ตำนานพระนางเลือดขาว

ตำนานพระนางเลือดขาว มี 2 ตำนาน


ตำนานไทย



ยังมีร่องรอยที่วัดเจ้าแม่อยู่หัว ติดกับทะเลน้อย
ที่ตำบลท่าคุระ อำเภอสทิงพระ สงขลา
เข้าทางสายชนบทเส้นทางสายใน
ทางไปวัดพระโคะ (ต้นตำนานหลวงปู่ทวด)

จขกท. เคยถามอาจารย์นอง วัดทรายขาว
เกจิอาจารย์ สหธรรมิกอาจารย์ทิม วัดช้างไห้
ว่าเป็นองค์เดียวกันหรือไม่
แกตอบแต่เพียงว่า ถ้าใช่ต้องดังที่นั่น ก่อนที่นี่
ตอนที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จะสร้างหลวงพ่อทวด
จะนิมนต์ท่านไปปลุกเสกที่ กทท.
ท่านบอกไปไม่ได้ ผิดคำสัญญา ที่ต้องไปด้วยกัน
มียกเว้นที่ไปได้คือ วัดช้างไห้ วัดทรายขาว
วัดประสาทบุญญาวาส
แต่ท่านไม่ขัดข้องที่จะจารโลหะที่หล่อพระให้

มีทองคำของพระนางเลือดขาวหล่อ
ที่นำมาขอไถ่ค่าตัวพระกุมาร
เพราะพระกุมารตกน้ำแล้วลอยน้ำหายตัวไป
ในทะเลน้อย(ทะเลสาบสงขลา)
ร่างพระกุมารลอยน้ำอยู่ในทะเลน้อย
หลายวันมากจนร่างกายขึ้นเขียว
เพราะมีตะไคร่น้ำ/สาหร่ายมาเกาะตามลำตัว

พระกุมารลอยมาติดอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง
แถวท่าคุระ ในทะเลน้อย
ตายายคู่หนึ่งช่วยเหลือพระกุมารขึ้นมาจากทะเล
ทั้งยังสามารถทำให้พระกุมารฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้
และเลี้ยงดูพระกุมารต่อมาเป็นเวลาหลายปี

หลังจากที่พระกุมารจมน้ำหายไป
พระนางเลือดขาวได้ส่งข้าหลวง
ออกติดตามพระกุมารมาโดยตลอด
จนข้าหลวงได้พบเจอพระกุมาร
จึงได้ทูลบอกพระนางเลือดขาว
พระนางเลือดขาวจึงเดินเรือมาที่ท่าคุระ
พร้อมกับบริวารจำนวนมาก
เพื่อจะขอนำพระกุมารคืนสู่พระนคร

แต่ตายายทั้งคู่ไม่ยอมคืนพระกุมาร
ให้พระนางเลือดขาว
อ้างว่าผูกพันกับพระกุมารมาก
และพระกุมารตายไปก่อนจะพบเจอแล้ว

จนต้องส่งเรื่องนี้ให้
ผู้อาวุโสที่ชุมชนชาวบ้านนับถือ
เป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้ จึงมีตัดสินให้
พบกันครึ่งทางว่า
ใครที่ช่วยเหลือพระกุมารให้รอดตาย
ก็เป็นพ่อแม่อีกคนของพระกุมาร
จึงเป็นตำนานที่มาของ
การเป็น ผูกเกลอ คนภาคใต้
ถ้าภาคอีสานจะเรียกกันว่า ผูกเสี่ยว
แต่พ่อแม้ที่แท้จริงของพระกุมาร ก็มีสิทธิ์เช่นกัน
จึงขอให้พระนางเลือดขาว
ต้องจ่ายค่าไถ่ตัว/ค่าเลี้ยงดูพระกุมารให้ตายาย
โดยต้องนำทองคำขนาดน้ำหนัก
เท่ากับตัวพระกุมารมาไถ่ตัวคืน
ซึ่งในอดิตากาเลเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก
ในการหาทองคำมากมายขนาดนี้
พระกุมารจึงพิษฐานให้น้ำหนักตนเอง
เบากว่าคนปกติ
เพื่อให้พระนางเลือดขาวจะได้จ่ายค่าไถ่ตนคืน
สู่พระนครได้เร็วขึ้น
และพระกุมารยังคงเคารพและนับถือตายาย
ที่ช่วยเหลือตนให้พื้นคืนชีพว่าเป็นพ่อแม่อีกคู่หนึ่ง
บางคนว่าพระกุมารกลับมา
ใช้ชาติตายาย
ภาษาถิ่นคือ การกลับมาตอบแทนบุญคุณตายาย
ซึ่งในอดีตชาติเคยผูกพันกันมา
เป็นพ่อแม่ลูก สามีภริยา พี่น้อง กันมาก่อน

ต่อมา ทองคำดังกล่าว
ชาวบ้านที่ขอแบ่งปันไปบางส่วน
แต่พอเก็บไว้ในบ้าน
มักจะมีเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี
เลยมอบคืนให้ตายาย
มาหลอมรวมเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ
ขนาดหน้าตักราว 3 นิ้ว สูง 5 นิ้ว
ซึ่งพระกุมารได้ส่งช่างหลวง
มาทำพิธีหลอมพระพุทธรูปนี้
ทุกวันนี้ พระองค์นี้ยังเก็บรักษาไว้
ในห้องนิรภัยของวัดท่าคุระ
ซึ่งจะเปิดให้ชมปีละ 1 วันเท่านั้น
พร้อมกับมีพิธีกรรมตัดเหมฺรฺย (เหมย) กระดกลิ้นตัว ร ด้วย
โดยมีพิธีโนราห์โรงครู ฉลองกันเจ็ดวันเจ็ดคืน

เหมฺรฺย ภาษาใต้ประจำถิ่น
คือ การผิดคำสาบานสานกล่าว
ที่เคยบนให้ช่วยไว้ทั้งจากพระภูติผีเทวดา
หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ
แบบพวกบนบานสานกล่าวจนมั่ว
จำไม่ได้ว่าบนที่ไหนบ้าง
บนไว้เรื่องอะไรไว้บ้าง
อยากจะแก้บนทั้งหมดที่ผ่านมา
พิธีนี้จะแก้บนได้ทั้งหมด
แบบ All in One แบบม้วนเดียวจบ
ถือว่าได้แก้บนครบทุกแห่งในครั้งเดียว
บางท่านว่าเป็นอุบายคนโบราณ
ที่ตั้งกฏเกณฑ์นี้ไว้ เพื่อให้ลูกหลานจะได้สบายใจ
ที่ได้ตัดเหมฺรฺย ไปทั้งหมดแล้ว
จะได้เป็นคนที่ไม่ผิดคำพูด/คำสาบานต่าง ๆ
และให้ระมัดระวังตนในการสบถสาบานต่อไป
ในภายหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องวิตกกังวัลว่า
บนเรื่องอะไร บนไว้ที่ไหนบ้าง



ตำนานพระนางเลือดขาว
มีเล่าขานกันที่จะทิ้งพระ(สทิงพระ)
จะทิ้งพระมาจากคำของเขมร
จะทิ้ง=ชัก/ลาก เปรี๊ยะ=พระ
เพราะวัดแถวนี้มีประเพณีชักพระทางเรือ
ซึ่งทำสืบต่อกันมานานมากแล้ว
ตั้งแต่ในอดีต หลังวันออกพรรษา
ก่อนที่จะชักพระทางรถยนต์เหมือนปัตยุตบัน
ทุกวันนี้  ยังมีหลายวัดที่ยังมีพิธีชักพระทางเรือ
ในเขตทะเลน้อย (ทะเลสาบสงขลา)

ในภาคใต้มีร่องรอยคำเขมรตกค้าง
มีดุษฏีนิพนธ์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มีคำยืมเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้  1,320 คำ
ในจำนวนนี้มีอยู่ 573 คำ ที่ตรงกับคำยืมเขมร
ในภาษาไทยมาตรฐาน และมีอยู่ 394 คำ
ที่เป็นคำยืมเขมรที่ปรากฎเฉพาะในภาษาไทยถิ่นใต้
Credit : เปรมินทร์ คาระวี  http://bit.ly/1ScVyq9

จะทิ้งพระเป็นภาษาเขมรเดิม
ยังมีชื่อ วัดจะทิ้งพระ
วัดนี้เป็นวัดประจำตระกูลอาจารย์ภิญโญ
อำนวย ไตรรงค์ สุวรรณคีรี
ปู่ท่านคือ จมื่นสุวรรณคีรีรักษ์ ทำหน้าที่ดูแล
การเก็บรังนกนางแอ่น ที่เกาะสี่เกาะห้า
ในทะเลน้อย จังหวัดพัทลุงในตอนนี้
ปู่ท่านยังเป็นญาติสนิทพระยาวิเชียรคีรี (ชม)
เจ้าเมืองสงขลาท่านสุดท้าย
ของสายสกุล ณ สงขลา

ส่วนคำว่า สทิงพระ
อำมาตย์เมืองหลวงเปลี่ยนให้เอง
จากเดิมชื่อ จะทิ้งพระ แบบชื่อบ้านแปลงเมืองหลายแห่งในประเทศไทย
.

ถ่ายวันบุญเดือนสิบ(พิธีชิงเปรต) มีทองสูง
รูปเปรตด้านหลัง ผมไปถ่ายมาหลายปีแล้ว

เคยมีป้ายเขาเปรี๊ยะวิเฮียร์ เขาพระวิหารที่ถูกแก้ไขไปแล้ว เปรี๊ยะ คือ พระ วิเฮียร์ คือ วิหาร
.

Credit : http://bit.ly/2fFEylU


.
แถวภาคใต้นี้ยังมีคำว่า พัง ภาษาเขมร ซึ่งมีความหมายว่าที่เก็บน้ำ 200 กว่าแห่ง
เช่น พังโย พังเถียะ พังสนามชัย พังตรุ ฯลฯ ที่แถวอีสานก็มี ตระพังสุรินทร์

ตำนานพระนางเลือดขาว
เล่าขานสืบต่อกันมานานมากในลุ่มน้ำทะเลน้อย
พัทลุง จะทิ้งพระ นครศรีธรรมราช
ระโนด/ระโนฏ มาจากภาษาเขมร
ตะโนด แปลว่า ต้นตาล ที่นิยมปลูกทำรั้วชายแดน
ระหว่างเขมร กับ เวียตนาม ในยุคอดีต
เพราะพระนางโปรดการสร้างวัดมาก
มีวัดหลายแห่งมากที่ในตำนานว่า
พระนางเลือดขาวสร้างไว้

อนึ่ง ในสมัยโบราณช่วงฤดูน้ำหลากมาก
จะมีร่องน้ำยุคโบราณที่สามารถเดินเรือ
จากทะเลน้อยไปนครศรีธรรมาราชได้เลย
ในแผนที่โบราณมักจะเขียนว่า
เป็นทางออกของทะเลน้อย
หรือทะเลน้อยเดิมเชื่อมต่อกับอ่าวไทย

พระนางเลือดขาว เวลาถูกของมีคม
เช่น มีด หนาม เสี้ยนไม้ เข็ม
เลือดที่ไหลออกมาจะเป็นสีขาว
พระนางชราภาพแล้วสิ้นพระชนม์อย่างสงบ
มีพิธีพระราชทานเพลิงศพโดยพระกุมาร
ซึ่งเป็นโอรสของเจ้าพระยานครศรีธรรมโศกราช
ที่พัทลุงแถวบ้านเกิดพระนาง
แล้วลอยพระอังคารในทะเลน้อย
.



.
ตำนานลังกาวี



พระนางถูกพระมเหสีร่วมพระสวามีอีก 3 คน
(มุสลิมมีเมียได้ 4 คนถ้าเมียหลวงยอมให้มี)
กับพระอนุชาของพระสวามี
ร่วมกันใส่ร้ายป้ายสีเธอ ด้วยข้อหาคบชู้
กับจะร่วมมือกับชายชู้คิดการกบฎ
จนถูกรายารักษาราชการแทน
ออกคำสั่งให้ตัดหัวประหารขีวิต
ช่วงพระสวามีของนางไปรบต่างเมือง

ก่อนที่พระนางจะถูกตัดคอ
(บางคนว่าใช้มีดแทงตรงสะบักเข้าที่หัวใจ)
แต่ตำนานชาวบ้านเล่าว่าตัดคอแบบสยาม
เพราะนางเป็นคนสยามที่พระสวามีรักมาก
พระนางได้ขอพิษฐาน(อธิษฐาน)ว่า
ถ้าพระนางบริสุทธิ์จริง ขอให้เลือดเป็นสีขาว
พร้อมกับสาปแช่งว่า ให้หาดทรายเกาะลังกาวีเป็นสีดำ บ้านเมืองไม่เจริญ 7 ชั่วโคตร

.

.



พอเพชรฆาตตัดคอพระนาง
เลือดพระนางไหลขึ้นบนท้องฟ้าทั้งหมด
ไหลขึ้นไปเป็นแนวยาวสีขาว หายวับไปกับตา
หาดทรายลังกาวีก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีดำ
บ้านเมืองก็เริ่มรกร้างไม่เจริญ
ยังมีหลุมศพพระนางฝังเคียงข้างพระสวามี
ฝังไว้ที่ลังกาวี ผมเคยไปเยี่ยมชม

น้องชายพระนางเลือดขาวกลัวถูกหางเลข
(ติดร่างแหว่าร่วมมือกับพระนางไปด้วย
ในยุคนั้น ฝ่ายขบถมักจะถูกฆ่าล้างโคตร)
เลยอพยพหลบหนีพาครอบครัวมาทางเรือ
ลัดเลาะมาตามเกาะแก่งต่าง ๆ
ในทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย
ย้ายครอบครัวมาตั้งรกรากอยู่ที่เกาะภูเก็ต
ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะลังกาวีร่วม 400 กิโลเมตร
จัดว่าไกลมากในยุค Analog
และแถบน่านน้ำนี้เป็นดินแดนอิทธิพลสยาม
แบบไม่แน่จริง อย่ามาแหยม อาจเจ็บตัวได้

มหาเธห์ เลยเอาตำนานเรื่องนี้มาติดตาม
ทายาทพระนางเลือดขาว ให้ไปล้างคำสาป
ตามจนเจอสาวไทย ศิรินทรา ยายี
ซึ่งเธอเป็นรุ่นลูกของลืด ที่สืบเชื้อสาย
จากน้องชายพระนางเลือดขาว
(ลูก หลาน เหลน ลื่อ ลืบ ลืด = 7 ชั่วคนพอดี)
ให้เธอไปแก้อาถรรพ์ที่เกาะลังกาวี
เพราะมาเลย์ต้องการจะทำให้เกาะลังกาวี
เป็นเมือง DutyFree กับส่งเสริมการท่องเที่ยว
.



แต่จริง ๆ แขกมาเลย์ฉลาดแบบเจ้าเล่ห์
ต้องการให้เป็นข่าวดังระดับ Talk of the town
กับเป็นการประชาสัมพันธ์ระดับโลก
เป็นข่าวดังแบบไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ดังไปทั่วโลก
ทุกสำนักข่าวต่างแห่มาติดตามทำข่าวเรื่องนี้
เพราะข่าวลี้ลับตำนานการแก้อาถรรพ์
เป็นเรื่องที่คนทั่วไปอยากรู้อยากเห็น
กับในประเทศมุสลิมไม่ค่อยมีข่าวเรื่องนี้
เหมือนการหาเสียงของชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์
ในสมัยก่อนที่ชอบทำตนให้เป็นข่าวดัง

ศิรินทรา  ยายี  ทายาทพระนางเลือดขาว
เธอจบการศึกษาปริญญาตรีมนุษยศาสตร์
ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง  เธอแต่งงานแล้ว
ตอนนี้เธอทำงานอยู่ที่สนามบินภูเก็ต
เธอจัดว่าเป็นสตรีที่สวยมาก จนถึงทุกวันนี้

ผมกับครอบครัวแวะไปเยี่ยมเธอ
ถึงที่บ้านสามีเธอตอนวันหยุดราชการ
โดยไปกับน้าชายญาติฝ่ายภริยา
ที่เคยสอนเธอที่โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด
ไปที่บ้านเดิมของเธอที่แถวหาดสุรินทร์
แต่ไม่เจอเธอ เจอปู่ของเธอเลยสอบถามเรื่องนี้
ปู่เธอเชิญให้เข้านั่งในบ้านก่อน
พร้อมกับนำรูปเธอที่ไปทำพิธีกรรม
ที่มาเลย์ให้ดูก่อน แล้วบอกว่าเธอแต่งงานแล้ว ย้ายไปอยู่แถวหาดกมลา

พวกผมเลยตามไปจนเจอเธอคนดังในตำนาน
เหมือนคนไทยคนมาเลย์ที่ชอบพบเธอมาก
ในช่วงที่เธอเป็นข่าวดังทั่วโลกในตอนนั้น

เธอมีชื่อเรียกกันในครอบครัวเธอว่า อาชะ
คนมาเลย์ที่รู้จักเธอเพราะตำนานนี้
ชอบขอถ่ายรูปกับเธอมาก
เวลาเจอเธอที่สนามบินภูเก็ต

ยังมีตำนานคนบนเกาะลังกาวีเล่าว่า
หาดทรายดำ
เพราะมีการเผาข้าวสารบนชายหาด
โดยพวกนักรบสยามที่เป็นฝ่ายตรงข้าม
เพื่อให้ชาวบ้านบนเกาะอดข้าวตาย
ต้องอพยพหลบหนีไปที่อื่นจนเป็นเมืองร้าง
แต่ผมเดินดูแล้วกับหยิบทรายขึ้นมาดู
เป็นทรายดำตามธรรมชาติ
จากแร่หินชนิดหนึ่งที่บนเกาะมีอยู่มาก
น่าจะแตกกระจายและไหลลงมาบนหาดทราย
จนเกิดการกัดกร่อน เพราะทะเลฝั่งนี้น้ำขึ้นน้ำลง
เห็นได้ชัดกว่าอ่าวไทยมาก
ทรายดำบนชายหาดเกาะลังกาวี
ไม่ใช่โคลนหรือดินเลน
บนเกาะด้านในยังมีแหล่งปูนขาว
ที่ผลิตปูนซีเมนต์ด้วย  มีโรงงานตั้งอยู่
เคยนั่งรถยนต์ผ่านเห็นยังเปิดสายการผลิตอยู่


เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ
ก่อนเลือนหายไปเหมือนกรวดทรายในท้องทะเล
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่