Blade Runner 2049 : ไล่ล่า "มนุษยภาพ"

Creative Review


มีหนังอยู่ประเภทหนึ่ง ที่จะคงอยู่เหนือกาลเวลา ไม่ใช่แค่เพราะว่ามันสนุกสนาน ประทับตราตรึงใจคนดู แต่เพราะมันได้สร้างสิ่งใหม่ เปิดโลกใหม่ ที่มีรายละเอียดลุ่มลึกและเต็มไปด้วยจินตนาการ (visionary) ให้คนดูได้ครุ่นคิดทบทวนพูดถึงและศึกษาต่อ แม้ว่าตัวหนังจะจบไปแล้ว จนเกิด Cult (สาวก) ที่ติดตามและชื่นชมในตัวหนังอย่างจริงจัง การมีเวลาเพียง 2 ชั่วโมง เพื่อพาคนดูไปยังโลกที่คนดูไม่เคยสัมผัสมาก่อน ทีมสร้างจึงต้องรีดใช้ทุกศาสตร์ของหนังเพื่อทำให้คนรู้สึกว่าโลกดังกล่าวมีมิติ มีความลึก น่าเชื่อถือ และน่าหลงไหล มีหนังจำนวนไม่มากที่สามารถทำสิ่งที่ว่านี้ได้สำเร็จ
และ Blade Runner 2049 คือหนึ่งในหนังจำนวนไม่มากนั้น ที่จะถูกพูดถึงและชื่นชมไปอีกแสนนาน


Blade Runner 2049 อย่างที่รู้กันเป็นหนังภาคต่อของ Blade Runner หนังล้ำยุคที่สร้างต้นแบบของโลก Neo-Noir / Cyberpunk ให้หนัง sci-fi รุ่นใหม่ๆได้เจริญรอยตาม และสิ่งที่ Blade Runner 2049 นำกลับมาครั้งนี้ คือเสน่ห์ทั้งหมดของโลก Blade Runner และทำให้มันไปไกลยิ่งกว่าที่เคยเป็น ด้วยการรวบรวมทีมงานมากความสามารถ ที่จะกล่าวถึงในลำดับถัดไป


สิ่งแรกที่ต้องขอชื่นชมไว้ก่อนเลย คือบทหนังซึ่งเมื่อดูจบแล้ว ต้องปรบมือ bravo เพราะนี่เป็นหนึ่งในบทหนัง sci-fi ที่ลงตัวที่สุดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบเครดิต ทั้งสร้างปมคำถาม คลายคำตอบ หลอกคนดูอย่างมีชั้นเชิง ทั้งหมดผ่านฝีมือกำกับของ Denis Villeneuve ที่ราวเส้นทางโชคชะตาถูกปูมาเพื่อให้มารับกำกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ด้วยความหลงไหลส่วนตัวในหนังภาคก่อน พร้อมสไตล์การกำกับหนัง ที่มี artistic ร่วม รู้จักการดึง การกดอารมณ์หนัง แบบไม่ปล่อยพร่ำเพรื่อ รวมกับวิธีการเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิง น่าติดตาม มีความระทึก สร้างความตึงเครียด เป็น DNA ที่เข้าคู่กับโปรเจคหนังอย่าง Blade Runner มากๆ แถมยังยกระดับหนัง Blade Runner 2049 ให้อยู่เหนือมาตรฐานหนัง sci-fi ทั่วไปอีก


แค่ฝีมือพี่แกยังไม่พอ หนังยังได้ Roger Deakins ผู้กำกับภาพมือฉมัง ที่ทำให้ทุกฉากทุกซีนของหนัง น่าหลงไหลและจดจำ เต็มไปด้วยงานภาพที่งดงามราวกับงานศิลปะ ทั้งยังได้ Hans Zimmer ตัวพ่อมาดูแลเพลงและซาวด์ประกอบ ซึ่งพี่แกจัดเต็มมากในหนังเรื่องนี้ ด้วยเสียง futuristic analog แบบหน่วงๆ ตึงๆ


การรวมมือกันของทีมงานเบื้องหลังระดับ A+ พาเราหลงไปในโลกของ Blade Runner ที่ยังคงความ bleak มืดมนแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ บรรยากาศของโลกในอนาคตกับเรื่องราวที่ดำเนินไปของ เค (แสดงโดย Ryan Gosling) ตัวละครหลัก ต่างสอดรับกันอย่างลงตัว หนังขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยการสืบสวนหาความจริงกระตุ้นความสนใจใคร่รู้ของคนดู ไปพร้อมๆกับการทิ้งคำถามตัวโตๆให้คนดูได้คิดและตัดสินใจว่าอะไร คือ "ความเป็นมนุษย์"
มนุษย์ผิวเผินดูเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิต ที่เพียงต้องการที่จะอยู่รอด ต้องการที่จะมีชีวิต ต้องการที่จะถูกต้องการ ต้องการที่จะถูกรัก แต่ได้เพียงแค่นั้นยังไม่สามารถตอบสิ่งลึกๆในใจมนุษย์ได้

เพราะลึกลงไปนิยามของ "มนุษยภาพ" จะต้องมี สิทธิ อิสระของการได้เลือก เลือกที่จะรัก เลือกที่จะศรัทธา เลือกสิ่งที่จะเชื่อ เลือกอุดมการณ์ที่ยึดมั่น เลือกที่จะมีชีวิตสู้และตายเพื่อบางสิ่ง

เพราะการทำบางสิ่งเพียงเพื่ออยู่รอดโดยไม่มีทางเลือกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกความเป็นมนุษย์ หรือการมีชีวิตได้เลย


นักแสดงอื่นๆก็เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ แม้บทจะมีน้อย แต่ออกมาแต่ละครั้งต่อยหนัก มีเสน่ห์ดึงดูด น่าสนใจแทบทุกตัวละคร โดยเฉพาะน้อง Joi (แสดงโดย Ana De Armas) นี่โดนใจมาก เป็นหมัดเด็ดอันหนึ่งของหนังเรื่องนี้เลย


Blade Runner 2049 เต็มไปด้วยฉากที่น่าประทับใจควรค่าให้ชื่นชมมากมาย จนนึกออกไม่หมด ที่ชัดเจนมากๆ ก็ฉาก love scene ในเรื่องที่เหนือล้ำจินตนาการ ฉากการสังหารที่ไม่ทารุณ แต่เลือดเย็น น่าพรั่นพรึง รวมถึงการใช้ภาพ hologram แบบขั้นสุดนำคนที่จากไปแล้วกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของฉากเรียกว่าเป็น magic moment ของหนังที่น่าจดจำมากๆ


ทุกองค์ประกอบของ Blade Runner 2049 ถูกดันไปจนถึงที่สุดของศักยภาพ ทั้งบทที่ลุ่มลึก ในโลกที่น่าหลงไหล ผ่านภาพและเสียงที่บรรจงวางอย่างถูกที่ถูกอารมณ์ ร้อยเรียงทั้งหมดเป็นประสบการณ์หนัง sci-fi ที่สมบูรณ์ที่สุด หนังที่ให้ความรู้สึกเปิดประสบการณ์ เปิดโลกใบใหม่ให้เรา แล้วยังทิ้งเรื่องราวที่น่าสนใจ มีคุณค่าให้ครุ่นคิดต่อแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่ทำได้น่าจะเป็น The Matrix ที่เหลือแม้จะน่าสนใจบ้าง แต่ก็ไม่สดใหม่ แตกต่าง น่าหลงไหลเท่า นี่จึงเป็นหนังที่คุณจะติดค้างตัวเองมากๆ หากไม่ได้มาดูด้วยตัวเองในโรงครับ


ปล. ใครมีความสามารถในการโฟกัสมากพอ ขอแนะนำให้ดู IMAX 3D ครับ