หลังจากการเปิดตัวที่ต่ำกว่าคาดการณ์ของวงการหนัง Blade Runner 2049 ทำเงินสุดสัปดาห์แรกไปได้เพียง $30 ล้านต้นๆ เมื่อเทียบกับที่หลายๆฝ่ายได้ประเมินไว้ $40-45 ล้านในสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้มีโอกาสอย่างมากที่หนังไซไฟทุนสูงเรื่องนี้จะปิดโปรแกรมในบ้านโดยทำรายได้ไม่ถึง $100 ล้านเหรียญ ซึ่งเมื่อเทียบกับทุนสร้างที่สูงปรี๊ด (Boxofficemojo = $150 ล้าน แต่สื่ออื่นๆรายงานที่ $180-185 ล้านไม่รวม P&A) แม้จะเป็นการร่วมทุนกันแต่ก็คงทำให้สามเกลอ WB-Alcon-Sony เจ็บหนักไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะทุนสร้างระดับนี้ควรทำเงินในบ้าน $150 ล้านขึ้นไปและทำรายได้ทั่วโลกรวม $450-500 ล้านจึงจะไม่ขาดทุน
จะเห็นได้ว่าหนัง Sci-fi ขายไอเดียทั้งหลายในปีนี้ต่างคว่ำไม่เป็นท่าทำรายได้ต่ำกว่าที่ Hollywood ประเมินไว้เบื้องต้นทั้งหมด บางเรื่องถึงกับเจ๊งเป็นประวัติการณ์กันก็มี ไล่มาทั้ง Ghost in the Shell, Alien : Covenant, War for the Planet of the Apes, Valerian, Dark Tower เรื่อยมาจนถึง Blade Runner 2049 ทั้งๆที่ส่วนใหญ่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ถือว่าใช้ได้ บางเรื่องอย่าง Apes หรือ Blade Runner เป็นขวัญใจนักวิจารณ์กันเลยทีเดียว Valerian ก็ไม่น่าเกลียด แต่หนังที่ประสบความสำเร็จในหน้ากระดาษหรือเพจวิจารณ์เหล่านี้กลับไม่เป็นที่ต้องการของคนดูในวงกว้างเท่าที่ควร ย้อนไปสมัยก่อนหนังไซไฟเป็นที่โหยหาของนักดูหนังเพราะสามารถเปิดโลกจินตนาการของคนดูได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนมาถึง ณ ปีนี้ภาพยนตร์ Sci-fi กลับกลายของแสลงสำหรับค่ายหนัง เป็นเรื่องล้าสมัย เพราะอะไร? ทำไมคนดูจึงหนีห่างจากหนังไซไฟที่เคยเป็นที่นิยม หรือว่าเป็นเพราะสิ่งที่หนังไซไฟนำเสนอมันไม่สมเหตุสมผลสำหรับคนในยุคนี้ หรือว่าจินตนาการเหล่านั้นมันกลายเป็นเพียงเรื่องคู่ขนานกับความจริงเพราะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบันก้าวไปไกลมากขึ้นจนคนดูไม่อินไปกับเนื้อเรื่อง เป็นคำถามที่ค่ายหนังต้องเฝ้าหาคำตอบและค้นหาแนวทางที่สดใหม่สำหรับหนัง Sci-fi ในอนาคตต่อไป ซึ่งเราต้องมารอดูกันว่าหนัง Sci-fi เรื่องไหนจะทำลายอาถรรพ์นี้ลงได้ โดยส่วนตัวผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Downsizing ในช่วงปลายปีนี้จะทำให้หนัง Sci-fi กลับมามองเห็นแนวทางอันสดใสอีกครั้ง
หมายเหตุ : ความตกต่ำของหนัง Sci-fi นี้ผมไม่รวมพวกหนังแฟนเบสอย่าง Superhero ทั้งหลายหรือ Star Wars นะครับ เพราะหนังเหล่านั้นไม่ได้นำเสนอแง่มุมทางวิทยาศาสตร์อะไร รวมทั้งใช้พลังแฟนบอยในการทำเงินเป็นหลักอยู่แล้ว และผมเองก็ชื่นชม WB-Alcon-Sony ที่กล้านำเสนอแนวหนังที่เป็นทางเลือกให้กับกลุ่มผู้ชม แม้จะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะขาดทุนตั้งแต่คิดจะเริ่มสร้างแล้วก็ตาม
ใครจะทำลายอาถรรพ์ความตกต่ำของหนัง Sci-fi ในยุคใหม่ได้
จะเห็นได้ว่าหนัง Sci-fi ขายไอเดียทั้งหลายในปีนี้ต่างคว่ำไม่เป็นท่าทำรายได้ต่ำกว่าที่ Hollywood ประเมินไว้เบื้องต้นทั้งหมด บางเรื่องถึงกับเจ๊งเป็นประวัติการณ์กันก็มี ไล่มาทั้ง Ghost in the Shell, Alien : Covenant, War for the Planet of the Apes, Valerian, Dark Tower เรื่อยมาจนถึง Blade Runner 2049 ทั้งๆที่ส่วนใหญ่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ถือว่าใช้ได้ บางเรื่องอย่าง Apes หรือ Blade Runner เป็นขวัญใจนักวิจารณ์กันเลยทีเดียว Valerian ก็ไม่น่าเกลียด แต่หนังที่ประสบความสำเร็จในหน้ากระดาษหรือเพจวิจารณ์เหล่านี้กลับไม่เป็นที่ต้องการของคนดูในวงกว้างเท่าที่ควร ย้อนไปสมัยก่อนหนังไซไฟเป็นที่โหยหาของนักดูหนังเพราะสามารถเปิดโลกจินตนาการของคนดูได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนมาถึง ณ ปีนี้ภาพยนตร์ Sci-fi กลับกลายของแสลงสำหรับค่ายหนัง เป็นเรื่องล้าสมัย เพราะอะไร? ทำไมคนดูจึงหนีห่างจากหนังไซไฟที่เคยเป็นที่นิยม หรือว่าเป็นเพราะสิ่งที่หนังไซไฟนำเสนอมันไม่สมเหตุสมผลสำหรับคนในยุคนี้ หรือว่าจินตนาการเหล่านั้นมันกลายเป็นเพียงเรื่องคู่ขนานกับความจริงเพราะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบันก้าวไปไกลมากขึ้นจนคนดูไม่อินไปกับเนื้อเรื่อง เป็นคำถามที่ค่ายหนังต้องเฝ้าหาคำตอบและค้นหาแนวทางที่สดใหม่สำหรับหนัง Sci-fi ในอนาคตต่อไป ซึ่งเราต้องมารอดูกันว่าหนัง Sci-fi เรื่องไหนจะทำลายอาถรรพ์นี้ลงได้ โดยส่วนตัวผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Downsizing ในช่วงปลายปีนี้จะทำให้หนัง Sci-fi กลับมามองเห็นแนวทางอันสดใสอีกครั้ง
หมายเหตุ : ความตกต่ำของหนัง Sci-fi นี้ผมไม่รวมพวกหนังแฟนเบสอย่าง Superhero ทั้งหลายหรือ Star Wars นะครับ เพราะหนังเหล่านั้นไม่ได้นำเสนอแง่มุมทางวิทยาศาสตร์อะไร รวมทั้งใช้พลังแฟนบอยในการทำเงินเป็นหลักอยู่แล้ว และผมเองก็ชื่นชม WB-Alcon-Sony ที่กล้านำเสนอแนวหนังที่เป็นทางเลือกให้กับกลุ่มผู้ชม แม้จะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะขาดทุนตั้งแต่คิดจะเริ่มสร้างแล้วก็ตาม