"ไฟดวงเก่าที่มอดดับไฟเป็นแรงบันดาลใจให้สร้างไฟดวงใหม่ขึ้นมา" โดยประโยคที่กล่าวข้างต้น อาจจะเป็นประโยคที่ใช้แทนความหมายของอนิเมะเรื่องนี้ก็ได้ หากคุณกล่าวถึง My Neighbor Totoro / Kiki's Delivery Service / Princess Mononoke / The Tale of the Princess Kaguya หรือ Spirited Away ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นอนิเมชั่นที่สนุกและมีคุณค่ามากในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนไป ความนิยมเก่าๆเริ่มถูกแทนที่ด้วยสิ่งใหม่ๆ เมื่อสตูดิโอที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของวงการอนิเมชั่นญี่ปุ่นอย่าง Studio Ghibli ได้กล่าวคำลำลาอย่างสุดซึ่งด้วย When Marnie Was There ในปี 2014 สตูดิโอผู้สร้างการ์ตูนที่ทำให้เห็นถึงคุณค่าของชีวิตและสอนใจเด็กๆได้ปิดตัวลงไปตามกาลเวลา ทิ้งไว้เพียงชื่อและตำนานที่สวยงาม
เมื่อเวลาผ่านไปกลุ่มทีมงามเก่าๆของ Studio Ghibli ยังไม่หยุดและเริ่มสร้างผลงานใหม่และก่อตั้งสตูดิโอใหม่ภายใต้ชื่อ Studio Ponoc และผลงานชิ้นแรกก็ได้ลืมตาดูโลกขึ้นมาแล้ว ในชื่อ "Mary and the Witch’s Flower" หรือ "Meari to Majo no Hana" ชื่อไทย "แมรี่ผจญแดนแม่มด" เป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของ Studio Ponoc โดยมีหัวเรือใหญ่คือ Yonebayashi Hiromasa หนึ่งในทีมงานของ Studio Ghibli มาขึ้นแท่นกำกับ โดยผลงานเรื่องนี้ได้ถูกดัดแปลงมาจากหนังสือนวนิยาย "The Little Broomstick" ที่แต่งโดย แมรี่ สจ๊วต (Mary Stewart) นักเขียนชาวอังกฤษ เมื่อปี 1971
โดยเรื่องราวได้เล่าถึง Mary Smiths หนูน้อยผมหยิกสีแดง อาศัยอยู่กับป้าและยายที่คลหาสเล็กๆแห่งหนึ่ง โดยเธอมักจะเป็นคนซุ่มซ้าม เวลาทำอะไรมักจะมีของเสียหายอยู่ตลอด จนรู้สึกว่าบางครั้งนั้นตัวเองไร้ค่า วันหนึ่งเธอได้เข้าไปในป่าและได้พบกับ "ดอกไม้มหัศจรรย์" ที่จะพาเธอเข้าสู่โลกของเวทมนต์ เรื่องราวการผจญไพรสุดแฟนตาซีของหนูน้อย Mary จึงเริ่มขึ้น
เข้าสู่ช่วง Review
ถึงแม้พล้อตเรื่องหลัก จะเป็นแค่การเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ผ่านการผจญไพรของหนูน้อย Mary ไม่ได้มีจุดที่กระตุกต่อมที่ทำให้เกิดความตื่นเต้นเหมือนกับอนิเมชั่นยุคใหม่ๆ แต่นี่ก็เป็นจุดเด่นและความเป็นเอกลักษณ์ที่ให้ความคลาสสิคอย่างมากในเรื่องนี้ ผมให้คะแนนที่ 8 / 10 โดยส่วนตัวผมเป็นสาวกของ Studio Ghibli อยู่แล้ว ผมมีความชินกับการเล่าเรื่องแบบลักษณะนี้พอสมควร ถ้ามองอีกมุมนึงถ้าคนที่ไม่เคยดูอนิเมชั่นที่เล่าเรื่องในลักษณะแบบนี้ อาจจะเบื่อหรือง่วงหลับได้ แต่ถ้าหากใครที่ชอบการเล่าเรื่องแบบ เรื่อยๆเพลินๆ ประกอบกับภาพที่สวยงาม คุณอาจจะหลงรักเรื่องนี้เลยก็ได้ ตัวผมเองก็รัก Studio Ghibli มากๆ เรื่องนี้เหมือนการได้มาเจอกันอีกครั้ง กับบรรยากาศเก่าๆ ภาพวาดสีน้ำพื้นหลังที่ชวนคิดถึง เหมือนงานศิลปะที่ขยับได้ ฉากบางฉากที่ไม่รู้ว่าบังเบิญหรือตั้งใจทำของทีมงาน ที่หวนกลับไปนึกถึงเรื่องเก่าๆ
สรุปง่ายๆ คือ ใครที่รักและชื่บชอบความคลาสสิคของ Studio Ghibli คุณจะได้ความสุขที่หาไม่ได้จากอนิเมชั่นในยุคปัจจุบันอย่างแน่นอน เพื่อนๆสามารถชม Mary and the Witch’s Flower ได้แล้วในโรงภาพยนตร์บางสาขา ช่วยสนับสนุนอนิเมชั่นที่มีคุณค่าแบบนี้กันเยอะๆนะครับ ผมเป็นห่วงเหลือเกินเรื่องรายได้และอาจจะมีจุดจบแบบจิบลิก็ได้ เมื่อวานผมไปดูที่ esplanade แคราย มีคนดูแค่ 3 คน และยังเป็นรอบ ซาวแทรกอีก ถ้าเราช่วยกันสนับสนุนเราอาจจะมีช่องทางในการชมภาพยนตร์มากขึ้นก็ได้นะครับ
[CR] [รีวิว] แมรี่ผจญแดนแม่มด Mary and the Witch’s Flower
"ไฟดวงเก่าที่มอดดับไฟเป็นแรงบันดาลใจให้สร้างไฟดวงใหม่ขึ้นมา" โดยประโยคที่กล่าวข้างต้น อาจจะเป็นประโยคที่ใช้แทนความหมายของอนิเมะเรื่องนี้ก็ได้ หากคุณกล่าวถึง My Neighbor Totoro / Kiki's Delivery Service / Princess Mononoke / The Tale of the Princess Kaguya หรือ Spirited Away ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นอนิเมชั่นที่สนุกและมีคุณค่ามากในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนไป ความนิยมเก่าๆเริ่มถูกแทนที่ด้วยสิ่งใหม่ๆ เมื่อสตูดิโอที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของวงการอนิเมชั่นญี่ปุ่นอย่าง Studio Ghibli ได้กล่าวคำลำลาอย่างสุดซึ่งด้วย When Marnie Was There ในปี 2014 สตูดิโอผู้สร้างการ์ตูนที่ทำให้เห็นถึงคุณค่าของชีวิตและสอนใจเด็กๆได้ปิดตัวลงไปตามกาลเวลา ทิ้งไว้เพียงชื่อและตำนานที่สวยงาม
เมื่อเวลาผ่านไปกลุ่มทีมงามเก่าๆของ Studio Ghibli ยังไม่หยุดและเริ่มสร้างผลงานใหม่และก่อตั้งสตูดิโอใหม่ภายใต้ชื่อ Studio Ponoc และผลงานชิ้นแรกก็ได้ลืมตาดูโลกขึ้นมาแล้ว ในชื่อ "Mary and the Witch’s Flower" หรือ "Meari to Majo no Hana" ชื่อไทย "แมรี่ผจญแดนแม่มด" เป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของ Studio Ponoc โดยมีหัวเรือใหญ่คือ Yonebayashi Hiromasa หนึ่งในทีมงานของ Studio Ghibli มาขึ้นแท่นกำกับ โดยผลงานเรื่องนี้ได้ถูกดัดแปลงมาจากหนังสือนวนิยาย "The Little Broomstick" ที่แต่งโดย แมรี่ สจ๊วต (Mary Stewart) นักเขียนชาวอังกฤษ เมื่อปี 1971
โดยเรื่องราวได้เล่าถึง Mary Smiths หนูน้อยผมหยิกสีแดง อาศัยอยู่กับป้าและยายที่คลหาสเล็กๆแห่งหนึ่ง โดยเธอมักจะเป็นคนซุ่มซ้าม เวลาทำอะไรมักจะมีของเสียหายอยู่ตลอด จนรู้สึกว่าบางครั้งนั้นตัวเองไร้ค่า วันหนึ่งเธอได้เข้าไปในป่าและได้พบกับ "ดอกไม้มหัศจรรย์" ที่จะพาเธอเข้าสู่โลกของเวทมนต์ เรื่องราวการผจญไพรสุดแฟนตาซีของหนูน้อย Mary จึงเริ่มขึ้น
เข้าสู่ช่วง Review
ถึงแม้พล้อตเรื่องหลัก จะเป็นแค่การเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ผ่านการผจญไพรของหนูน้อย Mary ไม่ได้มีจุดที่กระตุกต่อมที่ทำให้เกิดความตื่นเต้นเหมือนกับอนิเมชั่นยุคใหม่ๆ แต่นี่ก็เป็นจุดเด่นและความเป็นเอกลักษณ์ที่ให้ความคลาสสิคอย่างมากในเรื่องนี้ ผมให้คะแนนที่ 8 / 10 โดยส่วนตัวผมเป็นสาวกของ Studio Ghibli อยู่แล้ว ผมมีความชินกับการเล่าเรื่องแบบลักษณะนี้พอสมควร ถ้ามองอีกมุมนึงถ้าคนที่ไม่เคยดูอนิเมชั่นที่เล่าเรื่องในลักษณะแบบนี้ อาจจะเบื่อหรือง่วงหลับได้ แต่ถ้าหากใครที่ชอบการเล่าเรื่องแบบ เรื่อยๆเพลินๆ ประกอบกับภาพที่สวยงาม คุณอาจจะหลงรักเรื่องนี้เลยก็ได้ ตัวผมเองก็รัก Studio Ghibli มากๆ เรื่องนี้เหมือนการได้มาเจอกันอีกครั้ง กับบรรยากาศเก่าๆ ภาพวาดสีน้ำพื้นหลังที่ชวนคิดถึง เหมือนงานศิลปะที่ขยับได้ ฉากบางฉากที่ไม่รู้ว่าบังเบิญหรือตั้งใจทำของทีมงาน ที่หวนกลับไปนึกถึงเรื่องเก่าๆ
สรุปง่ายๆ คือ ใครที่รักและชื่บชอบความคลาสสิคของ Studio Ghibli คุณจะได้ความสุขที่หาไม่ได้จากอนิเมชั่นในยุคปัจจุบันอย่างแน่นอน เพื่อนๆสามารถชม Mary and the Witch’s Flower ได้แล้วในโรงภาพยนตร์บางสาขา ช่วยสนับสนุนอนิเมชั่นที่มีคุณค่าแบบนี้กันเยอะๆนะครับ ผมเป็นห่วงเหลือเกินเรื่องรายได้และอาจจะมีจุดจบแบบจิบลิก็ได้ เมื่อวานผมไปดูที่ esplanade แคราย มีคนดูแค่ 3 คน และยังเป็นรอบ ซาวแทรกอีก ถ้าเราช่วยกันสนับสนุนเราอาจจะมีช่องทางในการชมภาพยนตร์มากขึ้นก็ได้นะครับ