.
Nguyen Thi Kim Lai ใช้ปืนจี้
ทหาร William Robinson
ไปเข้าคุก 1965 Phan Thoan
.
.
มีภาพถ่ายเพียงไม่กี่ภาพที่บอกเล่าถึง
จิตวิญญาณของสงครามได้อย่างเร้าใจเร้าอารมณ์
ภาพที่ตัดกันระหว่างเชลยศึกทหารอเมริกันร่างยักษ์อุ้ยอ้าย
กับผู้คุมทหารหญิงเวียตนามร่างเล็กปราดเปรียว
แม้ว่าทหารร่างยักษ์กำลังเดินนำ
โดยมีทหารร่างเล็กใช้ปืนจี้ให้เดินนำ
ดูเหมือนว่าทหารอเมริกันจะอ่อนน้อมถ่อมตน
ให้กับทหารเวียตนามที่เป็นฝ่ายมีชัยชนะในครั้งนี้
ทำให้เกิดมุมมองที่แตกต่างกันมาก
ทั้งผู้ชมภายในประเทศและต่างประเทศ
แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเหนือกว่าเวียตกงมาก
ทั้งยังให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี
และอาวุธสงครามให้กับเวียตนามใต้
แต่ทหารสหรัฐก็ถูกเขย่าขวัญและต้องรับมือกับ
การรบและการต้านทานการรบแบบกองโจร
ส่วนพวกเวียตกงได้รับการสนับสนุน
อาวุธสงครามเพียงเล็กน้อยจากจีนและรัสเซีย
แต่สิ่งที่พวกเขามีมากกว่าอาวุธสงคราม
คือ ความความมุ่งมั่นและใจเกินร้อยในการรบ
ภาพถ่ายรูปนี้ใช้เป็นภาพลักษณ์
และใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ
ของกองทัพเวียตกง/แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติเวียตนาม
บอกเล่าถึงความสำเร็จและกระตุ้นเตือนอสูรสงครามไปทั่วโลก
ให้รับรู้ถึงพิษสงและความสามารถของนักรบเวียตกง
.
.
ภาพซ้อนของทหารสหรัฐอเมริกาและทหารจีน
ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ทั้งคู่ต่างพ่ายแพ้
ในการรบกับกองทัพเวียตนาม
.
.
หลายปีต่อมามีการผลิตภาพนี้ซ้ำอีกครั้ง
หลังเหตุการณ์สู้รบในปี 1979
มีการนำภาพ 2 ภาพมาซ้อนกันเป็นภาพเดียวกัน
เพื่อตอกย้ำถึงอุดมการณ์การต่อสู้ชาวเวียตนามทั้ง 2 ครั้ง
คือสงครามสั่งสอนเวียตนามของจีน
กับสงครามกับสหรัฐอเมริกาในเวียตนามใต้
สงครามสั่งสอนเวียตนามของจีน
ในครั้งนั้น จีนอ้างว่ามีชัยชนะเชิงสัญญลักษณ์
โดยไม่ได้เข้ายึดครองเวียตนามแต่อย่างใด
แม้ว่ามีทหารจีนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก
ทำให้เติ้งเสี่ยวผิงกับบริวารต้องอัปยศ/สำนึกผิดว่า
จีนล้าหลังมากด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และการรบ
จนนำมาสู่การพัฒนาอาวุธหลังสงครามครั้งนั้น
ภาพซ้อนนี้ตัดต่อจากภาพถ่ายที่มีชื่อเสียง
เพียงแต่สนามสู้รบแตกต่างกัน
จัดทำขึ้นโดยกองบรรณาธิการข่าวเวียตนาม
ตอกย้ำถึงการพ่ายแพ้ทั้งของจีนและสหรัฐ
ที่เคยพยายามจะมาบุกรุกเวียตนามที่ด้อยกว่ามาก
แต่คนเวียตนามทุกคนสู้เพื่อเสรีภาพ เอกราช อิสรภาพ
อย่างมุ่งมั่นสู้ตาย เสียสละกล้าหาญ ทะยานล้างโจรทมิฬ
.
.
ภาพในอดีต/ปัจจุบันของทั้งสองคน 1965/1995
.
Nguyen Thi Kim Lai ในตอนนั้นเพิ่งจะอายุ 17 ปี
และเพิ่งจะจับอาวุธปืนไม่นานนัก
กำลังถือปืนจี้หลังทหารสหรัฐ William Robinson
เธอไม่ยอมยิงทหารรายนี้
เพราะเธอคิดถึงน้องสาวตัวน้อยของเธอที่บ้าน
การพบกันอีกครั้งของอดีตคู่ศึกสหรัฐกับเวียตนาม
ทั้งคู่พบกันอีกครั้งหลังเหตุการณ์ครั้งนั้นถึง 30 ปี
คำทักทายประโยคแรกของ William Robinson ก็คือ
" แกยังไม่โตขึ้นเลยนะ "
Nguyen Thi Kim Lai ก็ตอบกลับไปว่า
" ฉันก็ยังไม่อ้วนเหมือนแก "
เธอน้ำหนักขึ้นจาก 37 เป็น 43 กิโลกรัม
ส่วน Robinson น้ำหนักขึ้นจาก 125 เป็น 150 กิโลกรัม
“ เขาเพิ่งจะแต่งงานไม่นานนัก
ส่วนฉันมีครอบครัวเล็ก ๆ แล้วเช่นกัน
ทุกชีวิตต่างอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขอีกครั้ง
ท้ายสุดของชีวิตคือ ความว่างเปล่า
ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว
" เราได้พบกันอีก
ได้รำลึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่ผ่านพ้นไปแล้ว
เหมือนคนรู้จักกันที่ไม่ได้พบกันมานานแล้ว
ได้พูดคุยมองย้อนหลังเรื่องราวในอดีตนั้น
ด้วยความทรงจำที่แสนงดงาม "
สงครามและความขัดแย้ง
ความไร้สาระถึงวิธีการที่แตกต่างกันของ
กลุ่มชาติพันธุ์ เชื้อชาติ สังคม การเมือง ศาสนา วัฒนธรรม พันธมิตร
ทำให้ดูเหมือนกับว่า ยากมากที่มนุษย์จะอยู่ร่วมกันได้
ด้วยความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
และลืมเลือนเรื่องเลวร้ายในอดีตได้
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/q6kUjg
https://goo.gl/zFMNvw
.
.
Nguyen Thi Kim Lai กับหลานของเธอ เมษายน 2012
.
Nguyen Thi Kim Lai เป็นนักรบจรยุทธ์เวียตกง
ช่วงสงครามระหว่างเวียตนามเหนือกับเวียตนามใต้
เธอเข้าร่วมเป็นนักรบขณะที่ยังไม่จบชั้นมัธยมศึกษา
สหรัฐอเมริกาไม่เพียงใช้การทิ้งระเบิดใส่พวกเวียตกงเท่านั้น
ยังใช้เฮลิคอปเตอร์ยิงกราดไปทุกจุด
เหมือนการคั่วกาแฟสาดใส่ทหารกองโจร
" เดือน 9 ในปี 1965
เฮลิคอปเตอร์ได้มาจู่โจมและทิ้งระเบิด
Anh Thái นักรบคนหนึ่งอาสาปีนขึ้นบนต้นไม้สูง
แล้วบังเอิญสามารถยิงถูกใบพัดเฮลิคอปเตอร์
ทำให้นักบินต้องพาเครื่องลงจอดบนภูเขา
ฝ่ายศัตรูได้ใช้เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยจำนวนหลายลำ
เพื่อมาค้นหาและพาพวกทหารที่รอดตายกลับฐานทัพ
ฉันเห็นทหารสหรัฐรายนี้ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่
ฉันค่อนข้างกลัวเพราะเขาตัวใหญ่มากและถือปืนอยู่
แต่ฉันยืนสงบนิ่งและยิงปืนขึ้นฟ้าจำนวน 3 นัด
เขารีบวางปืนทั้ง 2 กระบอกลงบนพื้นแล้วยกมือขึ้นยอมจำนน
เราคุมตัวนักบินไปที่สอบสวนที่ฐานที่มั่น
และ ลุง Phan Thoan เป็นผู้ถ่ายภาพนี้
หลังจากฉันจับนักบินได้แล้ว
ฉันก็ได้รับคำสั่งจากหน่วยเหนือให้อยู่ในกองทหารจรยุทธ์
แต่ฉันขออาสาสมัครเป็นหน่วยพยาบาลแทน
เพราะน้ำหนักฉันน้อยมากและอยากเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ
ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับภาพนี้
และการเขียนบทกวียกยอเรื่องนี้เลย "
ภาพดังกล่าวมีการเผยแพร่กันอย่างแพร่หลาย
เป็นสัญลักษณ์ของคนตัวเล็กอินโดจีนปราบคนชาติมหาอำนาจ
ภาพที่นักรบกองโจรหญิงสูง 147 เซนติเมตร น้ำหนัก 37 กิโลกรัม
คุมตัวเชลยศึกนักบินทหารชายสูง 220 เซนติเมตร น้ำหนัก 125 กิโลกรัม
หลังจากนั้นเธอทำงานกับหน่วยแพทย์จรยุทธ์ที่ Quang Tri
พวกเธอเจอทั้งระเบิดจากเครื่องบิน B52 และการรุกรานทางบก
หน่วยแพทย์เธอมีจำนวน 50 คน รวมแพทย์สนาม 12 คน
ทุกคนต้องพยายามหลบเลี่ยงการโจมตีของฝ่ายศัตรู
" ทุกสองเดือนเราต้องปิดลับย้ายไปที่รบแห่งใหม่ "
หน่วยแพทย์นี้พร้อมทำการรักษาทหารในแนวหน้า
และไปเกือบทุกที่ที่เป็นสนามรบแนวหน้า
ทหารที่บาดเจ็บ/มีบาดแผลเล็กน้อยก็ทำการรักษาได้เลย
แต่ถ้าบาดเจ็บสาหัสจะรักษาเบื้องต้นก่อน
แล้วค่อยหาทางพาไปรักษาในแนวหลัง
" หลังจากช่วงการรบปี 1968
พวกเราถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักจากเครื่องบิน B52
พวกเราทำงานกันหนักมาก
ทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาหลายวัน
พวกเราแทบไม่ได้หลับได้นอนเลย
แทบจะไม่มีเวลาจะกินข้าว
มีงานต้องทำที่สำคัญมาก
เพราะการทิ้งระเบิดของศัตรูรุนแรงมาก
เพื่อหยุดยั้งการรุกคืบหน้าของพวกเรา
พวกเราได้ชุดทหารเพียงปีละ 2 ชุด
ใช้ในหน้าหนาวกับหน้าร้อน ไม่มีชุดเสื้อชั้นใน "
การรบกองโจรยังมีอยู่ต่อไป
ตอนนั้นเธออายุได้ 20 ปีเศษแล้ว
แม้ว่าหน่วยแพทย์จะได้รับคำสั่ง
ไม่ให้ไปร่วมรบ/อยู่ที่แนวหน้า
ให้รอคอยรักษาพยาบาลทหารที่ได้รับบาดเจ็บ
แต่ระเบิดก็ทิ้งกันแบบปูพรม
จนแทบไม่ต่างกันเลยทั้งแนวหน้าแนวหลัง
" แล้ววันหนึ่ง ระเบิดก็ทิ้งลงมาแบบห่าฝน
ทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยระเบิด
ฉันตกอยู่ภายใต้ความกดดันและความเครียด
เหมือนกับระเบิดอยู่ในท้องของฉันเลยทีเดียว "
วันรุ่งขึ้นเธอถูกปลุกขึ้นมา
เพราะสหายร่วมรบหน่วยแพทย์เธอสองคนถูกระเบิด
" Quang Binh Le Thi Luyen
กับ Tran Thi Nam Ha Tinh ถูกระเบิด
ส่วน Luyen South ถูกยิงบาดเจ็บ
พวกเราต้องรักษาไปพลาง รบกับเหาไปพลาง
ทุกคนในหน่วยแพทย์ต่างร้องไห้กันอย่างเงียบ ๆ
แล้วพวกเราก็ช่วยเหลือชีวิตพวกเธอไม่ได้
เพราะพวกเธอบาดเจ็บสาหัสมากเกินไปแล้ว "
แล้ววันหนึ่ง Nguyen Thi Kim Lai
ก็ได้รับจดหมายจากหน่วยเหนือแจ้งให้ทราบว่า
ภาพของเธอได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่อย่างแพร่หลาย
เธอแทบจะไม่เชื่อกับสายตาของเธอเลยที่เห็นภาพนี้
เธอได้รับบาดเจ็บใน 1968
ในปลายปี 1969
Nguyen Thi Kim Lai ก็ได้ย้ายไปยังหน่วยเหนือที่ Ha Tinh
เหตุผลก็คือ สุขภาพของเธอเริ่มมีปัญหา
เพราะเสียงระเบิดที่กดดันอย่างมาก
ทำให้หูของเธอเริ่มมีปัญหาในการรับฟัง
เธอทำงานที่โรงพยาบาลจนเกษียณอายุ
เธอกลายเป็นที่รู้จักของผู้สื่อข่าวต่างประเทศจำนวนมาก
ที่มักจะถามหาและขอให้เธอยืนยันว่า
ภาพนี้เป็นภาพจริงไม่ใช่ภาพจัดฉาก
แต่เธอยังจดจำรำลึกถึงทีมแพทย์ของเธอเสมอ
ที่ร่วมรบและเผชิญหน้ากับการทิ้งระเบิดของเครื่องบิน B52
" ในปี 1979 ทีมแพทย์นี้ถูกย้ายไป
ที่ชายแดนทางทิศเหนือ
หลังจากสงครามสิ้นสุดลง
(สงครามจีนสั่งสอนเวียตนาม)
ทีมแพทย์นี้ก็สลายตัวไป
ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
ฉันเองก็อยากจะทราบข้อมูลบางอย่าง
เพื่อช่วยครอบครัว Tran Thi Nam Ha Tinh
หาที่ฝังศพของผู้ตายรายนี้ด้วย
(ไปทำพิธีทางศาสนา)
แต่หลังจากหลายปีที่ผ่านมา
ฉันก็ไม่เคยได้พบกับใครสักคนในทีมอีกเลย
ฉันจำผู้นำทีมได้คือ หมอ Mac You
กับรองหัวหน้าทีม หมอ Pha
หมอหลายคนอายุมากกว่าพวกเรา
พวกท่านน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว
ฉันหวังแต่ว่าจะได้พบกับหมอและพยาบาล
ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉัน
เพราะตอนนี้ฉันอายุ 70 แล้ว "
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/OiVUBn
.
.
.
ในวันที่ 20 กันยายน 1965
ภารกิจของ William Robinson หรือ Bill ก็เหมือนปรกติทุกวัน
แต่เขาจบสิ้นภารกิจในวันนั้นด้วยการเป็นเชลยศึกติดคุกเป็นเวลา 7 ปี 5 เดือน
นักโทษเชลยศึกสหรัฐที่ติดคุกยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ทหารสหรัฐ
Huskie Helicopter ของเขากับพวกทหารที่เข้าโจมตีถูกยิงตกในตอนเช้า
และแล้ว Bill Robinson กับทหารบนเฮลิคอปเตอร์ต่างก็ตกเป็นนักโทษ
Bill Robinson ถูกย้ายไปเรือนจำ Hanoi Hilton Prison
ที่ดูแลโดยกองทัพเวียตนามเหนือ
Bill Robinson มีชีวิตรอดตายได้แบบเหลือเชื่อ
เพราะถูกซ้อม ถูกทรมาน ถูกอดอาหาร
ทั้งยังเห็นเพื่อนนักโทษตายต่อหน้าต่อตาหลายคน
Bill Robinson ถูกปล่อยตัววันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1973
เขาได้บอกถึงการมีชีวิตอยู่รอดแบบวันต่อวัน
ด้วยการพร่ำบอกกับตนเองว่า
อยู่ในเวียตนามเพียง 3 วันเท่านั้น
" ผมเพิ่งถูกยิงตกเมื่อวาน
วันนี้ คือ วันนี้
พรุ่งนี้ก็ได้กลับบ้านแล้ว "
Bill Robinson ต้องตอกย้ำและปลุกปลอบใจตนเอง
ด้วยความหวังว่าจะได้รับการปล่อยตัวและกลับบ้านได้
Bill รู้ดีว่าต้องทำตัวให้แข็งแรง
ทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อให้รอดตาย
หลังจากได้รับการปล่อยตัว
Bill Robinson ได้เลื่อนยศเป็นเรือโท
แต่ก็ยังทำตัวค่อนข้างถ่อมตนเสมอ
และมักจะบอกว่า เขาคือ 1 ในทหารผ่านศึก 7.3 ล้านคน
ที่มีเรื่องราวบอกเล่าเพราะเขารอดตายเท่านั้นเอง
แต่อีกหลายพันหลายหมื่นเรื่องกลายเป็นโศกนาฎกรรม
เพราะผู้คนเหล่านั้นต่างไม่รอดตายจากสงคราม
Bill Robinson รับรัฐการจนเกษียณในตำแหน่งนาวาเอกในปี 1984
เขาได้รับรางวัล Air Force Cross, Silver Star, Legion of Merit
Bronze Star, POW Medal และ Purple Hearts 2 เหรียญ
เขาได้รับการจดจำจากทหารหลายต่อหลายคน
ถึงการดำรงไว้ซึ่งหน้าที่และเกียรติยศ
ภายใต้สถานะภาพที่ยากลำบากที่สุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
เขาได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่าคือ
ผู้รอดตายที่แท้จริง
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/JxWpOh
.
.
ข้อมูล/ไทย
.
เครื่องบิน B52
เฮลิคอปเตอร์ Huskie
.
.
30 ปีของการพบกันอีกครั้งระหว่างคู่ศึกสหรัฐกับเวียตนาม
Nguyen Thi Kim Lai ใช้ปืนจี้
ทหาร William Robinson
ไปเข้าคุก 1965 Phan Thoan
.
.
มีภาพถ่ายเพียงไม่กี่ภาพที่บอกเล่าถึง
จิตวิญญาณของสงครามได้อย่างเร้าใจเร้าอารมณ์
ภาพที่ตัดกันระหว่างเชลยศึกทหารอเมริกันร่างยักษ์อุ้ยอ้าย
กับผู้คุมทหารหญิงเวียตนามร่างเล็กปราดเปรียว
แม้ว่าทหารร่างยักษ์กำลังเดินนำ
โดยมีทหารร่างเล็กใช้ปืนจี้ให้เดินนำ
ดูเหมือนว่าทหารอเมริกันจะอ่อนน้อมถ่อมตน
ให้กับทหารเวียตนามที่เป็นฝ่ายมีชัยชนะในครั้งนี้
ทำให้เกิดมุมมองที่แตกต่างกันมาก
ทั้งผู้ชมภายในประเทศและต่างประเทศ
แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเหนือกว่าเวียตกงมาก
ทั้งยังให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี
และอาวุธสงครามให้กับเวียตนามใต้
แต่ทหารสหรัฐก็ถูกเขย่าขวัญและต้องรับมือกับ
การรบและการต้านทานการรบแบบกองโจร
ส่วนพวกเวียตกงได้รับการสนับสนุน
อาวุธสงครามเพียงเล็กน้อยจากจีนและรัสเซีย
แต่สิ่งที่พวกเขามีมากกว่าอาวุธสงคราม
คือ ความความมุ่งมั่นและใจเกินร้อยในการรบ
ภาพถ่ายรูปนี้ใช้เป็นภาพลักษณ์
และใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ
ของกองทัพเวียตกง/แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติเวียตนาม
บอกเล่าถึงความสำเร็จและกระตุ้นเตือนอสูรสงครามไปทั่วโลก
ให้รับรู้ถึงพิษสงและความสามารถของนักรบเวียตกง
.
ภาพซ้อนของทหารสหรัฐอเมริกาและทหารจีน
ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ทั้งคู่ต่างพ่ายแพ้
ในการรบกับกองทัพเวียตนาม
.
.
หลายปีต่อมามีการผลิตภาพนี้ซ้ำอีกครั้ง
หลังเหตุการณ์สู้รบในปี 1979
มีการนำภาพ 2 ภาพมาซ้อนกันเป็นภาพเดียวกัน
เพื่อตอกย้ำถึงอุดมการณ์การต่อสู้ชาวเวียตนามทั้ง 2 ครั้ง
คือสงครามสั่งสอนเวียตนามของจีน
กับสงครามกับสหรัฐอเมริกาในเวียตนามใต้
สงครามสั่งสอนเวียตนามของจีน
ในครั้งนั้น จีนอ้างว่ามีชัยชนะเชิงสัญญลักษณ์
โดยไม่ได้เข้ายึดครองเวียตนามแต่อย่างใด
แม้ว่ามีทหารจีนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก
ทำให้เติ้งเสี่ยวผิงกับบริวารต้องอัปยศ/สำนึกผิดว่า
จีนล้าหลังมากด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และการรบ
จนนำมาสู่การพัฒนาอาวุธหลังสงครามครั้งนั้น
ภาพซ้อนนี้ตัดต่อจากภาพถ่ายที่มีชื่อเสียง
เพียงแต่สนามสู้รบแตกต่างกัน
จัดทำขึ้นโดยกองบรรณาธิการข่าวเวียตนาม
ตอกย้ำถึงการพ่ายแพ้ทั้งของจีนและสหรัฐ
ที่เคยพยายามจะมาบุกรุกเวียตนามที่ด้อยกว่ามาก
แต่คนเวียตนามทุกคนสู้เพื่อเสรีภาพ เอกราช อิสรภาพ
อย่างมุ่งมั่นสู้ตาย เสียสละกล้าหาญ ทะยานล้างโจรทมิฬ
.
.
ภาพในอดีต/ปัจจุบันของทั้งสองคน 1965/1995
.
Nguyen Thi Kim Lai ในตอนนั้นเพิ่งจะอายุ 17 ปี
และเพิ่งจะจับอาวุธปืนไม่นานนัก
กำลังถือปืนจี้หลังทหารสหรัฐ William Robinson
เธอไม่ยอมยิงทหารรายนี้
เพราะเธอคิดถึงน้องสาวตัวน้อยของเธอที่บ้าน
การพบกันอีกครั้งของอดีตคู่ศึกสหรัฐกับเวียตนาม
ทั้งคู่พบกันอีกครั้งหลังเหตุการณ์ครั้งนั้นถึง 30 ปี
คำทักทายประโยคแรกของ William Robinson ก็คือ
" แกยังไม่โตขึ้นเลยนะ "
Nguyen Thi Kim Lai ก็ตอบกลับไปว่า
" ฉันก็ยังไม่อ้วนเหมือนแก "
เธอน้ำหนักขึ้นจาก 37 เป็น 43 กิโลกรัม
ส่วน Robinson น้ำหนักขึ้นจาก 125 เป็น 150 กิโลกรัม
“ เขาเพิ่งจะแต่งงานไม่นานนัก
ส่วนฉันมีครอบครัวเล็ก ๆ แล้วเช่นกัน
ทุกชีวิตต่างอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขอีกครั้ง
ท้ายสุดของชีวิตคือ ความว่างเปล่า
ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว
" เราได้พบกันอีก
ได้รำลึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่ผ่านพ้นไปแล้ว
เหมือนคนรู้จักกันที่ไม่ได้พบกันมานานแล้ว
ได้พูดคุยมองย้อนหลังเรื่องราวในอดีตนั้น
ด้วยความทรงจำที่แสนงดงาม "
สงครามและความขัดแย้ง
ความไร้สาระถึงวิธีการที่แตกต่างกันของ
กลุ่มชาติพันธุ์ เชื้อชาติ สังคม การเมือง ศาสนา วัฒนธรรม พันธมิตร
ทำให้ดูเหมือนกับว่า ยากมากที่มนุษย์จะอยู่ร่วมกันได้
ด้วยความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
และลืมเลือนเรื่องเลวร้ายในอดีตได้
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/q6kUjg
https://goo.gl/zFMNvw
.
.
Nguyen Thi Kim Lai กับหลานของเธอ เมษายน 2012
.
Nguyen Thi Kim Lai เป็นนักรบจรยุทธ์เวียตกง
ช่วงสงครามระหว่างเวียตนามเหนือกับเวียตนามใต้
เธอเข้าร่วมเป็นนักรบขณะที่ยังไม่จบชั้นมัธยมศึกษา
สหรัฐอเมริกาไม่เพียงใช้การทิ้งระเบิดใส่พวกเวียตกงเท่านั้น
ยังใช้เฮลิคอปเตอร์ยิงกราดไปทุกจุด
เหมือนการคั่วกาแฟสาดใส่ทหารกองโจร
" เดือน 9 ในปี 1965
เฮลิคอปเตอร์ได้มาจู่โจมและทิ้งระเบิด
Anh Thái นักรบคนหนึ่งอาสาปีนขึ้นบนต้นไม้สูง
แล้วบังเอิญสามารถยิงถูกใบพัดเฮลิคอปเตอร์
ทำให้นักบินต้องพาเครื่องลงจอดบนภูเขา
ฝ่ายศัตรูได้ใช้เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยจำนวนหลายลำ
เพื่อมาค้นหาและพาพวกทหารที่รอดตายกลับฐานทัพ
ฉันเห็นทหารสหรัฐรายนี้ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่
ฉันค่อนข้างกลัวเพราะเขาตัวใหญ่มากและถือปืนอยู่
แต่ฉันยืนสงบนิ่งและยิงปืนขึ้นฟ้าจำนวน 3 นัด
เขารีบวางปืนทั้ง 2 กระบอกลงบนพื้นแล้วยกมือขึ้นยอมจำนน
เราคุมตัวนักบินไปที่สอบสวนที่ฐานที่มั่น
และ ลุง Phan Thoan เป็นผู้ถ่ายภาพนี้
หลังจากฉันจับนักบินได้แล้ว
ฉันก็ได้รับคำสั่งจากหน่วยเหนือให้อยู่ในกองทหารจรยุทธ์
แต่ฉันขออาสาสมัครเป็นหน่วยพยาบาลแทน
เพราะน้ำหนักฉันน้อยมากและอยากเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ
ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับภาพนี้
และการเขียนบทกวียกยอเรื่องนี้เลย "
ภาพดังกล่าวมีการเผยแพร่กันอย่างแพร่หลาย
เป็นสัญลักษณ์ของคนตัวเล็กอินโดจีนปราบคนชาติมหาอำนาจ
ภาพที่นักรบกองโจรหญิงสูง 147 เซนติเมตร น้ำหนัก 37 กิโลกรัม
คุมตัวเชลยศึกนักบินทหารชายสูง 220 เซนติเมตร น้ำหนัก 125 กิโลกรัม
หลังจากนั้นเธอทำงานกับหน่วยแพทย์จรยุทธ์ที่ Quang Tri
พวกเธอเจอทั้งระเบิดจากเครื่องบิน B52 และการรุกรานทางบก
หน่วยแพทย์เธอมีจำนวน 50 คน รวมแพทย์สนาม 12 คน
ทุกคนต้องพยายามหลบเลี่ยงการโจมตีของฝ่ายศัตรู
" ทุกสองเดือนเราต้องปิดลับย้ายไปที่รบแห่งใหม่ "
หน่วยแพทย์นี้พร้อมทำการรักษาทหารในแนวหน้า
และไปเกือบทุกที่ที่เป็นสนามรบแนวหน้า
ทหารที่บาดเจ็บ/มีบาดแผลเล็กน้อยก็ทำการรักษาได้เลย
แต่ถ้าบาดเจ็บสาหัสจะรักษาเบื้องต้นก่อน
แล้วค่อยหาทางพาไปรักษาในแนวหลัง
" หลังจากช่วงการรบปี 1968
พวกเราถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักจากเครื่องบิน B52
พวกเราทำงานกันหนักมาก
ทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาหลายวัน
พวกเราแทบไม่ได้หลับได้นอนเลย
แทบจะไม่มีเวลาจะกินข้าว
มีงานต้องทำที่สำคัญมาก
เพราะการทิ้งระเบิดของศัตรูรุนแรงมาก
เพื่อหยุดยั้งการรุกคืบหน้าของพวกเรา
พวกเราได้ชุดทหารเพียงปีละ 2 ชุด
ใช้ในหน้าหนาวกับหน้าร้อน ไม่มีชุดเสื้อชั้นใน "
การรบกองโจรยังมีอยู่ต่อไป
ตอนนั้นเธออายุได้ 20 ปีเศษแล้ว
แม้ว่าหน่วยแพทย์จะได้รับคำสั่ง
ไม่ให้ไปร่วมรบ/อยู่ที่แนวหน้า
ให้รอคอยรักษาพยาบาลทหารที่ได้รับบาดเจ็บ
แต่ระเบิดก็ทิ้งกันแบบปูพรม
จนแทบไม่ต่างกันเลยทั้งแนวหน้าแนวหลัง
" แล้ววันหนึ่ง ระเบิดก็ทิ้งลงมาแบบห่าฝน
ทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยระเบิด
ฉันตกอยู่ภายใต้ความกดดันและความเครียด
เหมือนกับระเบิดอยู่ในท้องของฉันเลยทีเดียว "
วันรุ่งขึ้นเธอถูกปลุกขึ้นมา
เพราะสหายร่วมรบหน่วยแพทย์เธอสองคนถูกระเบิด
" Quang Binh Le Thi Luyen
กับ Tran Thi Nam Ha Tinh ถูกระเบิด
ส่วน Luyen South ถูกยิงบาดเจ็บ
พวกเราต้องรักษาไปพลาง รบกับเหาไปพลาง
ทุกคนในหน่วยแพทย์ต่างร้องไห้กันอย่างเงียบ ๆ
แล้วพวกเราก็ช่วยเหลือชีวิตพวกเธอไม่ได้
เพราะพวกเธอบาดเจ็บสาหัสมากเกินไปแล้ว "
แล้ววันหนึ่ง Nguyen Thi Kim Lai
ก็ได้รับจดหมายจากหน่วยเหนือแจ้งให้ทราบว่า
ภาพของเธอได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่อย่างแพร่หลาย
เธอแทบจะไม่เชื่อกับสายตาของเธอเลยที่เห็นภาพนี้
เธอได้รับบาดเจ็บใน 1968
ในปลายปี 1969
Nguyen Thi Kim Lai ก็ได้ย้ายไปยังหน่วยเหนือที่ Ha Tinh
เหตุผลก็คือ สุขภาพของเธอเริ่มมีปัญหา
เพราะเสียงระเบิดที่กดดันอย่างมาก
ทำให้หูของเธอเริ่มมีปัญหาในการรับฟัง
เธอทำงานที่โรงพยาบาลจนเกษียณอายุ
เธอกลายเป็นที่รู้จักของผู้สื่อข่าวต่างประเทศจำนวนมาก
ที่มักจะถามหาและขอให้เธอยืนยันว่า
ภาพนี้เป็นภาพจริงไม่ใช่ภาพจัดฉาก
แต่เธอยังจดจำรำลึกถึงทีมแพทย์ของเธอเสมอ
ที่ร่วมรบและเผชิญหน้ากับการทิ้งระเบิดของเครื่องบิน B52
" ในปี 1979 ทีมแพทย์นี้ถูกย้ายไป
ที่ชายแดนทางทิศเหนือ
หลังจากสงครามสิ้นสุดลง
(สงครามจีนสั่งสอนเวียตนาม)
ทีมแพทย์นี้ก็สลายตัวไป
ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
ฉันเองก็อยากจะทราบข้อมูลบางอย่าง
เพื่อช่วยครอบครัว Tran Thi Nam Ha Tinh
หาที่ฝังศพของผู้ตายรายนี้ด้วย
(ไปทำพิธีทางศาสนา)
แต่หลังจากหลายปีที่ผ่านมา
ฉันก็ไม่เคยได้พบกับใครสักคนในทีมอีกเลย
ฉันจำผู้นำทีมได้คือ หมอ Mac You
กับรองหัวหน้าทีม หมอ Pha
หมอหลายคนอายุมากกว่าพวกเรา
พวกท่านน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว
ฉันหวังแต่ว่าจะได้พบกับหมอและพยาบาล
ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉัน
เพราะตอนนี้ฉันอายุ 70 แล้ว "
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/OiVUBn
.
.
.
ในวันที่ 20 กันยายน 1965
ภารกิจของ William Robinson หรือ Bill ก็เหมือนปรกติทุกวัน
แต่เขาจบสิ้นภารกิจในวันนั้นด้วยการเป็นเชลยศึกติดคุกเป็นเวลา 7 ปี 5 เดือน
นักโทษเชลยศึกสหรัฐที่ติดคุกยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ทหารสหรัฐ
Huskie Helicopter ของเขากับพวกทหารที่เข้าโจมตีถูกยิงตกในตอนเช้า
และแล้ว Bill Robinson กับทหารบนเฮลิคอปเตอร์ต่างก็ตกเป็นนักโทษ
Bill Robinson ถูกย้ายไปเรือนจำ Hanoi Hilton Prison
ที่ดูแลโดยกองทัพเวียตนามเหนือ
Bill Robinson มีชีวิตรอดตายได้แบบเหลือเชื่อ
เพราะถูกซ้อม ถูกทรมาน ถูกอดอาหาร
ทั้งยังเห็นเพื่อนนักโทษตายต่อหน้าต่อตาหลายคน
Bill Robinson ถูกปล่อยตัววันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1973
เขาได้บอกถึงการมีชีวิตอยู่รอดแบบวันต่อวัน
ด้วยการพร่ำบอกกับตนเองว่า
อยู่ในเวียตนามเพียง 3 วันเท่านั้น
" ผมเพิ่งถูกยิงตกเมื่อวาน
วันนี้ คือ วันนี้
พรุ่งนี้ก็ได้กลับบ้านแล้ว "
Bill Robinson ต้องตอกย้ำและปลุกปลอบใจตนเอง
ด้วยความหวังว่าจะได้รับการปล่อยตัวและกลับบ้านได้
Bill รู้ดีว่าต้องทำตัวให้แข็งแรง
ทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อให้รอดตาย
หลังจากได้รับการปล่อยตัว
Bill Robinson ได้เลื่อนยศเป็นเรือโท
แต่ก็ยังทำตัวค่อนข้างถ่อมตนเสมอ
และมักจะบอกว่า เขาคือ 1 ในทหารผ่านศึก 7.3 ล้านคน
ที่มีเรื่องราวบอกเล่าเพราะเขารอดตายเท่านั้นเอง
แต่อีกหลายพันหลายหมื่นเรื่องกลายเป็นโศกนาฎกรรม
เพราะผู้คนเหล่านั้นต่างไม่รอดตายจากสงคราม
Bill Robinson รับรัฐการจนเกษียณในตำแหน่งนาวาเอกในปี 1984
เขาได้รับรางวัล Air Force Cross, Silver Star, Legion of Merit
Bronze Star, POW Medal และ Purple Hearts 2 เหรียญ
เขาได้รับการจดจำจากทหารหลายต่อหลายคน
ถึงการดำรงไว้ซึ่งหน้าที่และเกียรติยศ
ภายใต้สถานะภาพที่ยากลำบากที่สุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
เขาได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่าคือ
ผู้รอดตายที่แท้จริง
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/JxWpOh
.
.
ข้อมูล/ไทย
.
เครื่องบิน B52
เฮลิคอปเตอร์ Huskie
.
.