สวัสดีค่ะ การตั้งกระทู้ในครั้งนี้ ตั้งขึ้นเพราะอยากถามไถ่คนอื่น ๆ ว่าคนในครอบครัวของคุณเคยมีอาการจิตเภทบ้างรึเปล่า แล้วในระหว่างนั้นคนในครอบครัวปฏิบัติตัวต่อผู้ป่วยอย่างไรบ้างคะ ส่วนตัวเราแม่เรามีอาการจิตเภทค่ะ เป็นมาหกปีแล้ว ในช่วงปีแรก ๆ อาการจะยังไม่ชัดเจนมากนัก พอเริ่มเข้าปีที่สอง ก็เริ่มใช้ชีวิตลำบาก ทั้งตัวเรา ทัศนคติ ความคิดของตัวเราและคนอื่นที่มีต่อแม่ เริ่มเปลี่ยนไปในทางลบ
.
อาการป่วยของแม่เอาแบบย่อ ๆ นะคะ จะแสดงออกในทางบวก (positive symptoms) ค่ะ คือ อาการหลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ มีพลังวิเศษ ได้ยินคนคุยกันตลอดเวลา เห็นภาพต่าง ๆ และรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นอิสระ รู้สึกว่าโดนบังคับ ในด้านอารมณ์จะโกรธง่ายหายเร็วแบบสุดขั้วค่ะ พลิกกลับไปกลับมาเร็วมากและรุนแรงพอสมควรค่ะ
.
ทีนี้ถามว่า แล้วทำไมไม่รีบพาไปรักษาล่ะ? เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะตัวเอง
.
ฐานะทางบ้านของเราอยู่กลาง ๆ ค่ะ พ่อทำงานคนเดียวหาเลี้ยงทั้งแม่และเรา ตอนนั้นเราเรียนอยู่มัธยมค่ะ เลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะเลย ทั้งพ่อแองก็ทำงานหนัก ไม่อยากรบกวนพ่อ อีกทั้งพ่อทำงานไกลบ้านค่ะไม่ค่อยได้เห็นอาการป่วยของแม่เหมือนเรา แต่เราก็พยายามเล่าให้ฟังนะคะ มีวันนึงที่เราทะเลาะกับแม่ เพราะความเห็นไม่ตรงกัน (ผู้ป่วยจิตเภทมีความคิดที่ไม่สมเหตุไม่สมผลอยู่แล้วค่ะ ต้องตั้งสติเยอะมาก เหตุผลที่ใช้กับคนปกติ เราเอามาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้เลยค่ะ) เราทะเลาะกันเสียงดังเพราะเราเครียดมากที่แม่มีอาการแปลก ๆ ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง ไม่กล้าถามใคร เพราะรู้ว่าระแวกบ้านเขาไม่โอเคกับแม่ (เพราะเขาเห็นอาการค่ะ) วันนั้นในขณะที่แม่อาบน้ำ เราโทรคุยกับพ่อ บอกพ่อว่า "หนูไม่ไหวแล้ว หนูจะไม่อยู่แล้ว" ใช่ค่ะ เราจะฆ่าตัวตาย วันนั้นพ่อบอกกับเราว่า "ทำแบบนั้นไม่ได้" เรารู้ว่าพ่อพยายามดึงสติเราทางโทรศัพท์ สักพักแม่สังเกตเห็นว่าเราร้องไห้เลยเข้ามาคุย นั่นแหละค่ะ...บึ้มเลย แม่เข้ามาถามว่า เป็นอะไร? มีอะไรบอกแม่สิ ถ้าแม่ทำอะไรไม่ดีแม่จะได้ปรับปรุงไง เราเลยตอบไปว่า หนูรู้สึกว่าแม่แปลก ๆ เท่านั้นแหละค่ะ แม่ก็โกรธมากบังคับเราให้กราบแม่ โมโหตะโกนใส่เราว่ามีแค่เรานี่แหละที่ไม่เชื่อในพลังอำนาจของแม่ แล้วแม่ก็ลุกมาจะทำร้ายเรา เราเลยรีบจับมือแม่ไว้ไม่ให้ทำอะไรเรา แม่เลยบอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปถามคนข้างบ้านพร้อมแม่เลย ทุกคนเชื่อแม่ มีแต่เราที่ไม่เชื่อ... ในใจตอนนั้นทั้งกลัวคำตอบจากคนข้างบ้าน แต่ก็อยากให้แม่รู้ว่าตัวเองมีอาการป่วยนะ รุ่งเช้าเราเลยไปถามคนข้างบ้านพร้อมแม่
.
คนข้างบ้านเป็นคุณยายใจดีคนนึงที่เป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายสิบปีแล้วค่ะ เขามองหนูแล้วก็ยิ้ม บอกกับหนูว่า "หนูไม่ต้องเป็นห่วงแม่นะ ตัวเองมีหน้าที่เรียนก็เรียนไป ยายอยู่บ้านข้าง ๆ ยายคอยดูแลให้ ไม่ต้องห่วงนะ...ทุกคนเกิดมาล้วนมีสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องเป็น ยายเกิดมาเป็นแม่ค้า ยายก็ต้องขายของ หนูเกิดมาตอนนี้เป็นนักเรียน ก็ต้องตั้งใจเรียนนะลูก..." เรายกมือไหว้แล้วร้องไห้หนักตอนที่ยายพูดว่า "ถ้าเหงาแวะมาเล่นที่บ้านยายได้ บ้านเราอยู่ข้างกันแค่นี้เอง" เรารู้สึกว่าโอเค เรามีที่พึ่งนะ คนทุกคนไม่ได้แอนตี้ครอบครัวเรานะ เราต้องคิดใหม่นะ อย่าไปแคร์คำพูดคนที่เขาพูดไม่ดีเกี่ยวกับเรา คนที่รักเรายังมีนะ...
.
หลังจากวันนั้น เราก็เริ่มหาข้อมูลวิธีการรักษา แล้วไปคุยกับพ่อ และตากับยาย... ปัญหาใหม่เกิดขึ้นค่ะ ตากับยายเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ เราพยายามแย้งว่าเป็นผลของระบบสารบางอย่างในสมอง แต่เขาก็ดุเราว่าเรามั่ว ผลสุดท้ายพากันไปรักษากับพระที่วัดวัดนึง เป็นวัดที่ไม่เชิงวัดค่ะ เหมือนสำนักหมอผี เรากลัวมาก พ่อเรากับเราเห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่พูดอะไรมากไม่ได้ ตากับยายไม่เชื่อ เลยได้แต่เออ ออ ไปตามแก ในวันที่พาแม่ไปรักษากับพระ พิธีที่เขาทำมีการเอาน้ำมนต์ผสมน้ำมะกรูดให้ดื่ม แล้วเอามะกรูดมาถูรอบ ๆ ตัวแม่ ในขณะที่คนอื่นที่มีอาการเหมือนผีเข้าก็แสดงอาการที่น่ากลัวออกมา บางคนก็กรีดร้อง บางคนก็เลื้อยไปกับพื้นแล้วก็โดนร่างทรงผู้หญิงเอาเท้าเหยียบหัวไว้ เราไม่คิดเลยว่าชีวิตจะต้องมานั่งดูอะไรแบบนี้ ส่วนแม่เรา เขาให้ดื่มน้ำมนต์เยอะมากจนอ้วก เราหันไปมองด้วยความเป็นห่วง กลัวแม่เป็นอะไรไป เพราะเขาทำรุนแรงเหมือนเอาน้ำกรอกปาก คือมันรุนแรงมาก หลังจากนั้นกลับมาที่บ้าน แม่ก็มีอาการนิ่ง ๆ งง ๆ ไปสองวัน แล้วก็กลับมามีอาการจิตเภทเหมือนเดิม...
.
หลังจากนั้นแม่ก็มีอาการหนักขึ้นอีก เริ่มหมกมุ่นอยู่กับความเชื่อของตัวเอง ท่องคาถาอะไรไม่รู้ สวดมนต์เสียงดัง พูดจาเริ่มไม่รู้เรื่อง บางครั้งแม่โทรไปหาพ่อ บังคับพ่อให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ พ่อก็โมโหมาก ด้วยความเหนื่อยจากการทำงานส่วนหนึ่งบวกกับการชวนทะเลาะที่ไม่สมเหตุไม่สมผลจากแม่อีกส่วนหนึ่ง พ่อจึงหายไปสองอาทิตย์ ตอนนั้นแม่โทรมาหาเรา บอกเราว่าพ่อคงทิ้งพวกเราไปแล้ว แต่ตอนนั้น พ่อยังติดต่อเราเสมอ บอกกับเราทุกเรื่อง เราเลยได้แต่บอกให้แม่ใจเย็น ๆ แต่ด้วยความเหนื่อยจากการเรียนและเครียดเรื่องอาการป่วย เราเลยทำตัวไม่ดีค่ะ เลยยื่นข้อเสนอไปว่า "ถ้าแม่ไม่หยุดบังคับพ่อ ไม่หยุดด่าพ่อ หนูจะฆ่าตัวตาย!" แม่ได้ยินแบบนั้นก็ลดอาการต่าง ๆ ลงเยอะมากค่ะ ใจเย็นลง แต่ก็เย็นไปได้พักเดียว ก็กลับมาแสดงอาการเหมือนเดิม...
.
พักหลัง ๆ เราพยายามไปปรึกษาหมอจิตแพทย์ถึงอาการของแม่ หมอบอกว่าต้องรีบพาตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล เราเลยถามว่าจะให้ทำยังไง เราต้องหลอกล่อเขายังไง เพราะถ้าบอกตรง ๆ แม่ไม่มีวันยอมมารักษาแน่ ๆ ตอนนั้นหมอแนะนำว่าให้เราโกหกไปก่อนว่าพามาตรวจสุขภาพ จากนั้นให้โรงพยาบาลที่บ้านทำเรื่องส่งตัวมารักษาในตัวจังหวัด แต่เราก็ยังไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อค่ะ เพราะเราต้องทำคนเดียว เราเลยไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม เลยได้แต่ปรึกษาหมอและคุยกับพ่ออยู่เรื่อย ๆ พ่อก็บอกแค่ว่า แล้วแต่เรา ฝากให้เราเป็นธุระให้เพราะพ่อก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง อีกทั้งภาระหน้าที่การงานก็เยอะ การรักษาก็ต้องใช้ตังค์ พ่อก็ต้องหาตังค์เอาไว้สำรองในหลาย ๆ ส่วน เราเลยรับคำพ่อ และบอกพ่อว่าไม่ต้องห่วง
.
ในที่สุด วันนึง มีสายเข้าเป็นหมอจากโรงพยาบาลที่บ้าน (เราเรียนอยู่ในตัวจังหวัดค่ะ อยู่หอพัก) ปลายสายเป็นผู้หญิงคนนึงบอกกับเราว่า "ใช้คุณ...รึเปล่าคะ รู้รึเปล่าว่าแม่มีอาการทางจิตเภท ตอนนี้แม่อยู่กับหมอ กำลังรับยา" ในหัวตอนนั้นมันว่างเปล่าไปหมดเลยค่ะ เราได้แต่ร้องไห้ ด้วยความตกใจปนกับดีใจ หมอบอกว่า เพื่อนแม่ที่เป็นหมอพาแม่มาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล เพราะวันนึงไปเจอแม่ แล้วพูดคุยกันเลยเห็นอาการผิดปกติของแม่ เลยวางแผนกันกับเพื่อนที่เป็นหมออีกคนว่าจะให้แม่มาตรวจผิวหนัง แต่ส่งตัวไปคลินิกจิตเวช เพื่อวินิจฉัย และให้หมออีกคนที่รู้กันอธิบายว่ายาที่แม่รับมานั้นเป็นยารักษาอาการผิวหนัง และช่วงบำรุงประสาท จะทำให้ไม่มีอาการชัก (แม่เรามีอาการกล้ามเนื้อเกร็งบ่อย ๆ พวกนิ้วมือนิ้วเท้าจะชักบ่อยค่ะ) แม่ก็รับยานั้นมาและทานตามที่หมอสั่งเป็นอย่างดี เราก็งง ๆ ว่าทำไมยอมทำตามหมอสั่งง่ายจัง เลยมีโอกาสได้ถามเพื่อนแม่ที่เป็นหมอ เพื่อนแม่คุยไลน์กับเราบ่อยค่ะ บอกว่าโทรคุยกับแม่แล้ว ไม่ต้องห่วง เพื่อนแม่อีกคนที่เป็นจิตแพทย์ก็โทรมาหาเรา บอกกับเราว่า "ไม่ต้องห่วง แม่โทรคุยกับแม่หนูแล้ว แม่เสียเพื่อนคนนึงไปเพราะโรคนี้ แม่จะไม่ยอมเสียแม่หนูไปอีก..." คำพูดและคำปลอบใจของเพื่อนแม่ในวันนั้นมันประโลมจิตใจเรามากจริง ๆ ค่ะ เรารู้สึกว่า ถ้าไม่มีพวกเขาเราจะทำยังไง พวกเขามีบุญคุณต่อรเามาก มากจนไม่รู้จะพูดยังไง ถ้าแม่มัวแต่รอความกล้าจากเรา แม่จะเป็นยังไง...
.
จากวันนั้น แม่ก็จะได้ใบนัดจากคลินิกให้ไปหาทุก 3 เดือนค่ะ เราต้องคอยเช็คว่าทานยารึยัง ต้องคุยกับแม่ให้มากขึ้น ตั้งสติตามแม่ให้ทัน หมอให้ยาตัวนึงมาค่ะเป็นยารักษากลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตเภทโดยตรงเลยค่ะ เราก็เลยแอบเก็บกล่องยานั้น กลัวแม่จะอ่าน เราให้แม่รู้แค่วิธีกินยาและบอกว่ามันรักษาระบบประสาทนะแค่นั้นค่ะ แม่ก็กินตรงตามเวลาตลอดค่ะ เวลาที่หมอนัดเราก็จะไปกับแม่ด้วยทุกครั้ง เพราะที่คลินิกเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนที่เราไปกับแม่ เราว่าแม่เรามีอาการน้อยที่สุดแล้วค่ะ เราตกใจมากนะที่เห็นผู้ป่วยคนอื่น ๆ มีอากรที่ชัดเจนมาก ญาติเขาก็มากับเขา บางคนก็มาคนเดียว ที่สำคัญประทับใน จนท. มากค่ะที่ปรับตัวได้ดีมาก ยิ้มแย้มใจเย็นเข้าใจผู้ป่วยทุกคนมากจริง ๆ
.
ปัจจุบันนี้ แม่เราก็ยังคงต้องกินยาอยู่ค่ะเพื่อรักษาอาการให้เป็นปกติ ตา ยาย และพ่อ ต่างก็ช่วยกันให้กำลังใจ และพูดคุยกันปรึกษากันตลอด ตากับยายเปลี่ยนความคิดเรื่องไสยศาสตร์ และเอาใจช่วยเรามาก ตอนแรกเรายังไม่ได้บอกอะไรตากับยายค่ะ เพราะกลัวแกพลั้งพูดเรื่องนี้ต่อหน้าแม่ แต่ตอนนี้ทุกคนรับทราบร่วมกันแล้ว เพราะเรารู้สึกกดดันถ้าต้องเก็บเรื่องการรักษานี้ไว้คนเดียวค่ะ
.
ตอนนี้ชีวิตเราเปลี่ยนไปมากจริง ๆ เราต้องปรับทัศนคติปรับความคิดใหม่อีกรอบ เพราะแม่กำลังจะกลับมาเป็นแม่ของเราที่เราคุ้นเคย และจะต่างออกไปทั้งความคิดและการกระทำ ส่วนตัวเราเองในฐานะที่เป็นคนในครอบครัว ก็ต้องตั้งสติ ไม่ใช่แค่ตัวผู้ป่วยที่พยายาม เราเองก็ต้องพยายามไปกับเขาด้วย ต้องพยายามเข้าใจว่าอาการแม่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่ารีบร้อน ตอนนี้เราแก้ไขทัศนคตของคนระแวกบ้านไม่ได้ก็ช่างเขา เขาไม่ได้มีส่วนทำให้ชีวิตเราดีขึ้นปล่อยเขาคิดของเขาไป ไม่ว่าใครจะคิดยังไงจะนินทาอะไร ครอบครัวเราสำคัญที่สุดค่ะ
.
การตั้งกระทู้ในวันนี้อาจจะเล่าแบบงง ๆ กลับไปกลับมา ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ค่ะ เราแค่อยากบอกเล่าเฉย ๆ ไม่รู้จะมีคนหลงเข้ามาอ่านบ้างมั้ย แต่ถ้าได้อ่านก็อยากให้ทุกคนตั้งรับเอาไว้ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ หรือถ้าเราเจอผู้ป่วยจิตเภทอย่าไปรังเกียจเขาเลยค่ะ เขาเป็นผู้ป่วยเขาผ่านความรุนแรงความบอบช้ำอะไรในชีวิตมาบ้างก็ไม่รู้ อยากให้ทุกคนพยายามเข้าใจเขานะคะ
.
สุดท้ายนี้ ถ้าใครที่มีชีวิตคล้าย ๆ กันกับเรา เราขอให้คุณอดทนและก้าวผ่านช่วงเวลาร้าย ๆ เหล่านั้นให้ได้ สู้ ๆ นะคะ รีบพาคนในครอบครัวของคุณไปรักษาเนอะ เพราะบางทีอาจไม่โชคดีเหมือนเรา ยิ่งนานไปอาการจะยิ่งรุนแรงนะคะ เอาใจช่วยค่ะ ขอบคุณค่ะ...
เราอยู่ในครอบครัวที่มีผู้ป่วยเป็นโรคจิตเภท
.
อาการป่วยของแม่เอาแบบย่อ ๆ นะคะ จะแสดงออกในทางบวก (positive symptoms) ค่ะ คือ อาการหลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ มีพลังวิเศษ ได้ยินคนคุยกันตลอดเวลา เห็นภาพต่าง ๆ และรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นอิสระ รู้สึกว่าโดนบังคับ ในด้านอารมณ์จะโกรธง่ายหายเร็วแบบสุดขั้วค่ะ พลิกกลับไปกลับมาเร็วมากและรุนแรงพอสมควรค่ะ
.
ทีนี้ถามว่า แล้วทำไมไม่รีบพาไปรักษาล่ะ? เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะตัวเอง
.
ฐานะทางบ้านของเราอยู่กลาง ๆ ค่ะ พ่อทำงานคนเดียวหาเลี้ยงทั้งแม่และเรา ตอนนั้นเราเรียนอยู่มัธยมค่ะ เลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะเลย ทั้งพ่อแองก็ทำงานหนัก ไม่อยากรบกวนพ่อ อีกทั้งพ่อทำงานไกลบ้านค่ะไม่ค่อยได้เห็นอาการป่วยของแม่เหมือนเรา แต่เราก็พยายามเล่าให้ฟังนะคะ มีวันนึงที่เราทะเลาะกับแม่ เพราะความเห็นไม่ตรงกัน (ผู้ป่วยจิตเภทมีความคิดที่ไม่สมเหตุไม่สมผลอยู่แล้วค่ะ ต้องตั้งสติเยอะมาก เหตุผลที่ใช้กับคนปกติ เราเอามาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้เลยค่ะ) เราทะเลาะกันเสียงดังเพราะเราเครียดมากที่แม่มีอาการแปลก ๆ ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง ไม่กล้าถามใคร เพราะรู้ว่าระแวกบ้านเขาไม่โอเคกับแม่ (เพราะเขาเห็นอาการค่ะ) วันนั้นในขณะที่แม่อาบน้ำ เราโทรคุยกับพ่อ บอกพ่อว่า "หนูไม่ไหวแล้ว หนูจะไม่อยู่แล้ว" ใช่ค่ะ เราจะฆ่าตัวตาย วันนั้นพ่อบอกกับเราว่า "ทำแบบนั้นไม่ได้" เรารู้ว่าพ่อพยายามดึงสติเราทางโทรศัพท์ สักพักแม่สังเกตเห็นว่าเราร้องไห้เลยเข้ามาคุย นั่นแหละค่ะ...บึ้มเลย แม่เข้ามาถามว่า เป็นอะไร? มีอะไรบอกแม่สิ ถ้าแม่ทำอะไรไม่ดีแม่จะได้ปรับปรุงไง เราเลยตอบไปว่า หนูรู้สึกว่าแม่แปลก ๆ เท่านั้นแหละค่ะ แม่ก็โกรธมากบังคับเราให้กราบแม่ โมโหตะโกนใส่เราว่ามีแค่เรานี่แหละที่ไม่เชื่อในพลังอำนาจของแม่ แล้วแม่ก็ลุกมาจะทำร้ายเรา เราเลยรีบจับมือแม่ไว้ไม่ให้ทำอะไรเรา แม่เลยบอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปถามคนข้างบ้านพร้อมแม่เลย ทุกคนเชื่อแม่ มีแต่เราที่ไม่เชื่อ... ในใจตอนนั้นทั้งกลัวคำตอบจากคนข้างบ้าน แต่ก็อยากให้แม่รู้ว่าตัวเองมีอาการป่วยนะ รุ่งเช้าเราเลยไปถามคนข้างบ้านพร้อมแม่
.
คนข้างบ้านเป็นคุณยายใจดีคนนึงที่เป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายสิบปีแล้วค่ะ เขามองหนูแล้วก็ยิ้ม บอกกับหนูว่า "หนูไม่ต้องเป็นห่วงแม่นะ ตัวเองมีหน้าที่เรียนก็เรียนไป ยายอยู่บ้านข้าง ๆ ยายคอยดูแลให้ ไม่ต้องห่วงนะ...ทุกคนเกิดมาล้วนมีสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องเป็น ยายเกิดมาเป็นแม่ค้า ยายก็ต้องขายของ หนูเกิดมาตอนนี้เป็นนักเรียน ก็ต้องตั้งใจเรียนนะลูก..." เรายกมือไหว้แล้วร้องไห้หนักตอนที่ยายพูดว่า "ถ้าเหงาแวะมาเล่นที่บ้านยายได้ บ้านเราอยู่ข้างกันแค่นี้เอง" เรารู้สึกว่าโอเค เรามีที่พึ่งนะ คนทุกคนไม่ได้แอนตี้ครอบครัวเรานะ เราต้องคิดใหม่นะ อย่าไปแคร์คำพูดคนที่เขาพูดไม่ดีเกี่ยวกับเรา คนที่รักเรายังมีนะ...
.
หลังจากวันนั้น เราก็เริ่มหาข้อมูลวิธีการรักษา แล้วไปคุยกับพ่อ และตากับยาย... ปัญหาใหม่เกิดขึ้นค่ะ ตากับยายเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ เราพยายามแย้งว่าเป็นผลของระบบสารบางอย่างในสมอง แต่เขาก็ดุเราว่าเรามั่ว ผลสุดท้ายพากันไปรักษากับพระที่วัดวัดนึง เป็นวัดที่ไม่เชิงวัดค่ะ เหมือนสำนักหมอผี เรากลัวมาก พ่อเรากับเราเห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่พูดอะไรมากไม่ได้ ตากับยายไม่เชื่อ เลยได้แต่เออ ออ ไปตามแก ในวันที่พาแม่ไปรักษากับพระ พิธีที่เขาทำมีการเอาน้ำมนต์ผสมน้ำมะกรูดให้ดื่ม แล้วเอามะกรูดมาถูรอบ ๆ ตัวแม่ ในขณะที่คนอื่นที่มีอาการเหมือนผีเข้าก็แสดงอาการที่น่ากลัวออกมา บางคนก็กรีดร้อง บางคนก็เลื้อยไปกับพื้นแล้วก็โดนร่างทรงผู้หญิงเอาเท้าเหยียบหัวไว้ เราไม่คิดเลยว่าชีวิตจะต้องมานั่งดูอะไรแบบนี้ ส่วนแม่เรา เขาให้ดื่มน้ำมนต์เยอะมากจนอ้วก เราหันไปมองด้วยความเป็นห่วง กลัวแม่เป็นอะไรไป เพราะเขาทำรุนแรงเหมือนเอาน้ำกรอกปาก คือมันรุนแรงมาก หลังจากนั้นกลับมาที่บ้าน แม่ก็มีอาการนิ่ง ๆ งง ๆ ไปสองวัน แล้วก็กลับมามีอาการจิตเภทเหมือนเดิม...
.
หลังจากนั้นแม่ก็มีอาการหนักขึ้นอีก เริ่มหมกมุ่นอยู่กับความเชื่อของตัวเอง ท่องคาถาอะไรไม่รู้ สวดมนต์เสียงดัง พูดจาเริ่มไม่รู้เรื่อง บางครั้งแม่โทรไปหาพ่อ บังคับพ่อให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ พ่อก็โมโหมาก ด้วยความเหนื่อยจากการทำงานส่วนหนึ่งบวกกับการชวนทะเลาะที่ไม่สมเหตุไม่สมผลจากแม่อีกส่วนหนึ่ง พ่อจึงหายไปสองอาทิตย์ ตอนนั้นแม่โทรมาหาเรา บอกเราว่าพ่อคงทิ้งพวกเราไปแล้ว แต่ตอนนั้น พ่อยังติดต่อเราเสมอ บอกกับเราทุกเรื่อง เราเลยได้แต่บอกให้แม่ใจเย็น ๆ แต่ด้วยความเหนื่อยจากการเรียนและเครียดเรื่องอาการป่วย เราเลยทำตัวไม่ดีค่ะ เลยยื่นข้อเสนอไปว่า "ถ้าแม่ไม่หยุดบังคับพ่อ ไม่หยุดด่าพ่อ หนูจะฆ่าตัวตาย!" แม่ได้ยินแบบนั้นก็ลดอาการต่าง ๆ ลงเยอะมากค่ะ ใจเย็นลง แต่ก็เย็นไปได้พักเดียว ก็กลับมาแสดงอาการเหมือนเดิม...
.
พักหลัง ๆ เราพยายามไปปรึกษาหมอจิตแพทย์ถึงอาการของแม่ หมอบอกว่าต้องรีบพาตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล เราเลยถามว่าจะให้ทำยังไง เราต้องหลอกล่อเขายังไง เพราะถ้าบอกตรง ๆ แม่ไม่มีวันยอมมารักษาแน่ ๆ ตอนนั้นหมอแนะนำว่าให้เราโกหกไปก่อนว่าพามาตรวจสุขภาพ จากนั้นให้โรงพยาบาลที่บ้านทำเรื่องส่งตัวมารักษาในตัวจังหวัด แต่เราก็ยังไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อค่ะ เพราะเราต้องทำคนเดียว เราเลยไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม เลยได้แต่ปรึกษาหมอและคุยกับพ่ออยู่เรื่อย ๆ พ่อก็บอกแค่ว่า แล้วแต่เรา ฝากให้เราเป็นธุระให้เพราะพ่อก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง อีกทั้งภาระหน้าที่การงานก็เยอะ การรักษาก็ต้องใช้ตังค์ พ่อก็ต้องหาตังค์เอาไว้สำรองในหลาย ๆ ส่วน เราเลยรับคำพ่อ และบอกพ่อว่าไม่ต้องห่วง
.
ในที่สุด วันนึง มีสายเข้าเป็นหมอจากโรงพยาบาลที่บ้าน (เราเรียนอยู่ในตัวจังหวัดค่ะ อยู่หอพัก) ปลายสายเป็นผู้หญิงคนนึงบอกกับเราว่า "ใช้คุณ...รึเปล่าคะ รู้รึเปล่าว่าแม่มีอาการทางจิตเภท ตอนนี้แม่อยู่กับหมอ กำลังรับยา" ในหัวตอนนั้นมันว่างเปล่าไปหมดเลยค่ะ เราได้แต่ร้องไห้ ด้วยความตกใจปนกับดีใจ หมอบอกว่า เพื่อนแม่ที่เป็นหมอพาแม่มาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล เพราะวันนึงไปเจอแม่ แล้วพูดคุยกันเลยเห็นอาการผิดปกติของแม่ เลยวางแผนกันกับเพื่อนที่เป็นหมออีกคนว่าจะให้แม่มาตรวจผิวหนัง แต่ส่งตัวไปคลินิกจิตเวช เพื่อวินิจฉัย และให้หมออีกคนที่รู้กันอธิบายว่ายาที่แม่รับมานั้นเป็นยารักษาอาการผิวหนัง และช่วงบำรุงประสาท จะทำให้ไม่มีอาการชัก (แม่เรามีอาการกล้ามเนื้อเกร็งบ่อย ๆ พวกนิ้วมือนิ้วเท้าจะชักบ่อยค่ะ) แม่ก็รับยานั้นมาและทานตามที่หมอสั่งเป็นอย่างดี เราก็งง ๆ ว่าทำไมยอมทำตามหมอสั่งง่ายจัง เลยมีโอกาสได้ถามเพื่อนแม่ที่เป็นหมอ เพื่อนแม่คุยไลน์กับเราบ่อยค่ะ บอกว่าโทรคุยกับแม่แล้ว ไม่ต้องห่วง เพื่อนแม่อีกคนที่เป็นจิตแพทย์ก็โทรมาหาเรา บอกกับเราว่า "ไม่ต้องห่วง แม่โทรคุยกับแม่หนูแล้ว แม่เสียเพื่อนคนนึงไปเพราะโรคนี้ แม่จะไม่ยอมเสียแม่หนูไปอีก..." คำพูดและคำปลอบใจของเพื่อนแม่ในวันนั้นมันประโลมจิตใจเรามากจริง ๆ ค่ะ เรารู้สึกว่า ถ้าไม่มีพวกเขาเราจะทำยังไง พวกเขามีบุญคุณต่อรเามาก มากจนไม่รู้จะพูดยังไง ถ้าแม่มัวแต่รอความกล้าจากเรา แม่จะเป็นยังไง...
.
จากวันนั้น แม่ก็จะได้ใบนัดจากคลินิกให้ไปหาทุก 3 เดือนค่ะ เราต้องคอยเช็คว่าทานยารึยัง ต้องคุยกับแม่ให้มากขึ้น ตั้งสติตามแม่ให้ทัน หมอให้ยาตัวนึงมาค่ะเป็นยารักษากลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตเภทโดยตรงเลยค่ะ เราก็เลยแอบเก็บกล่องยานั้น กลัวแม่จะอ่าน เราให้แม่รู้แค่วิธีกินยาและบอกว่ามันรักษาระบบประสาทนะแค่นั้นค่ะ แม่ก็กินตรงตามเวลาตลอดค่ะ เวลาที่หมอนัดเราก็จะไปกับแม่ด้วยทุกครั้ง เพราะที่คลินิกเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนที่เราไปกับแม่ เราว่าแม่เรามีอาการน้อยที่สุดแล้วค่ะ เราตกใจมากนะที่เห็นผู้ป่วยคนอื่น ๆ มีอากรที่ชัดเจนมาก ญาติเขาก็มากับเขา บางคนก็มาคนเดียว ที่สำคัญประทับใน จนท. มากค่ะที่ปรับตัวได้ดีมาก ยิ้มแย้มใจเย็นเข้าใจผู้ป่วยทุกคนมากจริง ๆ
.
ปัจจุบันนี้ แม่เราก็ยังคงต้องกินยาอยู่ค่ะเพื่อรักษาอาการให้เป็นปกติ ตา ยาย และพ่อ ต่างก็ช่วยกันให้กำลังใจ และพูดคุยกันปรึกษากันตลอด ตากับยายเปลี่ยนความคิดเรื่องไสยศาสตร์ และเอาใจช่วยเรามาก ตอนแรกเรายังไม่ได้บอกอะไรตากับยายค่ะ เพราะกลัวแกพลั้งพูดเรื่องนี้ต่อหน้าแม่ แต่ตอนนี้ทุกคนรับทราบร่วมกันแล้ว เพราะเรารู้สึกกดดันถ้าต้องเก็บเรื่องการรักษานี้ไว้คนเดียวค่ะ
.
ตอนนี้ชีวิตเราเปลี่ยนไปมากจริง ๆ เราต้องปรับทัศนคติปรับความคิดใหม่อีกรอบ เพราะแม่กำลังจะกลับมาเป็นแม่ของเราที่เราคุ้นเคย และจะต่างออกไปทั้งความคิดและการกระทำ ส่วนตัวเราเองในฐานะที่เป็นคนในครอบครัว ก็ต้องตั้งสติ ไม่ใช่แค่ตัวผู้ป่วยที่พยายาม เราเองก็ต้องพยายามไปกับเขาด้วย ต้องพยายามเข้าใจว่าอาการแม่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่ารีบร้อน ตอนนี้เราแก้ไขทัศนคตของคนระแวกบ้านไม่ได้ก็ช่างเขา เขาไม่ได้มีส่วนทำให้ชีวิตเราดีขึ้นปล่อยเขาคิดของเขาไป ไม่ว่าใครจะคิดยังไงจะนินทาอะไร ครอบครัวเราสำคัญที่สุดค่ะ
.
การตั้งกระทู้ในวันนี้อาจจะเล่าแบบงง ๆ กลับไปกลับมา ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ค่ะ เราแค่อยากบอกเล่าเฉย ๆ ไม่รู้จะมีคนหลงเข้ามาอ่านบ้างมั้ย แต่ถ้าได้อ่านก็อยากให้ทุกคนตั้งรับเอาไว้ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ หรือถ้าเราเจอผู้ป่วยจิตเภทอย่าไปรังเกียจเขาเลยค่ะ เขาเป็นผู้ป่วยเขาผ่านความรุนแรงความบอบช้ำอะไรในชีวิตมาบ้างก็ไม่รู้ อยากให้ทุกคนพยายามเข้าใจเขานะคะ
.
สุดท้ายนี้ ถ้าใครที่มีชีวิตคล้าย ๆ กันกับเรา เราขอให้คุณอดทนและก้าวผ่านช่วงเวลาร้าย ๆ เหล่านั้นให้ได้ สู้ ๆ นะคะ รีบพาคนในครอบครัวของคุณไปรักษาเนอะ เพราะบางทีอาจไม่โชคดีเหมือนเรา ยิ่งนานไปอาการจะยิ่งรุนแรงนะคะ เอาใจช่วยค่ะ ขอบคุณค่ะ...