Blade Runner เมื่อ35ปีก่อน เป็นหนังไซไฟ “ขึ้นหิ้ง” ซึ่งผมเองก็ยอมรับในความสุดยอดของหนังนะครับโดยเฉพาะงานโปรดักชั่นดีไซน์และซาวเอฟเฟ็คนี่คือที่สุดแล้ว แต่ถ้าจะเอาความรู้สึกส่วนตัวจริงๆก็ต้องบอกว่าค่อนข้างเฉยๆ นั่นเพราะการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างเนิบช้าพาให้ลดทอนความสนุกไปอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งจริงๆภายใต้ความเนิบช้าสิ่งที่ได้กลับมาคือการค่อยๆซึมซับกับแมสเสจต่างๆที่ผู้เขียนบทบรรจงใส่เข้าไปอย่างยอดเยี่ยม
.
ซึ่งการมาของBlade Runner 2049 นั้นก็ยังเคารพภาคแรกด้วยองค์ประกอบยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ผู้กำกับเดนิส วิลล์เนฟ มาพร้อมกับบทภาพยนตร์และคาแรกเตอร์ที่แข็งแรงมากพอจะอุ้มหนังไว้ได้ จากนั้นก็ดำเนินเรื่องไปตามสถานการณ์อย่างค่อยๆเป็นค่อยไปๆ พึ่งพาการเร้าอารมณ์เท่าที่จำเป็นจริงๆ ซึ่งนั่นทำให้หนังกลายเป็นเป็นความเนือยสำหรับหลายๆคน
.
Blade Runner 2049 เป็นเรื่องราวของเบลดรันเนอร์นามว่าK(ไรอัน กลอสลิง) ที่ได้พบโครงกระดูกมนุษย์เทียมเพศหญิง ซึ่งเชื่อว่าเป็นเบาะแสสำคัญที่จะนำไปสู่การไขปริศนาบางอย่างที่อาจเปลี่ยนโลกและมวลมนุษย์ไปตลอดกาล ซึ่งตลอดระยะเวลา2ชั่วโมง43นาทีของหนังเรื่องนี้ จะเป็นการติดตามการสื่บสวนของเจ้าหน้าที่K ที่หนังจะค่อยๆปล่อยจิ๊กซอว์มาทีละตัวๆไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาพที่สมบูรณ์ในตอนจบ
.
บทภาพยนตร์คือส่วนที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ ไล่กันตั้งแต่การวางโครงเรื่องที่แข็งแรง ไปจนถึงการจัดวางรายละเอียดต่างๆลงไปในเส้นเรื่อง ที่ทำได้อย่างฉลาดและมีการลำดับเรื่องราวที่ดี ทำให้เราอยากติดตามและร่วมต่อจิ๊กซอว์ไปกับเจ้าหน้าที่Kไปเรื่อยๆจนหนังจบ หากแต่ใครหวังว่าจะได้เห็นอะไรที่ซับซ้อนพลิกหลายตลบก็ต้องบอกไว้ก่อนว่าหนังไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น จริงๆผมสามารถเดาเนื้อเรื่องได้ก่อนหนังจะเฉลยจิ๊กซอว์แต่ละตัวด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้ผมดูหนังได้อย่างเพลิดเพลิน คงเป็นเพราะผมอยากเห็นจิ๊กซอว์ตัวต่อไปมากกว่า
.
ในส่วนของงานโปรดักชั่นหากไม่เอาไปเปรียบเทียบกับภาคแรกก็ต้องบอกว่าทำได้อย่างดี แต่หากนำไปเทียบก็ต้องบอกเลยว่าสู้ไม่ได้จริงๆ ในภาคนี้ภาพที่เห็นบนจอเน้นไปที่ภาพมุมสูงของนครLos Angeles และภาพภายในอาคารต่าง ในขณะที่ภาคแรกจะเต็มไปด้วยฉากบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัย แต่ประชาชนกลับอยู่อย่างแร้นแค้น ภาพของกองขยะ และแหล่งเสื่อมโทรมต่างๆ ถูกอย่ามาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมสะท้อนให้เห็นโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้าแต่ประชนชนกลับมีชีวิตโสมมได้อย่างทรงพลัง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราไม่สามารถ “รู้สึก”ถึงมันได้จากหนังภาคนี้
.
งานเทคนิคอื่นๆก็ทำได้ดีงาม ที่โดดเด่นมากๆคืองานซาวด์มิกซ์และซาวด์เอ็ฟเฟ็ค ทว่างานดนตรีประกอบของเบนจามิน วอลล์ฟิซ และฮานส์ ซิมเมอร์ที่ซ้ำรอยDunkirk อีกแล้วในแง่ที่ว่าเล่นใหญ่ล้นเกินหนังไปหลายฉากแต่ก็มีหลายฉากเช่นกันที่ทำได้ดีแบบจับใจ
.
สำหรับการแสดงนั้นก็ทำได้ดีตามมาตรฐาน จะมีติบ้างนิดหน่อยคงเป็นการเล่นใหญ่ไปนิดของทั้งกลอสลิงและแฮริสัน ฟอร์ดในซีนอารมณ์ ยิ่งโดนกล้องโคลสอัพและดนตรีประกอบโหมประโคมเข้าไปอีก พลอยทำให้ผมเผลอขำแทนที่จะดราม่าไปตามหนังซะได้ ส่วนจาเรด เลโต ก็แสดงได้ดีมากเลยทีเดียว แต่ออกมาแค่ไม่กี่ฉากและไม่มากพอส่งอิทธิพลต่อองค์รวมของหนัง
.
อีกเรื่องที่อยากชื่นชมคือผู้กำกับเดนิส วิลล์เนฟ ที่สามารถเล่าเรื่องราวในรูปแบบที่เป็นตัวของตัวเอง มีการวางโครงเรื่องและเส้นเรื่องที่แตกต่างจากภาคแรกอย่างสิ้นเชิง แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับจักรวาลBlade Runner ด้วยการขยายเรื่องราวที่ภาคแรกหยอดเอาไว้ให้มีความชัดเจนขึ้นอีกด้วย ในขณะที่ประเด็นเรื่องศีลธรรมในหนังก็มีความน่าสนใจ แม้จะยังคมตายสู้ภาคแรกไม่ได้ก็ตาม
ใครดูBlade Runner มาแล้วบาง ยกมือขึ้น ชวนมาคุยกันครับ
.
ซึ่งการมาของBlade Runner 2049 นั้นก็ยังเคารพภาคแรกด้วยองค์ประกอบยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ผู้กำกับเดนิส วิลล์เนฟ มาพร้อมกับบทภาพยนตร์และคาแรกเตอร์ที่แข็งแรงมากพอจะอุ้มหนังไว้ได้ จากนั้นก็ดำเนินเรื่องไปตามสถานการณ์อย่างค่อยๆเป็นค่อยไปๆ พึ่งพาการเร้าอารมณ์เท่าที่จำเป็นจริงๆ ซึ่งนั่นทำให้หนังกลายเป็นเป็นความเนือยสำหรับหลายๆคน
.
Blade Runner 2049 เป็นเรื่องราวของเบลดรันเนอร์นามว่าK(ไรอัน กลอสลิง) ที่ได้พบโครงกระดูกมนุษย์เทียมเพศหญิง ซึ่งเชื่อว่าเป็นเบาะแสสำคัญที่จะนำไปสู่การไขปริศนาบางอย่างที่อาจเปลี่ยนโลกและมวลมนุษย์ไปตลอดกาล ซึ่งตลอดระยะเวลา2ชั่วโมง43นาทีของหนังเรื่องนี้ จะเป็นการติดตามการสื่บสวนของเจ้าหน้าที่K ที่หนังจะค่อยๆปล่อยจิ๊กซอว์มาทีละตัวๆไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาพที่สมบูรณ์ในตอนจบ
.
บทภาพยนตร์คือส่วนที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ ไล่กันตั้งแต่การวางโครงเรื่องที่แข็งแรง ไปจนถึงการจัดวางรายละเอียดต่างๆลงไปในเส้นเรื่อง ที่ทำได้อย่างฉลาดและมีการลำดับเรื่องราวที่ดี ทำให้เราอยากติดตามและร่วมต่อจิ๊กซอว์ไปกับเจ้าหน้าที่Kไปเรื่อยๆจนหนังจบ หากแต่ใครหวังว่าจะได้เห็นอะไรที่ซับซ้อนพลิกหลายตลบก็ต้องบอกไว้ก่อนว่าหนังไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น จริงๆผมสามารถเดาเนื้อเรื่องได้ก่อนหนังจะเฉลยจิ๊กซอว์แต่ละตัวด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้ผมดูหนังได้อย่างเพลิดเพลิน คงเป็นเพราะผมอยากเห็นจิ๊กซอว์ตัวต่อไปมากกว่า
.
ในส่วนของงานโปรดักชั่นหากไม่เอาไปเปรียบเทียบกับภาคแรกก็ต้องบอกว่าทำได้อย่างดี แต่หากนำไปเทียบก็ต้องบอกเลยว่าสู้ไม่ได้จริงๆ ในภาคนี้ภาพที่เห็นบนจอเน้นไปที่ภาพมุมสูงของนครLos Angeles และภาพภายในอาคารต่าง ในขณะที่ภาคแรกจะเต็มไปด้วยฉากบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัย แต่ประชาชนกลับอยู่อย่างแร้นแค้น ภาพของกองขยะ และแหล่งเสื่อมโทรมต่างๆ ถูกอย่ามาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมสะท้อนให้เห็นโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้าแต่ประชนชนกลับมีชีวิตโสมมได้อย่างทรงพลัง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราไม่สามารถ “รู้สึก”ถึงมันได้จากหนังภาคนี้
.
งานเทคนิคอื่นๆก็ทำได้ดีงาม ที่โดดเด่นมากๆคืองานซาวด์มิกซ์และซาวด์เอ็ฟเฟ็ค ทว่างานดนตรีประกอบของเบนจามิน วอลล์ฟิซ และฮานส์ ซิมเมอร์ที่ซ้ำรอยDunkirk อีกแล้วในแง่ที่ว่าเล่นใหญ่ล้นเกินหนังไปหลายฉากแต่ก็มีหลายฉากเช่นกันที่ทำได้ดีแบบจับใจ
.
สำหรับการแสดงนั้นก็ทำได้ดีตามมาตรฐาน จะมีติบ้างนิดหน่อยคงเป็นการเล่นใหญ่ไปนิดของทั้งกลอสลิงและแฮริสัน ฟอร์ดในซีนอารมณ์ ยิ่งโดนกล้องโคลสอัพและดนตรีประกอบโหมประโคมเข้าไปอีก พลอยทำให้ผมเผลอขำแทนที่จะดราม่าไปตามหนังซะได้ ส่วนจาเรด เลโต ก็แสดงได้ดีมากเลยทีเดียว แต่ออกมาแค่ไม่กี่ฉากและไม่มากพอส่งอิทธิพลต่อองค์รวมของหนัง
.
อีกเรื่องที่อยากชื่นชมคือผู้กำกับเดนิส วิลล์เนฟ ที่สามารถเล่าเรื่องราวในรูปแบบที่เป็นตัวของตัวเอง มีการวางโครงเรื่องและเส้นเรื่องที่แตกต่างจากภาคแรกอย่างสิ้นเชิง แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับจักรวาลBlade Runner ด้วยการขยายเรื่องราวที่ภาคแรกหยอดเอาไว้ให้มีความชัดเจนขึ้นอีกด้วย ในขณะที่ประเด็นเรื่องศีลธรรมในหนังก็มีความน่าสนใจ แม้จะยังคมตายสู้ภาคแรกไม่ได้ก็ตาม