ปริยัติ ( พระไตรปิฎก )
คือสิ่งอันเป็นปฎิเวธแห่งองค์ สมเด็จพระบรมศาสดา
ที่พระองค์ทรง ตรัสรู้ ใต้ร่มโพธิพฤกษ์ในคืนวันเพ็ญ
และด้วยพระมหากรุณาแห่งพระองค์ ในแก่เหล่าเวไนยสัตว์ทั้งปวง
พระองค์จึงทรง นำสัจจสภาวะธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้มาเผยแพร่
สิ่งที่พระองค์ทรงเผยแพร่ตลอด 45 พุทธพรรษานั้น นั่นคือ
พระธรรม
ที่เริ่มต้นจาก
พระพุทธ
พระธรรมอันมีจุดเริ่มจากพระพุทธ
ก่อกำเนิด พระสงฆ์
พระสงฆ์ อันนำธรรม ( ปริยัติ ) นั้นมาศึกษาและปฎิบัติ จนกระทั่งๆได้รับผลอันเป็นปฎิเวธด้วยตนเองอันได้แก่ อรหันตผล
และเหล่าท่าน อรหันตสาวกทั้งหลาย ได้ช่วยการเรียบเรียง ตรวจสอบความถูกต้อง และมิมีท่านใดในทั้ง 500 คัดค้านความไม่ถูกต้อง
นั่นคือการสังคยนา
และช่วยกัน ปกปักรักษาเรื่อยมาตราบจนปัจจุบัน
และ พระธรรมวินัย หรือพระไตรปิฎก อันคือศาสดาแห่ง พุทธสาวกทั้งปวง
พระองค์ตรัสก่อนปรินิพพานว่า
ธรรมนั้นเราตรัสดีแล้ว บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ทั้งอรรถและพยัญชนะ
และพระองค์ทรงให้ สาวกแห่งพระองค์ ศึกษาเล่าเรียน ปฎิบัติ เพื่อผลอันเป็นปฎิเวธดังเช่นพระองค์
และปฎิเวธนั้น ไม่ขึ้นแก่กาล และรับรู้ได้เฉพาะตน
ผู้ที่ปรามาส จาบจ้วง ปริยัติหรือพระไตรปิฎก จึงเสมือน ปรามาส จาบจ้วง ในพระรัตนไตร
อันพระองค์ให้เป็นที่พึ่งสูง ไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่า
ปรามาส จาบจ้วง ทั้งที่ตนเองปฎิเสธที่จะมาศึกษาและปฎิบัติด้วยตนเอง
แต่กลับปรามาส จาบจ้วง ทั้งพระไตรฯ และผู้ปฎิบัติตามพระไตรฯ ว่า
โง่ งมงาย ไร้ปัญญา ไม่มีเหตุผล
หลงตำรา
แม้สุดท้ายจะแก้เก้อด้วยวลี
สงสัยไม่ได้หรือ
สงสัย แต่ไม่พิสูจน์ด้วยตนเอง แต่กับจาบจ้วง ปรามาส
และสิ่งที่ตนแสดงออก เพียงสงสัย หรือปรามาส จาบจ้วง
ผู้มีปัญญาย่อมมองออก
กรรม อันเป็นแดนเกิด เป็นเผ่าพันธ์แก่สัตว์ทั้งหลาย ให้ได้รับวิบาก
อกุศลกรรม นั่นเป็นเหตุให้สัตว์ไปสู่อบาย
ไม่ว่าผู้นั้นจะเชื่อว่าตายแล้วสูญ หรือเชื่อว่าจิตเที่ยงเป็นตัวตนก้อตาม
จาบจ้วง ปรามาส ปริยัติ ( พระไตรปิฎก ) นั่นคือการจาบจ้วง ปรามาส พระรัตนไตร
คือสิ่งอันเป็นปฎิเวธแห่งองค์ สมเด็จพระบรมศาสดา
ที่พระองค์ทรง ตรัสรู้ ใต้ร่มโพธิพฤกษ์ในคืนวันเพ็ญ
และด้วยพระมหากรุณาแห่งพระองค์ ในแก่เหล่าเวไนยสัตว์ทั้งปวง
พระองค์จึงทรง นำสัจจสภาวะธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้มาเผยแพร่
สิ่งที่พระองค์ทรงเผยแพร่ตลอด 45 พุทธพรรษานั้น นั่นคือ
พระธรรม
ที่เริ่มต้นจาก
พระพุทธ
พระธรรมอันมีจุดเริ่มจากพระพุทธ
ก่อกำเนิด พระสงฆ์
พระสงฆ์ อันนำธรรม ( ปริยัติ ) นั้นมาศึกษาและปฎิบัติ จนกระทั่งๆได้รับผลอันเป็นปฎิเวธด้วยตนเองอันได้แก่ อรหันตผล
และเหล่าท่าน อรหันตสาวกทั้งหลาย ได้ช่วยการเรียบเรียง ตรวจสอบความถูกต้อง และมิมีท่านใดในทั้ง 500 คัดค้านความไม่ถูกต้อง
นั่นคือการสังคยนา
และช่วยกัน ปกปักรักษาเรื่อยมาตราบจนปัจจุบัน
และ พระธรรมวินัย หรือพระไตรปิฎก อันคือศาสดาแห่ง พุทธสาวกทั้งปวง
พระองค์ตรัสก่อนปรินิพพานว่า
ธรรมนั้นเราตรัสดีแล้ว บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ทั้งอรรถและพยัญชนะ
และพระองค์ทรงให้ สาวกแห่งพระองค์ ศึกษาเล่าเรียน ปฎิบัติ เพื่อผลอันเป็นปฎิเวธดังเช่นพระองค์
และปฎิเวธนั้น ไม่ขึ้นแก่กาล และรับรู้ได้เฉพาะตน
ผู้ที่ปรามาส จาบจ้วง ปริยัติหรือพระไตรปิฎก จึงเสมือน ปรามาส จาบจ้วง ในพระรัตนไตร
อันพระองค์ให้เป็นที่พึ่งสูง ไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่า
ปรามาส จาบจ้วง ทั้งที่ตนเองปฎิเสธที่จะมาศึกษาและปฎิบัติด้วยตนเอง
แต่กลับปรามาส จาบจ้วง ทั้งพระไตรฯ และผู้ปฎิบัติตามพระไตรฯ ว่า
โง่ งมงาย ไร้ปัญญา ไม่มีเหตุผล
หลงตำรา
แม้สุดท้ายจะแก้เก้อด้วยวลี
สงสัยไม่ได้หรือ
สงสัย แต่ไม่พิสูจน์ด้วยตนเอง แต่กับจาบจ้วง ปรามาส
และสิ่งที่ตนแสดงออก เพียงสงสัย หรือปรามาส จาบจ้วง
ผู้มีปัญญาย่อมมองออก
กรรม อันเป็นแดนเกิด เป็นเผ่าพันธ์แก่สัตว์ทั้งหลาย ให้ได้รับวิบาก
อกุศลกรรม นั่นเป็นเหตุให้สัตว์ไปสู่อบาย
ไม่ว่าผู้นั้นจะเชื่อว่าตายแล้วสูญ หรือเชื่อว่าจิตเที่ยงเป็นตัวตนก้อตาม