>>>  เมื่อเจ้าของนิยายขายดี The Chinaman สตีเฟ่น เลเธอร์ เปิดไฟเขียวให้ The Foreigner ขึ้นสู่จอภาพยนตร์

นิยายเรื่อง The Chinaman ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 1992 จากปลายปากกาของ สตีเฟ่น เลเธอร์ นักเขียนแนวเขย่าขวัญอาชญากรรมชื่อดัง ได้ถูกติดต่อให้ทำเป็นบทภาพยนตร์ เขากล่าวว่า “ผมอยากเขียนเรื่องราวของคนที่ถูกมองข้าม” “ชายที่ไม่มีคนสนใจ คนที่ไม่มีใครคิดว่าจะกลายมาเป็นตัวอันตราย” แต่หลายๆ ครั้งที่การเอาหนังสือมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ไม่ได้ให้ความเคารพวัตถุดิบดั้งเดิม
ทำให้ผู้เขียนลังเล โชคดีที่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น แม้หนังจะถูกเปลี่ยนฉากหลังในยุค 90 มาเป็นยุคปัจจุบัน แต่หัวใจหลักของเรื่องยังคงเดิม และยิ่งได้ เดวิด มาร์โคนี่ มาเกลาให้เป็นบทภาพยนตร์ “ผมดีใจที่ได้ เดวิด มาเกลาเรื่องให้เฉียบชึ้น บวกกับฉากแอ็คชั่นของ มาร์ติน ยิ่งเพิ่มความเข้มข้นให้มัน มันสุดยอดมากที่มีทีมงานกว่าร้อย ถ่ายหนังที่มาจากเรื่องของผมที่เขียนไว้เมื่อ 25 ปีที่แล้ว”



>>>  จากหน้ากระดาษสู่แผ่นฟิล์ม การสร้างโลกในภาพยนตร์

ทีมงานใช้เวลาเตรียมตัวสามเดือนก่อนเปิดกล้อง โดยใช้โลเกชั่นทั้งในสหราชอาณาจักรและข้ามฟากทะเลไอริช ไปยังไอร์แลนด์เหนือ หนึ่งในโลเกชั่นหลักที่เราใช้คือถนนใน พิมลิโก้ ที่เราใช้แทนโลเกชั่นย่านไนท์บริดจ์สำหรับฉากระเบิดเปิดเรื่อง ฉากนี้ใช้เวลาเตรียมงานล่วงหน้าสิบสองสัปดาห์

แต่หนึ่งในสิ่งที่ท้าทายที่สุดของทีมงานคือการหาบ้านฟาร์มที่ใช้เป็นบ้านของ เฮนเนสซี บ้านฟาร์มนี้เป็นโลเคชั่นที่ ควน และ เฮนเนสซี เผชิญหน้ากัน รวมทั้งไล่ล่าในป่าสุดดุเดือดของ ควน และ มอร์ริสัน อดีตนายทหารกองกำลังป้องกันตัวเองของไอร์แลนด์ ที่ถูก เฮนเนสซี ตามตัวกลับมาเพื่อกำจัด “ไอ้หน้าจีน” ส่วนบ้านของ ควน เป็นห้องเช่าธรรมดาๆ เพื่อให้ดูตรงข้ามกับอพาร์ตเมนท์สุดหรูและบ้านฟาร์มของ เฮนเนสซี



>>>  จากสตาร์แอ็คชั่นสู่บทบาทดราม่า: ฉีกการแสดงของชายที่ชื่อ แจ็คกี้ ชาน

“ผมอยากลองอะไรใหม่ๆ” นักแสดงแอ็คชั่นระดับตำนานกล่าว “ผมไม่อยากเล่นหนังสไตล์เดิมซ้ำๆ Chinese Zodiac เป็นหนังสไตล์อินเดียน่า โจนส์ Shinjuku เป็นหนังซีเรียส Skiptrace เป็นหนังตลก ทุกๆ ปีผมพยายามทำอะไรที่ต่างออกไป ผมอยากแสดงแบบนักแสดงจริงดูบ้าง ซึ่งนี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้คนดูได้เห็นอีกด้านของ แจ็คกี้ ชาน” ผู้อำนวยการสร้าง สก็อตต์ ลัมป์กิ้น อธิบายเสริม  “ตัวละครนี้คิดก่อนทำ เขาวางแผนอย่างแยบยลว่าจะเล่นงานผู้ก่อการร้ายอย่างไร เขาต้องการล้างแค้นเพื่อลูกสาว เพื่อทวงคืนความยุติธรรม และคุณสามารถเห็นทั้งหมดนั้น
ผ่านการพัฒนาการของตัวละคร”

“สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจที่สุดคือ แจ็คกี้ สามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็น ควน ได้เร็วขนาดไหน” ผู้อำนวยการสร้าง เจมี่ มาร์แชล เสริม “เรากังวลเกี่ยวกับ แจ็คกี้ นิดหน่อยเพราะเขายังคึกเหมือนสมัยเด็กๆ เขาจะเล่นเป็นชายแก่หมดไฟได้ไหม แต่พอเราเติมเมคอัพ ย้อมผมสีขาว ซ้อมกับ มาร์ติน แค่สามชั่วโมงเขาก็พร้อมเข้าฉากวันแรกในบท ควน ผมอึ้งไปเลย เพราะเขาเก่งมาก เป็นคนที่ทำงานด้วยแล้วสบายใจ สำหรับผมคงไม่มีใครเล่นบทนี้ได้ดีไปกว่าเขาแล้ว” ผลที่ออกมาคือบทบาทการแสดงอันซับซ้อน เต็มไปด้วยมิติที่จะทำให้แฟนๆของ แจ็คกี้ ชาน ต้องแปลกใจ”



>>>  การระเบิดสุดตื่นตะลึง: ผลงานชิ้นโบว์แดงของทีมสตั๊นท์

ระเบิดที่ไนท์บริดจ์ การระเบิดรถเมล์ที่สะพานแลมเบท การสู้ตัวต่อตัวกลางป่าทึบในไอร์แลนด์เหนือ และฉากสี่รุมหนึ่งในห้องครัวสุดแคบ นี่เป็นตัวอย่างของฉากที่ต้องใช้ความสามารถของทีมสตั๊นท์และทีมเอฟเฟ็กต์ขั้นสุด  แจ็คกี้ ให้เครดิตทีมสตั๊นท์ในการมอบความสมจริงให้กับหนัง “เราต้องคำนึงเสมอว่า ควน เป็นคนมีอายุแล้ว การต่อสู้ทั้งหมดต้องปรับให้เป็นไปตามนั้น ตอนแรกการต่อสู้ในพื้นที่จำกัดมันลำบากพอสมควร แต่ทีมงานของผมจัดการได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีอะไรที่ทีมงานผมทำไม่ได้หรอก”

ถ้าฉากระเบิดที่ไนท์บริดจ์ตอนเปิดเรื่องว่าซับซ้อนแล้ว ฉากรถเมล์ระเบิดที่สะพานแลมเบทนั้นยุ่งยากกว่าเยอะ วันถ่ายจริงมีการใช้กล้องถึง 12 ตัววางอยู่ในตำแหน่งต่างๆ “มันเป็นงานช้างของเรา” พาวเวลล์อธิบาย “สตั๊นท์ 27 ชีวิต ชับรถ ขี่มอเตอร์ไซค์บนถนนข้างรถบัส และมีคนอยู่บนรถบัสด้วยเช่นกัน
ระเบิดลูกใหญ่อยู่บนชั้นบนรถบัส ส่วนลูกเล็กอยู่ตรงชั้นล่าง ทำให้มีซากระเบิดหล่นใส่คนของเรา ทุกคนที่อยู่ในรถใส่ชุดกันไฟและพอกหน้าด้วยเจลกันความร้อน มันไม่มีเปลวไฟมีแค่เศษซากเท่านั้น”



คำถามสุดท้าย คนดูจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้

มาร์ติน แคมป์เบล ผู้กำกับกล่าวว่า “ผมอยากให้ทุกคนสนุก ผมอยากให้คนดูลุ้นไปกับการชำระแค้นของควน และอินไปกับทุกเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจแต่ละอย่างของ เฮนเนสซี่ นั่นแหละคือสิ่งที่ผมทุ่มเทลงไป”