ปกติทุกคนอาจจะเคยได้ฟังเคสสนุกๆ หรือป่วงๆ จาก HR มาบ้างแล้ว
วันนี้เราเองขอสะท้อนในมุมมองของคนโดนสัมภาษณ์งานมาค่อนข้างเยอะบ้างนะคะ
ตั้งแต่จบใหม่เมื่อ 8 ปีที่แล้ว เปลี่ยนงานมาค่อนข้างบ่อยคือประมาณ 5 งานได้
สัมภาษณ์มาค่อนข้างเยอะ จริงๆ ไม่ได้นับนะคะ เพียงแต่กะดูคร่าวๆ ก็เกือบ 50 บริษัทได้ค่ะ
แม้ตัวเองจะไม่ทำวิจัยเป็นเปเปอร์ ดังนั้นนี่ไม่ใช่การเหมารวม เป็นเพียงแค่การแชร์ประสบการณ์ที่ผ่านมา
ให้รุ่นน้องๆ ได้เตรียมรับมือเท่านั้นค่ะ
1.HR ควรอ่านจับใจความเรซูเม่ ก่อนเรียกสัมภาษณ์
อันนี้เจอมาบ่อยที่สุดค่ะ ในเรซูเม่เราออกแบบเป็นอินโฟหน้าเดียว ดูค่อนข้างเข้าใจง่าย มีสัญลักษณ์ที่ใช้กันปกติ เช่น อีเมล์ เบอร์โทร เฟส
ประสบการณ์ที่ผ่านมา เงินเดือนที่เคยได้รับ เงินเดือนปัจจุบัน และเงินเดือนที่คาดว่าจะได้รับ โดยปกติแล้วเราจะสมัครงานทางอีเมล์โดยการส่งไฟล์ CV
หรือสมัครผ่านเว็บรีครูททั้งหลาย ซึ่งนอกจากจะมีแพลตฟอร์มของเขาเองแล้ว เรายังแนบเรซูเม่แบบของเราไปอีกด้วย
ประสบการณ์แย่ๆ ที่เราเจอมาคือ โทรมานัดสัมภาษณ์เรา พอเราไปสัมจริง ดันมาบอกว่าคุณสมบัติและประสบการณ์เราไม่ตรงนะ คงไม่ได้งาน
หือ คืออะไรคะ สัมไม่ถึง 5 นาทีค่ะ มานั่งบอกเราว่า เราไม่มีประสบการณ์ในสายงานนี้ แถมเรียกเงินเดือนสูงไป ทั้งที่เราส่งเรซูเม่ให้ตั้งแต่เเรกแล้ว คืออะไร๊
บริษัทที่รับมือกับเรื่องนี้ได้คือ เจอแค่บริษัทเดียวค่ะ คือ รร นานาชาติแห่งหนึ่ง เจ้าของคนเมกันมาคุยกับเราเอง
ขอโทษเราที่ทำให้เสียเวลา และตำหนิ HR ตรงนั้น แถมยังบอกอีกว่าถ้ามีตำแหน่งอื่นที่ตรงกับสายงานจะโทรมาหาเราก่อน และขอเก็บ CV เราไว้
2.HR ขี้วิจารณ์
เคยไหมคะกับการสัมภาษณ์งาน ที่เหมือนกับว่าเราไปนั่งให้เขาติทุกอย่าง ตั้งแต่หน้าตา เสื้อผ้าหน้าผม โปรไฟล์ และสถาบัน
เราเคยเจออยู่ 3-4 ที่ ที่ๆ แรก เห็นบริษัทข้ามชาติเป็นที่ปริกษาด้านกฎหมายที่มี HR ทุกคนเป็นคนไทยค่ะ
ตอนสัมภาษณ์ HR ทั้ง 4 คน จะมานั่งสัมภาษณ์เราคนเดียวตั้งแต่ก้าวเข้าไปในห้องสัม สิ่งแรกที่ HR ทำคือ
วิจารณ์การแต่งหน้าและเสื้อผ้าเราว่า เชย และบอกโปรไฟล์พนักงานหญิงที่ทำงานในบริษัท
ราวกับว่าเป็นบริษัทนิตยสารแฟชั่นชื่อดัง (มันใช่เหรอ) ทั้งที่บริษัทนี้น่าจะต้องการความเชื่อถือได้มากกว่า
จากนั้นไม่พอ นางวิจารณ์สถาบันที่เราจบมาและเกรดเฉลี่ย แถมยังดูถูกความสามารถเรากับเงินเดือนที่เคยได้รับ
ว่าโปรไฟล์อย่างเรา จบอย่างเรา รูปร่างหน้าตาอย่างเรา ไม่น่าจะเคยได้เงินเดือนเท่านี้มาก่อน เพราะไม่มีด้านไหนที่เด่นเลย
ซึ่งตอนนี้กลับมานั่งคิดนะคะ ว่าตอนนั้นเรานั่งฟังไปได้ยังไง แถมยิ้มแหะๆ อาจจะเพราะเรายังใหม่ๆ อยู่ ไม่กล้าสู้รบปรบมือมากละมั้ง
แต่เชื่อไหมว่า ไม่นานนักหลังจากที่ได้งานใหม่ บริษัทนี้เข้ามาประมูลงานกับบริษัทที่เราจำอยู่ ทันทีที่ทุกบริษัทเข้ามาครบ
เราบอกปฏิเสธบริษัทนี้ไปทันที ด้วยเหตุผลเพราะการสัมภาษณ์งานในครั้งนั้นค่ะ ฝ่ายขายของบริษัทนั้นถึงกับหน้าเจื่อนไปทันที
อันนี้เรารู้ตัวด้วยนะว่าทำไม่ถูก แต่ ณ ตอนนั้นรู้ตัวเองเลยว่า อารมณ์ล้วนๆ เลย
แต่ตอนนั้นเราให้เหตุผลที่ว่า พนักงานทุกคนในบริษัทเปรียบเสมือนหน้าตาของบริษัท
การสัมภาษณ์งานก็ไม่ต่างจากการพรีเซนต์บริษัทเลย แม้คุณจะไม่รับผู้สัมภาษณ์เข้างาน
แต่คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่า เขาจะไม่กลับมาเป็นคู่ค้าคุณอีก หรือคุณจะกลายเป็นลูกค้าของเขาอีก
และถ้าบริษัทเราร่วมงานกับบริษัทคุณ จะมั่นใจได้ยังไง ว่าพนักงานคุณจะไม่ทำชื่อเสียงของบริษัทเราเสื่อมเสียไปด้วย ทั้งที่มันมีประวัติมาก่อน
3.HR จอมต่อรอง
อย่างที่บอกไปข้างต้น ว่าเราเขียน CV ตัวเองได้ละเอียด แต่มีเป้าหมายชัดเจนค่ะ แต่ก็เคยเจอ HR ที่ไม่ชัดเจนเช่นกัน
โทรมาหาเราเพื่อนัดเราไปสัม ในตำแหน่งหนึ่ง แต่พอหน้างานจริงบอกว่าเราเหมาะกับอีกตำแหน่งมากกว่า ตอนนั้นเราไม่ได้ว่าอะไร
เลยถามถึงลักษณะงาน และเงินเดือน ฟัง JD โอเค เราอาจจะเหมาะกว่าจริง แต่เงินเดือนลดลงไปกว่า 50% ซึ่งเราไม่โอ
แถมต้องทำงานวันเสาร์ ซึ่งเราไม่สะดวก ทำไม่ได้อยู่แล้ว พอนางต่อรองไม่ได้ ก็เริ่มมีอารมณ์ และบลัฟต่างๆ นาๆ
ว่าถ้าเราจะเล่นตัว จะเลือกงานขนาดนี้ ยังไงๆ เมเนเจอร์ก็คงไม่เลือกเราเข้าทำงาน แทนที่มีงานอะไรที่ได้ก็ทำไปก่อน
เนื่องจาก ณ ตอนนั้นคือการเปลี่ยนงานค่ะ ไม่ใช่ตกงานแล้วหางาน มันจึงทำให้เรามีทางเลือกจึงตอบปฏิเสธไป
แต่ HR นางยังไม่หยุดตื้อ ไม่แน่ใจว่าเคยขายตรงมาก่อนรึเปล่า นางยังตื้ออยู่อีกนาน จนทำให้เราบอกนางว่า
เมื่อหักลบรายจ่ายที่เราต้องจ่ายทุกเดือนแล้ว เงินเดือนที่นางเสนอมามันไม่พอที่จะทำให้เราไม่เป็นหนี้
นางก็เลยบ่นๆ จนเราต้องขอตัวกลับ และลาขาดกับบริษัทนี้ไปค่ะ
4.HR แสนรู้
บริษัทต่างชาติอีกหนึ่งที่ ซึ่งบริษัทนี้เราได้สัมกับ CEO เลย ยังไม่ทันที่เราจะได้แนะนำตัวอะไร
เขาเริ่มวิจารณ์ทันทีค่ะ ถึงเงินเดือนที่เราได้รับ หน้าที่ที่เราสมัคร ตำแหน่งที่เราเคยทำมา
โดยเขาวิจารณ์ในมุมที่ว่า ตำแหน่งนี้ในบริษัทเขาไม่ได้ทำแบบที่เราเคยทำนะ
แล้วก็ร่ายยาวต่อไปอีกว่าตำแหน่งที่เราเคยทำมา ในบริษัทเขาต้องทำอะไรบ้าง โดยที่เราไม่ได้สมัครตำแหน่งนั้นไง
ต่อมาก็คือการอวยบริษัทตัวเอง และอวยตำแหน่งที่เราสมัครว่า ปกติคนที่จะทำตำแหน่งนี้ได้
ต้องจบจากสถาบันเมืองนอกชั้นนำนะ ต้องเกียรตินิยมนะ เราก็เถียงอยู่ในใจว่าแล้วจะเรียกเรามาทำไม
ใช้เวลาคุยไปประมาณ 2 ชั่วโมงได้ จนเราไม่ไหว ขอตัวกลับก่อน ถึงได้ที่นี่ ก็ไม่ทำค่ะ ตัดใจไปเลย เสียเวลา
5.HR จอมนินทา จอมยืดเวลา
ที่เจอส่วนใหญ่คือสาวๆ ค่ะ ไม่ได้ยินว่านินทาอะไร แต่มองมาที่เราแล้วซุบซิบ แล้วหัวเราะ มันเป็นมารยาทที่ไม่โอเคเอามากๆ ค่ะ
รวมถึงการที่ให้เรานั่งรอเป็นเวลาที่เกิน 2 ชั่วโมง เพราะเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เช่น ยังประชุมไม่เสร็จ (แต่คุณมีนัดกับเราชัดเจนไหม)
หรือ ยังไม่กลับมากจากพักเที่ยง มันใช่เหรอ
เนื่องจากตอนนี้ไม่ได้ง้อ HR หรือบริษัทใดๆ แล้ว เราจึงแฉได้เต็มที่ค่ะ ^^
มีรายได้จากหลายๆ ทาง ที่ค่อนข้างสูง ไม่ได้ง้องานประจำแล้ว ทำฟรีแลนซ์และรับงานที่ปรึกษา งานบริหารอีก
ที่สำคัญตอนนี้ เราจะเน้นการทำงานที่ไม่ต้องเดินทางมาก ทำที่ไหนก็ได้ ตอนนี้รายได้เราเฉียด 6 หลักกลาง ไปแล้วค่ะ
HR ท่านใดอยากมาแชร์เหตุผล ทำได้นะคะ
>>>จากใจ<<< มนุษย์เงินเดือนที่จบใหม่ (เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว) ถึง HR มือใหม่และมือเก๋า อย่าทำพลาดแบบนี้เลย
วันนี้เราเองขอสะท้อนในมุมมองของคนโดนสัมภาษณ์งานมาค่อนข้างเยอะบ้างนะคะ
ตั้งแต่จบใหม่เมื่อ 8 ปีที่แล้ว เปลี่ยนงานมาค่อนข้างบ่อยคือประมาณ 5 งานได้
สัมภาษณ์มาค่อนข้างเยอะ จริงๆ ไม่ได้นับนะคะ เพียงแต่กะดูคร่าวๆ ก็เกือบ 50 บริษัทได้ค่ะ
แม้ตัวเองจะไม่ทำวิจัยเป็นเปเปอร์ ดังนั้นนี่ไม่ใช่การเหมารวม เป็นเพียงแค่การแชร์ประสบการณ์ที่ผ่านมา
ให้รุ่นน้องๆ ได้เตรียมรับมือเท่านั้นค่ะ
1.HR ควรอ่านจับใจความเรซูเม่ ก่อนเรียกสัมภาษณ์
อันนี้เจอมาบ่อยที่สุดค่ะ ในเรซูเม่เราออกแบบเป็นอินโฟหน้าเดียว ดูค่อนข้างเข้าใจง่าย มีสัญลักษณ์ที่ใช้กันปกติ เช่น อีเมล์ เบอร์โทร เฟส
ประสบการณ์ที่ผ่านมา เงินเดือนที่เคยได้รับ เงินเดือนปัจจุบัน และเงินเดือนที่คาดว่าจะได้รับ โดยปกติแล้วเราจะสมัครงานทางอีเมล์โดยการส่งไฟล์ CV
หรือสมัครผ่านเว็บรีครูททั้งหลาย ซึ่งนอกจากจะมีแพลตฟอร์มของเขาเองแล้ว เรายังแนบเรซูเม่แบบของเราไปอีกด้วย
ประสบการณ์แย่ๆ ที่เราเจอมาคือ โทรมานัดสัมภาษณ์เรา พอเราไปสัมจริง ดันมาบอกว่าคุณสมบัติและประสบการณ์เราไม่ตรงนะ คงไม่ได้งาน
หือ คืออะไรคะ สัมไม่ถึง 5 นาทีค่ะ มานั่งบอกเราว่า เราไม่มีประสบการณ์ในสายงานนี้ แถมเรียกเงินเดือนสูงไป ทั้งที่เราส่งเรซูเม่ให้ตั้งแต่เเรกแล้ว คืออะไร๊
บริษัทที่รับมือกับเรื่องนี้ได้คือ เจอแค่บริษัทเดียวค่ะ คือ รร นานาชาติแห่งหนึ่ง เจ้าของคนเมกันมาคุยกับเราเอง
ขอโทษเราที่ทำให้เสียเวลา และตำหนิ HR ตรงนั้น แถมยังบอกอีกว่าถ้ามีตำแหน่งอื่นที่ตรงกับสายงานจะโทรมาหาเราก่อน และขอเก็บ CV เราไว้
2.HR ขี้วิจารณ์
เคยไหมคะกับการสัมภาษณ์งาน ที่เหมือนกับว่าเราไปนั่งให้เขาติทุกอย่าง ตั้งแต่หน้าตา เสื้อผ้าหน้าผม โปรไฟล์ และสถาบัน
เราเคยเจออยู่ 3-4 ที่ ที่ๆ แรก เห็นบริษัทข้ามชาติเป็นที่ปริกษาด้านกฎหมายที่มี HR ทุกคนเป็นคนไทยค่ะ
ตอนสัมภาษณ์ HR ทั้ง 4 คน จะมานั่งสัมภาษณ์เราคนเดียวตั้งแต่ก้าวเข้าไปในห้องสัม สิ่งแรกที่ HR ทำคือ
วิจารณ์การแต่งหน้าและเสื้อผ้าเราว่า เชย และบอกโปรไฟล์พนักงานหญิงที่ทำงานในบริษัท
ราวกับว่าเป็นบริษัทนิตยสารแฟชั่นชื่อดัง (มันใช่เหรอ) ทั้งที่บริษัทนี้น่าจะต้องการความเชื่อถือได้มากกว่า
จากนั้นไม่พอ นางวิจารณ์สถาบันที่เราจบมาและเกรดเฉลี่ย แถมยังดูถูกความสามารถเรากับเงินเดือนที่เคยได้รับ
ว่าโปรไฟล์อย่างเรา จบอย่างเรา รูปร่างหน้าตาอย่างเรา ไม่น่าจะเคยได้เงินเดือนเท่านี้มาก่อน เพราะไม่มีด้านไหนที่เด่นเลย
ซึ่งตอนนี้กลับมานั่งคิดนะคะ ว่าตอนนั้นเรานั่งฟังไปได้ยังไง แถมยิ้มแหะๆ อาจจะเพราะเรายังใหม่ๆ อยู่ ไม่กล้าสู้รบปรบมือมากละมั้ง
แต่เชื่อไหมว่า ไม่นานนักหลังจากที่ได้งานใหม่ บริษัทนี้เข้ามาประมูลงานกับบริษัทที่เราจำอยู่ ทันทีที่ทุกบริษัทเข้ามาครบ
เราบอกปฏิเสธบริษัทนี้ไปทันที ด้วยเหตุผลเพราะการสัมภาษณ์งานในครั้งนั้นค่ะ ฝ่ายขายของบริษัทนั้นถึงกับหน้าเจื่อนไปทันที
อันนี้เรารู้ตัวด้วยนะว่าทำไม่ถูก แต่ ณ ตอนนั้นรู้ตัวเองเลยว่า อารมณ์ล้วนๆ เลย
แต่ตอนนั้นเราให้เหตุผลที่ว่า พนักงานทุกคนในบริษัทเปรียบเสมือนหน้าตาของบริษัท
การสัมภาษณ์งานก็ไม่ต่างจากการพรีเซนต์บริษัทเลย แม้คุณจะไม่รับผู้สัมภาษณ์เข้างาน
แต่คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่า เขาจะไม่กลับมาเป็นคู่ค้าคุณอีก หรือคุณจะกลายเป็นลูกค้าของเขาอีก
และถ้าบริษัทเราร่วมงานกับบริษัทคุณ จะมั่นใจได้ยังไง ว่าพนักงานคุณจะไม่ทำชื่อเสียงของบริษัทเราเสื่อมเสียไปด้วย ทั้งที่มันมีประวัติมาก่อน
3.HR จอมต่อรอง
อย่างที่บอกไปข้างต้น ว่าเราเขียน CV ตัวเองได้ละเอียด แต่มีเป้าหมายชัดเจนค่ะ แต่ก็เคยเจอ HR ที่ไม่ชัดเจนเช่นกัน
โทรมาหาเราเพื่อนัดเราไปสัม ในตำแหน่งหนึ่ง แต่พอหน้างานจริงบอกว่าเราเหมาะกับอีกตำแหน่งมากกว่า ตอนนั้นเราไม่ได้ว่าอะไร
เลยถามถึงลักษณะงาน และเงินเดือน ฟัง JD โอเค เราอาจจะเหมาะกว่าจริง แต่เงินเดือนลดลงไปกว่า 50% ซึ่งเราไม่โอ
แถมต้องทำงานวันเสาร์ ซึ่งเราไม่สะดวก ทำไม่ได้อยู่แล้ว พอนางต่อรองไม่ได้ ก็เริ่มมีอารมณ์ และบลัฟต่างๆ นาๆ
ว่าถ้าเราจะเล่นตัว จะเลือกงานขนาดนี้ ยังไงๆ เมเนเจอร์ก็คงไม่เลือกเราเข้าทำงาน แทนที่มีงานอะไรที่ได้ก็ทำไปก่อน
เนื่องจาก ณ ตอนนั้นคือการเปลี่ยนงานค่ะ ไม่ใช่ตกงานแล้วหางาน มันจึงทำให้เรามีทางเลือกจึงตอบปฏิเสธไป
แต่ HR นางยังไม่หยุดตื้อ ไม่แน่ใจว่าเคยขายตรงมาก่อนรึเปล่า นางยังตื้ออยู่อีกนาน จนทำให้เราบอกนางว่า
เมื่อหักลบรายจ่ายที่เราต้องจ่ายทุกเดือนแล้ว เงินเดือนที่นางเสนอมามันไม่พอที่จะทำให้เราไม่เป็นหนี้
นางก็เลยบ่นๆ จนเราต้องขอตัวกลับ และลาขาดกับบริษัทนี้ไปค่ะ
4.HR แสนรู้
บริษัทต่างชาติอีกหนึ่งที่ ซึ่งบริษัทนี้เราได้สัมกับ CEO เลย ยังไม่ทันที่เราจะได้แนะนำตัวอะไร
เขาเริ่มวิจารณ์ทันทีค่ะ ถึงเงินเดือนที่เราได้รับ หน้าที่ที่เราสมัคร ตำแหน่งที่เราเคยทำมา
โดยเขาวิจารณ์ในมุมที่ว่า ตำแหน่งนี้ในบริษัทเขาไม่ได้ทำแบบที่เราเคยทำนะ
แล้วก็ร่ายยาวต่อไปอีกว่าตำแหน่งที่เราเคยทำมา ในบริษัทเขาต้องทำอะไรบ้าง โดยที่เราไม่ได้สมัครตำแหน่งนั้นไง
ต่อมาก็คือการอวยบริษัทตัวเอง และอวยตำแหน่งที่เราสมัครว่า ปกติคนที่จะทำตำแหน่งนี้ได้
ต้องจบจากสถาบันเมืองนอกชั้นนำนะ ต้องเกียรตินิยมนะ เราก็เถียงอยู่ในใจว่าแล้วจะเรียกเรามาทำไม
ใช้เวลาคุยไปประมาณ 2 ชั่วโมงได้ จนเราไม่ไหว ขอตัวกลับก่อน ถึงได้ที่นี่ ก็ไม่ทำค่ะ ตัดใจไปเลย เสียเวลา
5.HR จอมนินทา จอมยืดเวลา
ที่เจอส่วนใหญ่คือสาวๆ ค่ะ ไม่ได้ยินว่านินทาอะไร แต่มองมาที่เราแล้วซุบซิบ แล้วหัวเราะ มันเป็นมารยาทที่ไม่โอเคเอามากๆ ค่ะ
รวมถึงการที่ให้เรานั่งรอเป็นเวลาที่เกิน 2 ชั่วโมง เพราะเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เช่น ยังประชุมไม่เสร็จ (แต่คุณมีนัดกับเราชัดเจนไหม)
หรือ ยังไม่กลับมากจากพักเที่ยง มันใช่เหรอ
เนื่องจากตอนนี้ไม่ได้ง้อ HR หรือบริษัทใดๆ แล้ว เราจึงแฉได้เต็มที่ค่ะ ^^
มีรายได้จากหลายๆ ทาง ที่ค่อนข้างสูง ไม่ได้ง้องานประจำแล้ว ทำฟรีแลนซ์และรับงานที่ปรึกษา งานบริหารอีก
ที่สำคัญตอนนี้ เราจะเน้นการทำงานที่ไม่ต้องเดินทางมาก ทำที่ไหนก็ได้ ตอนนี้รายได้เราเฉียด 6 หลักกลาง ไปแล้วค่ะ
HR ท่านใดอยากมาแชร์เหตุผล ทำได้นะคะ