วนไปค่ะ ..บางทีคือต้องเรียนทั้งวัน ซึ่งทั้งวันในที่นี้หมายถึง ทั้งวันจิงๆ นะ คือ แม้แต่เวลาพักก็ไม่มี คาบเรียนมันจะต่อๆ กันไปเลย เราต้องจัดการตัวเอง โดยการเอาอาหารรองท้องไปกินตอนพักเบรคในชั่วโมง ประมาณ 5 นาที บ้าง หรือไม่ ถ้าไม่ทันก็น้ำเปล่าไปก่อนค่ะ ถ้าลืมเอาน้ำมาหรือหมด ก็โน้น น้ำในห้องน้ำค่ะ ประหยัดสุด และเป็นน้ำเปล่าจิงๆ เพราะส่วนใหญ่น้ำเปล่าที่วางขายจะเป็นน้ำเปล่าอัดแก๊ส มันจะซ่าๆ มีกลิ่นหลายกลิ่นให้เลือก แต่เรารู้สึกว่ากินแล้วมันไม่ให้ความรู้สึกเหมือนน้ำเปล่าเท่าไหร่ .. ก็น้ำในห้องน้ำนั่นแหละค่ะ เวิร์คสุด เพราะที่นี่เค้าสามารถดื่มน้ำจากก๊อกได้เลยทุกที ทำให้ประหยัดค่าน้ำเปล่าไปได้
ในแต่ละวันคือชีวิตมีสีสันมากกะความแปลกใหม่ที่คนอื่นทั่วไปคงไม่แปลก แต่สำหรับเราคือดี ดีในที่นี้คือ ตื่นเต้นดี ..เวลานั่งเรียน อาจารย์ที่สอนก็จะให้นักเรียนทุกคนแสดงความคิดเห็น (ตลอด) นี่แหละตื่นเต้นสุดๆ คือในหัวนี่แทบไม่ได้ฟังคำตอบเพื่อน คิดแต่คำตอบตัวเองว่าจะตอบไรแว้ พูดไปอาจารย์จะรู้เรื่องมั๊ย งี้ ..เพราะตอนอยู่เมืองไทยก็ไม่ใช่เด็กเรียนอะไร ที่จะมีความรู้แข่งกันยกมือตอบ เป็นเด็กหลังห้องแบบนั่งเงียบๆไปเท่านั้น แต่ก็นะ ผ่านมันมาได้ แบบกระท่อนกระแท่นสุดๆ วิชาที่เราชอบส่วนใหญ่จะเป็นวิชาที่มีการทำเลป คือจะสนุกมาก อาจารย์ที่นี่จะบอกทุกขั้นตอนไม่ว่าคุณจะมีพื้นฐานมามากหรือน้อย (เพราะนักเรียนหลายสัญชาติมาก) อาจารย์จะอธิบายให้เข้าใจหมด ทั้งหลักการ วิธีทำ หรือตัวอย่าง แม้แต่พื้นฐานการใช้อุปกรณ์ ที่แม้ว่าในคลาสที่เรียนจะเป็นนักเรียนที่ผ่านการเรียนปริญญาตรีมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น แต่คืออาจารย์เค้าให้ทุกอย่างที่เค้ามีกับนักเรียนแบบสุดๆ
และแน่นอนเมื่อเราเจอวิชาที่ชอบแล้ว วิชาที่ไม่ชอบก็ต้องตามมาติดๆ เป็นอะไรที่เครียดมาก เพราะไม่คุ้นเคยทั้งภาษาและวิชา จึงแบบกลัวว่าจะเรียนไม่ได้ เพราะจากการเข้าคลาสวันแรกนี่คือ โอ้โห เพื่อนๆเค้าเข้าใจกันหมดเลย ทำไมเราไม่เข้าใจ แถมมีรายงานอีกหลายเล่ม ตอนนั้นเครียดสุดๆ เครียดถึงขั้น ไม่อยากเรียน อยากกลับบ้าน (ซึ่งบ้านนี่อยากกลับเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็อยากกลับหนักไปอีก) จำได้ว่านั่งร้องไห้ทั้งคืน ตื่นมาก็มานั่งร้องไห้ต่อ คิดในใจว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่เนี่ยยย ตอนอยู่ไทยก็ อยากมาก อยากมา ขนาดพ่อ แม่ พี่ เตือนว่าจะไปอยู่ได้หรอ มันยากนะ ก็ยังบอกว่าได้ หนูอยากไปจิงๆ..แต่พอมาเจอแบบนี้ปุ๊บคือ ไม่น่ามาเล๊ยยย ร้องอยู่อย่างนั้น จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่เย็นย่ำ นั่นแหละถึงหยุดร้อง และคิดได้ ว่า นั่งไปก็เท่านั้น ยังไงก็ถอยไม่ได้.. อ่านหนังสือมั๊ย? 555+
หลายครั้งเวลานั่งทำการบ้านอยู่ที่หอ ก็จะมีเปิดเฟสบุ๊คบ้าง ก็จะเจอพวกข้อความที่ชอบแชร์ๆ กัน ประมาณ ประเทศฟินแลนด์ที่เค้ามีการศึกษาอันดับหนึ่งของโลก เด็กเค้าไม่เคยมีการบ้าน แต่ประเทศเรานี่ยังให้การบ้านอยู่ ... คือแบบ กรอกตาบน แล้วอยากจะตะโกนว่า..แล้วไอ้ที่ตูนั่งทำอยู่นี่เค้าเรียกอะไรแว้ๆๆๆ การบ้านท่วมหัว รายงานอาทิตย์หนึ่งไม่ต่ำกว่าสามเล่ม นี่ตูมาฟินแลนด์เสินเจิ้นมั๊ย ไหนว่าฟินแลนด์ไม่มีการบ้าน 55+
หลังจากการเรียนที่สนุกสนานผ่านไป ก็เข้าสู่ฤดูการสอบที่ปวดใจ นอกจากอ่านหนังสือแล้ว ต้องท่องศัพท์ด้วย อี้มม ชีวิตดี๊ดี (ยังคิดในใจทำไมฉันไม่ฉลาดกว่านี้นะ ..) แถมเทอมแรกนักเรียนทุกคนต้องเรียนวิชา ภาษาฟินเพื่อการเอาตัวรอดด้วย ท่องศัพท์กันเป็นนกแก้วนกขุนทอง 55+..แต่การสอบนี่บอกเลยว่าแพทเทินเดียวกะเมืองไทยคือ ไอ้ที่อ่านไม่ออก ไอ้ที่ออกจำไม่ได้ ... ประมาณให้คำถาม 4 ข้อ กระดาษคำตอบ 10 แผ่น แถมเอาเพิ่มได้ถ้าไม่พอ เงิบ!! ก็วาดรูปเพลินไปสิค่ะ 555+ แต่สิ่งที่แปลกใหม่คือ การเรียนที่นี่ ถ้าสอบรอบแรกไม่พอใจคะแนนตัวเอง เราสามารถสอบได้อีกหนึ่งรอบ โดยเค้าจะจัดให้สอบแบบนี้ในทุกๆวิชา คือใครจะสอบก็ได้ไม่สอบก็ได้ ประมาณว่าสอบซ่อมได้นั่นเอง แล้วก็เลือกคะแนนที่ดีที่สุดจากทั้งสองรอบได้ด้วย
ส่วนตัวเราคิดว่าระบบการศึกษาที่นี่ดีมาก อาจารย์ทุกคนจะเป็นสไตล์นี้หมด คือมีอะไรที่ฉันให้คุณได้ ฉันจะให้ ระบบการศึกษาที่นี่จะให้ทั้งคนในประเทศ และต่างประเทศที่เข้ามาเรียนที่นี่เรียนฟรี (เราไม่แน่ใจถึงกฏหมายที่แน่นอน แต่ตอนเราไปคือ ปริญญาโท และเอก ก็ยังเรียนฟรี) ซึ่งจากการคุยกับนักเรียนต่างชาติหลายคนที่มาที่นี่ก็มีส่วนที่เกิดจากเหตุผลนี้ เพราะไม่เสียค่าเทอมจึงมาเรียน แต่เงินที่เสียไปส่วนใหญ่จะไปอยู่กับค่าครองชีพ เพราะที่นี่ค่าครองชีพสูงมาก (ถ้าจะเรียนแบบจิงจังคงจะต้องคำนวณค่าใช้จ่ายกับค่าเรียนถัวเฉลี่ยกัน เพราะบางทีในประเทศอื่นถึงแม้จะเสียค่าเทอม แต่เมื่อเทียบรวมกับค่าครองชีพแล้ว ยังถูกกว่าการเสียค่าครองชีพอย่างเดียวในการมาเรียนฟินแลนด์)
ส่วนด้านการดำเนินชีวิตนั้น.. จากช่วงฤดูร้อน ที่มีฝนตกบ้าง ก็เข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ที่หน๊าววว หนาวว เป็นอาการที่เวลาพูดควันเริ่มออกจากปาก น้ำที่เกาะตามกระจก ผนัง กำแพงทั่วไปเริ่มจับตัวกันและก็แข็งเป็นเกล็ดๆ น้ำที่ขังตามท้องถนน ก็กลายเป็นน้ำแข็ง เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากกกก
และก็ตื่นเต้นหนักกว่าเดิมไปอีกกับการเริ่มต้นของการเจอหิมะครั้งแรกในชีวิต ..ในช่วงแรกๆ หิมะก็จะมาน้อยๆ คล้ายฝนพรำ แล้วก็ตกลงบนพื้นแล้วก็ละลายหายไป เป็นแบบนี้อยู่ประมาณอาทิตย์หนึ่งได้ บอกเลยว่าแอบชิมไปหลายรอบ 55+ จากนั้นไม่นาน มันก็จะเป็นหิมะที่หนาขึ้น ตกบ่อยขึ้น นานขึ้น จนพื้นถนนที่เดินเริ่มมีสีขาวของหิมะเต็มไปหมด เวลาตื่นเช้าขึ้นมา สิ่งแรกที่ทำบ่อยๆ คือการชะโงก หน้าไปดูที่หน้าต่าง ว่าวันนี้หิมะตกเยอะหรือยังนะ เมื่อไหร่มันจะตกแล้วกลายเป็นกองหิมะสูงๆ ซะที .. อยู่อย่างงี้ทุกวัน
อากาศในช่วงนี้ ก็จะเริ่มติดลบ -1 หรือ -2 ต่างกันไป แต่ช่วงเวลาให้ตืนเต้นและเดินชื่นชมกับบรรยากาศสีขาวที่มีหิมะปกคลุมอยู่รอบๆตัว มีไม่นานนัก เพราะมันหนาวมาก ชีวิตก็ต้องเข้าสู่วิถีของการหาซื้อเสื้อกันหนาวใหม่ที่หนากว่าเดิม ต้องซื้อรองเท้าบูธ ถุงมือหนัง ผ้าพันคอ ลองจอน เพิ่ม (คือที่เอาไปนี่ใส่ได้แต่ต้องเอามาใส่รวมๆกัน คือวันๆเวลาออกไปไหน นี่สวมเสื้อผ้าไม่ต่ำกว่าสี่ห้าชั้น เดินตัวกลมเป็นเทเลท๊อปบี้กันไปเลย 555+) เพราะอากาศเริ่มติดลบมากขึ้นเรื่อยๆ จาก -1 ก็วิวัฒนาการเป็นติดลบมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีอยู่คืนนึ่ง ต้องตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะมันหนาวมากก และพบว่าอากาศก็เข้าสู่ -27 องศา ไปแล้วจร้า ที่สุดของความยะเยือกอ่ะ ..แต่จากสถิติสูงสุดที่วัดได้นั้น ถึง -32 องศา บางคนบอกว่า บางวันวัดได้ -40 กันเลย คือชิวิตจะหนาวอะไรขนาดนี้ๆๆๆ เวลายืนรอรถนี่ทั้งหน้า ทั้งเท้าชาไปเลย ขนาดถุงเท้า สามคู่แล้ว รองเท้าก็มีขนนุ่มๆ ยังแทบไม่อยู่
นอกจากจะต้องเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตแล้ว ก็ต้องปรับเวลาใหม่ด้วย เพราะพอเข้าสู่ฤดูหนาว เวลาก็จะเร็วขึ้น ..เหมือนถ้าเวลาปกติฟินแลนด์จะช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง แต่พอเข้าสู่ฤดูหนาวเวลาก็จะช้ากว่าเมืองไทย 4 ชั่วโมง ..เช้าวันแรกที่เวลาเปลี่ยนนี่ งง เลย อ้าวทำไมเวลาในโทรศัพท์ กับนาฬิกาข้อมือไม่ตรงกันฟ่ะ ดีนะตื่นเช้า ไปเรียนทัน 555+
และอีกหนึ่งอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากความขาวของหิมะที่ปกคลุมโดยรอบ และช่วงเวลาที่ปรับเปลี่ยนแล้วนั้น ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่กล่าวขานกัน ก็กลายเป็นดินแดนมืดดดดด สนิท เกือบตลอดท้างงงวัน ในระยะเวลาหนึ่งวันของตอนกลางวัน พระอาทิตย์จะโผล่มาในเวลาประมาณ 10 โมงเช้า และจะลาลับ ไปในเวลาประมาณ บ่ายสอง และนั่นคือที่มาของภาพ Welcome to finland ..555+ ของเพื่อนๆในชั้นเรียน
คือตอนเช้าเรามีเรียน 7 โมง ออกจากหอ ท้องฟ้าก็มืดสนิท ต้องเดินออกมาพร้อมไฟฉาย เพื่อเดินไปรอรถบัส พอตอนเย็น หลังเลิกเรียน 4-5 โมงเย็นเดินออกมาจากมหาลัย พระอาทิตย์ก็กลับไปแล้ว เหลือแต่ความมืดกับหิมะเม็ดเล็กๆ ที่ตกตลอดทั้งวัน กับลมหนาวที่พัดมาทีแถบอยากจะวิ่งกลับเข้าไปในมหาลัยใหม่
และถ้าวันไหนกลับจาก มหาลัยแล้วต้องแวะซื้อของนี่จะทุกลักทุกเลมาก ของก็หนัก พื้นก็ลื่น (เพราะถ้าอากาศติดลบมากๆ พื้นจะกลายเป็นน้ำแข็งไปเลย ยังกะอยู่บนลานสเก๊ต ..เดินๆ ไปลื่นก็มี มีบางวันเคยตื่นสาย ไปแถบไม่ทันรถบัส เห็นแสงรถแบบลำไลๆ ก็รีบ วิ่งตาม แล้วล้มกลิ้งไปเลยก็มี) แต่ยังไม่หนักเท่าถ้าลืมซื้ออะไรสักอย่างแล้วมันจำเป็นที่ต้องใช้จิงๆ จะเซ็งตัวเองมาก เพราะกว่าจะถอดชุดเสร็จ พอลืมซื้อของ ก็ต้องใส่ชุดกลับเข้าไปใหม่ ประมาณว่า ใส่ชุดสิบนาที เพื่อวิ่งไปซื้อของ แค่สองสามนาที แล้วก็กลับมาถอดชุดอีก ..เพลียกันไปเลย
บอกเลยว่า นับถือคนที่นี่มาก ที่เค้าสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ เพราะต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงในทุกๆฤดูตลอดทั้งปี เพราะถ้าเป็นบ้านเรา ถึงจะมีช่วงหน้าหนาวที่สว่างช้า มืดเร็วบ้าง แต่ความสว่างหรือช่วงเวลาก็ยังเสถียร์ และเอื้อต่อการดำเนินชีวิต ที่พอสว่างก็คือช่วงเวลาเช้า พอความมืดมาเยือนก็เข้าสู่ช่วงเวลาเย็นพอดี .. ผิดกับที่นี่ ที่ไม่สามารถเงยหน้าดูเวลาจากพระอาทิตย์ได้เลย ว่าตอนนี้พระอาทิตย์อยู่ตรงจุดนี้เป็นช่วงเวลากี่โมงแล้วนะ