ผม เป็นคนไทย 100% เมื่อสิบกว่าปีมาผมได้มีโอกาสไปศึกษาเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลียระยะหนึ่ง ก็เป็นปะเทศที่มีค่าครองชีพที่นั้นก็สูงเอาเรื่อง ไม่ว่าที่พัก อาหาร แต่ก็เป็นประเทศที่คนไทยและชาวเอเชีย ไปเรียนต่อเป็นจำนวนมาก นักเรียนที่ไปนั้นก็มีหลากหลายโดยเฉพาะชาว เกาหลี และ ญี่ปุ่น มากมายตรึมไปหมด ในขณะนั้นผมยอมรับว่าบ้าหรือว่าคลั่งเกาหลีและญี่ปุ่นมาก และยิ่งได้เจอเพื่อนๆ เกาหลี และ ญี่ปุ่น ผมยิ่งดี้ด้า จึงทำให้ผมสนิทกับพวกเขาไม่ยาก เพราะผมรู้จักอะไรหลายๆอย่างเช่น เพลง ดารา สินค้าต่างๆเพราะผมมาองว่าประเทศเหล่านี้ ช่างมีสินค้าและแบนด์ดังๆมากมาย ที่เป็นของทันสมัยน่าใช้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเคยครั้งหนึ่งในชั่วโมงเรียน อาจารย์ฝรั่ง ถามนักเรียนว่า..... ให้ทุกคนบอกชื่อยี่ห้อหรือสินค้าที่เป็นที่รู้จักของประเทศคุณมา แต่ก่อนจะถึงคิวผมตอบนั้น ก็มีเพื่อน เอเชีย เกาหลี จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ก็ตอบกันมากมาย เช่นโซนี่ โตโยต้า ซัมซุง ฮุนได เป็นต้น ..พอมาถึงคิวเพื่อนคนไทยเป็นผู้หญิงก่อนหน้าผม... เธอตอบว่า jasmine rice .......ทุกคนในห้องต่างพากัน งง ....ว่ามันคืออะไร.....แต่ตอนนั้นผมเข้าใจเพื่อน ว่าเพื่อนคนไทยกำลังจะสื่อสารอะไรกับเพื่อนๆต่างชาติ ตอนนั้นผมเลยคิดว่าไม่มีอะไรที่ต่างชาติรู้จักเราเลยเหรอ ถึงคิวผม ผมนึกได้ว่า กระทิงแดง red bull ที่พอจะมีชื่อเสียงกับเค้าบ้าง (แต่ที่ดังได้ก็ต่างชาติอยู่ดี นึกเอง อิอิ) วันนั้นทำให้ผมรู้สึกแอบน้อยเนื้อต่ำใจนิดหนึ่งว่าของไทยมันไม่ดีเลยเหรอ ไม่มีใครรู้จักบ้างเลยหรือ ข้าวหอมมะลิ ยังไม่รู้จักกันเลย แง่ๆๆๆ
เวลาก็ผ่านมาผมก็ยังสนใจของจากเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน มากเหมือนเดิม โดยเฉพาะอาหารเกาหลี หรือ ญี่ปุ่น เช่น บูเดชิเก คิมบั๊บ ต๊อกป๊อกกี้ เป็นต้น เมื่อผมได้เจอกับเพื่อนเกาหลีต่างๆ ผมจะโอ้อวดว่าผมได้รู้จักอาหารของคุณ และจะบอกว่าผมชอบกิน อย่างโน้นอย่างนี้.....รู้สึกภูมิใจว่าตัวเอง อินเตอร์มากๆๆ เป็นอย่างมาก
จนเวลาก็ผ่านไป ผมก็ยังทำแบบเดิมมากเรื่อยๆ ....จนกระทั่งวันหนึ่งได้เจอเพื่อนเกาหลีหนึ่งคนที่เรียนที่เดียวกัน ซึ่งผมว่าเพื่อนเกาหลีคนนี้เป็นคนดูซื่อๆ เชยๆ ใส่แว่นตาหนาๆ ชอบเอาอาหารกล่องจากบ้านมากินที่โรงเรียน โดยปกติผมไม่ค่อยได้คุยกับคนนี้เท่าไร ...เพราะรู้สึก เค้าดูไม่เข้าพวกกับพวกเรา แต่วันนั้นเป็นช่วงพักเที่ยง....ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดและรู้สึกอะไรบางอย่าง ที่เปลี่ยนไปจากเดิม
เพื่อนเกาหลีคนนี้หยิบข้าวกล่องดูโทรมๆ ในนั้นมีสาหร่ายแห้งๆ กิมจิ และอะไรไม่รู้ที่ดูเป็นของดองๆ ข้างๆอีกฝังอัดแน่นไปด้วยข้าวเต็มกล่อง
ผมก็ทำเหมือนเคยคุยโม้เพื่อนเกาหลีคนนี้เหมือนเดิม ผมบอกว่า ผมชอบบูเดชิเก มากๆๆๆ และชอบอาหารเกาหลีมากๆๆ เพื่อนคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาและพูดกับผมว่า คุณรู้จักอาหารเกาหลีดีจริงๆหรือ เค้าเลยแตะไหล่ผมเบาๆหนึ่งที และชวนผมไปนั่งอีกทีใกล้ๆ เหมือนไม่อยากให้ใครได้ยิน
เพื่อนเกาหลี ก็เลยเล่าเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง เค้าบอกนายรู้ไหม บูเดชิเก ที่นายชอบมันเป็นอาหารที่น่าอดสูของประเทศเราเลยรู้ไหม ของที่ใส่ในบูเดชิเก เช่น แฮม ไส้กรอก ชีส มันบด หรืออะไรต่างๆ มันไม่ใช่ของชาติเราเลย มันคือขยะที่ทหารอเมริกันตอนนั้นมารบสงครามเกาหลีและได้นำมาด้วย ตอนนั้นพวกทหารอเมริกันกินและก็ได้ทิ้งเอาไว้ ในท่อบ้าง ในส้วมบ้าง ที่พื้นบ้าง แต่ในตอนนั้นประเทศของเรายากจนไม่มีอะไรจะกิน ทั้งหนาวและหิว ปู่ย่าตายายพวกเราจึงต้องเอาของเหล่านี้ ที่ทหารอเมริกันทิ้ง แล้วเอามาต้มผสมกับกิมจิ กินเพื่อประทังชีวิต มันช่างดูน่าสมเพช ใช่ไหม ถึงแม้เป็นเรื่องในอดีตแต่พ่อแม่เราก็ทิ้งความหลังอันน่าขมขืนเอาไว้เตือนใจพวกเรา เวลาเราจะกินข้าวเราจะกินให้หมดไม่เหลือ เพราะพ่อแม่สอนให้รู้จักประโยชน์และให้เห็นคุณค่าของอาหารที่มันจะเป็นพลังให้เราต่อไป
เพื่อนเกาหลีนั้นยังพูดต่อด้วย ประเทศนายดีกว่าเราเยอะไม่ต้องอดอาหร มีข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องหนาว ไม่ต้องหลบซ่อน หนีสงคราม ประเทศนายดีมีกษัตริย์ที่ห่วงใยปากท้องประชาชน และขอบคุณที่ประเทศของนายส่งทหารและมาช่วยพวกเราในสงครามเกาหลี....
จากนั้นเพื่อนคนนี้ก็ลุกขึ้นไป และเดินจากผมไปทิ้งคำถามในใจมากมาย ผมจึงคิดได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น
คืออาหารนิน่า... ไม่ใช่สิ่งของต่างๆ หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆที่ต่างประเทศคิดเอามาหลอกพวกเรา......
ประเทศที่หนาวเย็นไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้วันๆก็ออกไปไหนไม่ได้ ก็ต้องหาธุรกิจอื่นๆทำเพื่อหาเงิน และก็เพื่อมาซื้อข้าวกิน ... ได้เงินก็มาซื้ออาหารจากประเทศไทยของเรากิน....(ผมเริ่มดูถูกประเทศเหล่านั้นที่ผมเคยชอบ)
วันนั้นผมคิดขึ้นได้ว่าข้าวปลาอาหารที่เรากินนั้นมันช่างยิ่งใหญ่และเราควรภูมิใจมิใช่เหรอ เราส่งออกข้าวที่ดีทั่วโลก ไม่ต้องมีใครมารู้จักข้าวหอมมะลิของเราก็ได้ แต่ข้าวของเราได้หล่อเลี้ยงมวลมนุษยชาติไปทั่วโลก ประเทศของเรามีแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ก็เพราะคนคนหนึ่งที่ห่วงใยประชาชนก็คือพระองค์ท่านในหลวงของพวกเรา ที่พระองค์ท่านอยากให้พวกเราอยู่ดีกินดี
จากวันนั้นทำให้ผมเปลี่ยนความคิดไปตลอดกาลและซาบซึ้งกับพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
ซาบซึ้งกับพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
เวลาก็ผ่านมาผมก็ยังสนใจของจากเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน มากเหมือนเดิม โดยเฉพาะอาหารเกาหลี หรือ ญี่ปุ่น เช่น บูเดชิเก คิมบั๊บ ต๊อกป๊อกกี้ เป็นต้น เมื่อผมได้เจอกับเพื่อนเกาหลีต่างๆ ผมจะโอ้อวดว่าผมได้รู้จักอาหารของคุณ และจะบอกว่าผมชอบกิน อย่างโน้นอย่างนี้.....รู้สึกภูมิใจว่าตัวเอง อินเตอร์มากๆๆ เป็นอย่างมาก
จนเวลาก็ผ่านไป ผมก็ยังทำแบบเดิมมากเรื่อยๆ ....จนกระทั่งวันหนึ่งได้เจอเพื่อนเกาหลีหนึ่งคนที่เรียนที่เดียวกัน ซึ่งผมว่าเพื่อนเกาหลีคนนี้เป็นคนดูซื่อๆ เชยๆ ใส่แว่นตาหนาๆ ชอบเอาอาหารกล่องจากบ้านมากินที่โรงเรียน โดยปกติผมไม่ค่อยได้คุยกับคนนี้เท่าไร ...เพราะรู้สึก เค้าดูไม่เข้าพวกกับพวกเรา แต่วันนั้นเป็นช่วงพักเที่ยง....ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดและรู้สึกอะไรบางอย่าง ที่เปลี่ยนไปจากเดิม
เพื่อนเกาหลีคนนี้หยิบข้าวกล่องดูโทรมๆ ในนั้นมีสาหร่ายแห้งๆ กิมจิ และอะไรไม่รู้ที่ดูเป็นของดองๆ ข้างๆอีกฝังอัดแน่นไปด้วยข้าวเต็มกล่อง
ผมก็ทำเหมือนเคยคุยโม้เพื่อนเกาหลีคนนี้เหมือนเดิม ผมบอกว่า ผมชอบบูเดชิเก มากๆๆๆ และชอบอาหารเกาหลีมากๆๆ เพื่อนคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาและพูดกับผมว่า คุณรู้จักอาหารเกาหลีดีจริงๆหรือ เค้าเลยแตะไหล่ผมเบาๆหนึ่งที และชวนผมไปนั่งอีกทีใกล้ๆ เหมือนไม่อยากให้ใครได้ยิน
เพื่อนเกาหลี ก็เลยเล่าเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง เค้าบอกนายรู้ไหม บูเดชิเก ที่นายชอบมันเป็นอาหารที่น่าอดสูของประเทศเราเลยรู้ไหม ของที่ใส่ในบูเดชิเก เช่น แฮม ไส้กรอก ชีส มันบด หรืออะไรต่างๆ มันไม่ใช่ของชาติเราเลย มันคือขยะที่ทหารอเมริกันตอนนั้นมารบสงครามเกาหลีและได้นำมาด้วย ตอนนั้นพวกทหารอเมริกันกินและก็ได้ทิ้งเอาไว้ ในท่อบ้าง ในส้วมบ้าง ที่พื้นบ้าง แต่ในตอนนั้นประเทศของเรายากจนไม่มีอะไรจะกิน ทั้งหนาวและหิว ปู่ย่าตายายพวกเราจึงต้องเอาของเหล่านี้ ที่ทหารอเมริกันทิ้ง แล้วเอามาต้มผสมกับกิมจิ กินเพื่อประทังชีวิต มันช่างดูน่าสมเพช ใช่ไหม ถึงแม้เป็นเรื่องในอดีตแต่พ่อแม่เราก็ทิ้งความหลังอันน่าขมขืนเอาไว้เตือนใจพวกเรา เวลาเราจะกินข้าวเราจะกินให้หมดไม่เหลือ เพราะพ่อแม่สอนให้รู้จักประโยชน์และให้เห็นคุณค่าของอาหารที่มันจะเป็นพลังให้เราต่อไป
เพื่อนเกาหลีนั้นยังพูดต่อด้วย ประเทศนายดีกว่าเราเยอะไม่ต้องอดอาหร มีข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องหนาว ไม่ต้องหลบซ่อน หนีสงคราม ประเทศนายดีมีกษัตริย์ที่ห่วงใยปากท้องประชาชน และขอบคุณที่ประเทศของนายส่งทหารและมาช่วยพวกเราในสงครามเกาหลี....
จากนั้นเพื่อนคนนี้ก็ลุกขึ้นไป และเดินจากผมไปทิ้งคำถามในใจมากมาย ผมจึงคิดได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น
คืออาหารนิน่า... ไม่ใช่สิ่งของต่างๆ หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆที่ต่างประเทศคิดเอามาหลอกพวกเรา......
ประเทศที่หนาวเย็นไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้วันๆก็ออกไปไหนไม่ได้ ก็ต้องหาธุรกิจอื่นๆทำเพื่อหาเงิน และก็เพื่อมาซื้อข้าวกิน ... ได้เงินก็มาซื้ออาหารจากประเทศไทยของเรากิน....(ผมเริ่มดูถูกประเทศเหล่านั้นที่ผมเคยชอบ)
วันนั้นผมคิดขึ้นได้ว่าข้าวปลาอาหารที่เรากินนั้นมันช่างยิ่งใหญ่และเราควรภูมิใจมิใช่เหรอ เราส่งออกข้าวที่ดีทั่วโลก ไม่ต้องมีใครมารู้จักข้าวหอมมะลิของเราก็ได้ แต่ข้าวของเราได้หล่อเลี้ยงมวลมนุษยชาติไปทั่วโลก ประเทศของเรามีแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ก็เพราะคนคนหนึ่งที่ห่วงใยประชาชนก็คือพระองค์ท่านในหลวงของพวกเรา ที่พระองค์ท่านอยากให้พวกเราอยู่ดีกินดี
จากวันนั้นทำให้ผมเปลี่ยนความคิดไปตลอดกาลและซาบซึ้งกับพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน