ไม่ได้จบอักษรฯ ไม่เคยเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ แต่สอบ GAT, TOEIC, IELTS ครั้งแรกได้ 285 / 965 / 7.0 ทำได้ไง? (ยาว ตอนที่ 2/2)

จุ๊บๆกระทู้ ตอนที่ 1/2 ตามลิงค์นี้เลยนะคะ : https://ppantip.com/topic/36884401

กระทู้แรกได้กล่าวไปแล้ว 3 ข้อ คราวนี้มาถึงข้อที่ 4 และบทสรุปในสไตล์ของดิฉันเองนะคะ

จุ๊บๆ4. อยากพูดได้ ก็จำประโยคมาใช้ไปเลย ไม่ต้องแต่งเอง เพราะมันจะไม่ธรรมชาติ (ห้ามอ้างว่าอายหรือไม่กล้า ตัวช่วยของคุณเยอะมากๆ)
        อมยิ้ม36ข้อดีเด่นๆที่ได้จากการจำประโยคมาใช้พูด
    1. ไม่ต้องมาคิดๆๆๆๆๆ นึกๆๆๆๆๆ คำศัพท์กับแกรมม่าเพื่อที่จะพูดสักประโยคหนึ่งออกมา
    2. พูดปุ๊บ ฝรั่งเข้าใจปั๊บ เพราะเจ้าของภาษาฯเขาใช้พูดกันแบบนี้ทั่วไป
    3. พูดผิด อาจจะอาย แต่อายแล้วมักจะจำ ต่อไปก็ไม่ผิดอีก...งี้
    4. แกรมม่ามาเองโดยอัตโนมัติหวะเฮ้ย !!!
    บางคนบอกว่า “อยากพูดได้...ก็พูด” แต่ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนจะมั่นหน้ามั่นโหนกขนาดนั้น อันนี้เรามาพูดถึงความเป็นจริงกันไม่ใช่ความเพ้อฝันหรือ โลกสวยอะไรทั้งนั้นนะคะ หลายๆครั้งคนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เพราะคลังคำศัพท์ในหัวยังน้อยเกินไป แต่ก็ขี้เกียจมานั่งท่องศัพท์วันละ 10 คำ แกรมม่าอีกวันละ 3 เรื่อง พอครบ 100 เรื่องก็ลืม กว่าจะพูดได้ ฝรั่งคงเลิกพูดภาษาอังกฤษกันไปแล้ว (เสียดสีเบาๆ เพื่อปลุกยักษ์ในตัวคุณ...อิอิ) ไม่ใช่ว่าไม่ต้องท่องนะคะ แต่อย่าท่องแยกกัน ดิฉันขอเรียกมันว่า "คลังประโยค" แทนแล้วกันนะคะ เพราะท่องปุ๊บเอามาใช้ได้จริงปั๊บ ไม่ต้องมานั่งประกอบคำประกอบแกรมม่าใดๆอีก กล่าวง่ายๆ...เทคนิคของดิฉัน คือ จำทั้งหมดมาเลยดีกว่าค่ะ จำมาทั้ง Chunk ไม่แยกจำ...แบบนั้นมันเยอะ+งง+แอบเสียเวลาเน้อ

        อมยิ้ม36สไตล์สิ่งที่จำมาพูด
    1. ชอบศึกษาประโยคจากคำพ้องความหมาย หรือ Synonym นั่นเอง ดิฉันเพียงอยากสร้างความหลากหลายในการใช้คำเพื่อการพูด (รวมถึงการเขียน) ให้ตัวเองดูกิ๊บเก๋ยูเรก้าแถมยังได้คะแนนสอบเพิ่มแบบพุ่งพรวดอีกด้วย แนะนำให้ทุกคนมีพจนานุกรมคำเหมือนภาษาอังกฤษ “Thesaurus Dictionary” ติดตัวเลยแล้วชีวิตจะดีขึ้น 99.99% ดิฉันใช้ของ Oxford Learner’s Thesaurus บนคอมพิวเตอร์หากินมาเกือบจะ 10 ปีได้แล้ว ไม่มีครั้งไหนไม่เคยใช้ โดยเฉพาะ...ถ้าต้องทำงานเขียนที่เป็นทางการหน่อยๆอ่ะค่ะ



       2. จำมาจากรายการ หรือ หนัง หรือเกมของฝรั่ง ก็ดีเว่อร์จริงๆ อันนี้จะเป็นการจำประโยคจากภาพ ซึ่งเราจะจำได้ดีมากๆ ยิ่งถ้าเป็นฉากที่โดนใจเรา เราจะยิ่งจำได้ดีเป็นพิเศษ และแกรมม่าจะมาเอง เพราะประโยคบางประโยคมักถูกใช้ใน Tense เดิมๆเสมอ



        อมยิ้ม11ข้อควรระวัง
    1. จำอะไรมา ต้องแน่ใจว่ามันถูกต้องจริงๆ และต้องเป็นภาษาพูดจริงๆ เช่น I don’t know nobody here. มันเป็นภาษาเพลงของพวกแร็ปเปอร์ซึ่งผิดแกรมม่าเต็มๆ คนส่วนมากจะยอมรับประโยคนี้มากกว่านะ “I don’t know anybody here.” เพราะมันถูกแกรมม่ามากกว่าและ 99.99% เขาพูดกันแบบนี้ทั่วโลก (ข้อสอบก็ออกแบบนี้ทั่วโลกเช่นกัน) หรือถ้าไม่แน่ใจประโยคของตัวเองให้ลองพิมพ์ใส่ Google เลยค่ะ...ดิฉันทำประจำ จะได้รู้ไปเลยว่าปกติแล้วฝรั่งเขาใช้ประโยคแบบนี้พูดกันรึเปล่า ถ้ามันขึ้นมาสัก 3-4 แหล่งข้อมูลก็โอเคแล้วคร่าาาา แต่ถ้ามันไม่ขึ้น...เราก็สังเกตจากบริบทที่ Google ให้มาแทน ส่วนมากมันจะแนะนำเรามาดี และตรงกับที่ใจเราต้องการจริงๆค่ะ (ดิฉันทำประจำ...ขอเน้น อิอิ)
    2. อย่าเอาภาษาเขียนมาพูดเลยเธอ คือ บางคนพยายามจำภาษาสวยๆมาพูด ทำให้ออกเสียงก็ยาก แถมฟังดูแปลกๆไม่เป็นธรรมชาติเข้าไปอีก เช่น ถ้าอยากชมใครสักคนว่าหล่อนสวยแบบสุดๆ บางคนจะใช้ประโยคนี้ “You are unbelievably cute. = คุณนี่น่ารักมากจนผมไม่อยากจะเชื่อเลย” คือฟังดูแล้วมันแปลกๆพิกลๆ ลองใช้ประโยคง่ายๆแบบนี้ดีกว่าไหม เช่น “You look gorgeous! = คุณดูสวยมากๆเลย” เป็นต้น
    3. ระวังเรื่องการออกเสียงพวกคำคล้ายประเภทต่อไปนี้



        ต้องยอมรับจริงๆว่าเมื่อก่อน ตัวดิฉันเองพูดภาษาอังกฤษแบบผิดๆถูกๆอย่างมาก จำได้แม่นเลยประโยคหนึ่งคือ “My bag is very hard.” จริงๆจะบอกว่าเป้ของฉันหนักมากๆ แต่ดันไปพูดว่ามันแข็งเอามากๆ คำที่ถูกต้อง คือ heavy ไม่ใช่ hard ...หลังจากวันนั้นมาก็ไม่ผิดอีกเลย ฮ่าๆๆ หรือ เวลาที่เราจาม แล้วฝรั่งบอก ‘Bless you.’ เราก็ต้องตอบกลับด้วยว่า ‘Thank you.’ ไม่ใช่นิ่งเงียบนะ มันดูเสียมารยาทเบาๆ (คือปกติ เมื่อก่อน ดิฉันเงียบๆเฉยๆ ตลอดอ่ะ เหอๆ) หรือ เวลามีคนถามว่าคุณจะดื่มน้ำไหม แล้วคุณตอบว่าไม่เป็นไร มันต้องลงท้ายด้วยคำว่า ‘ขอบคุณ’ ด้วยนะคะ “No, thanks.” อย่า No ห้วนๆ มันไม่สุภาพเบาๆค่ะ
    ถ้าถามถึงเครื่องมือฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษยุคประเทศไทย 4.0 คงจะหนีไม่พ้นแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่ตอบสนองความต้องการตรงจุดนี้ แบบฟรีมีเพียบ กดค้นหาเลยบนมือถือหรือแท็ปเล็ตของคุณวันนี้...อย่ารอช้า (ป.ล. ดิฉันไม่มีแอปฯใดแนะนำ เพราะคิดว่าทุกแอปฯมีข้อดีแตกต่างกันไป ให้คุณลองหมุนเวียนโหลดมาใช้ดูนะคะ)

หมายเหตุ นี่มันสไตล์ของดิฉันเองนะคะ ผิดถูกอย่าว่ากันแรงมากน้าาาา

จุ๊บๆสรุป
        ที่กล่าวมาทั้งหมด ดิฉันเพิ่งมานั่งค้นพบเหมือนกันว่าดิฉันผ่านกระบวนการเรียนรู้ภาษาตามธรรมชาติมา...ภาษาอังกฤษของดิฉันจึงแข็งแรง กล่าวคือ ดิฉันฝึกฝนตัวเองผ่านวงโคจรแบบเด็กแรกเกิดที่ยังไม่รู้ภาษาใดๆเลย ทารกเริ่มจากการฟังก่อนสิ่งอื่นใด ซึ่งตรงนี้ทารกจะได้เปรียบในเรื่อง ‘สำเนียง’ มากกว่าผู้ใหญ่ที่เพิ่งมาเริ่มเรียนภาษาที่สองจากการฟัง เพราะสมองในช่วงวัยเด็กสามารถซึมซับและเลียนแบบเสียงได้ดีกว่า (มีงานวิจัยสนับสนุน) หลังจากนั้นทารกจะเริ่มพูดโดยการเลียนแบบเสียงที่ตัวเองได้ยิน จนกระทั่งเข้าโรงเรียนจึงอ่านออกเขียนได้นั่นเอง แหมะ...รู้แบบนี้ ถ้าดิฉันมีลูก ดิฉันจะรีบชวนพวกเขามาเอ็นจอยอะไรก็ได้ที่เป็นภาษาอังกฤษ ลูกๆในอนาคตของดิฉันจะได้ใช้ภาษาอังกฤษเหมือนเป็น 'mother tongue = ภาษาแรก' ของตัวเอง นั่นเอง

  


        สุดท้ายนี้ ถ้าหากคุณพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณเองตามวิธีทางธรรมชาติดังเช่นทารก ดิฉันเชื่อว่าภาษาอังกฤษของพวกคุณจะแข็งแรงขึ้นอย่างแน่นอน และมันจะ ‘ยั่งยืน’ ได้ก็ต่อเมื่อพวกคุณ ‘คลุกคลี’ กับมันบ่อยๆ ถ้าคุณทิ้งมันอย่างไร้เยื่อใย...มันก็จะทิ้งคุณ และเมื่อคุณต้องการมัน...มันจะไม่กลับมาหาคุณอีก ดังเช่น เวลาคุณต้องสอบ TOEIC หรือ IELTS ที่มีการสอบพาร์ทพูดและเขียนเข้ามาเอี่ยว ด้วยความที่คุณรีบใช้คะแนน...ก็ต้องรีบสอบ...เมื่ออะไรๆก็รีบ...คุณไม่มีทางเตรียมตัวทันชัวร์ๆ หรือแม้ว่าจะสอบผ่านแบบพอดี๊พอดี แต่เมื่อเข้าไปใช้ชีวิตจริงก็ฟังไม่รู้เรื่องพูดไม่ออกเหมือนเดิม จงอย่าให้ความไม่ยั่งยืนมาทำลายโอกาสของคุณ เพียงเพราะคุณใช้ภาษาอังกฤษไม่เป็นเลยค่ะ ดิฉันเป็นกำลังใจให้ทุกคนเสมอนะคะ เลยต้องมาแชร์วิธีการดีๆที่ทำได้จริง ไม่ใช่แค่อยู่ในทฤษฎีหรือโลกสวยใดๆทั้งนั้น ดิฉันเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่ง(จากคนไทยหลายๆคน) ว่าจริงๆแล้วคุณสามารถได้คะแนน GAT = 285 / TOEIC = 965 / IELTS = 7.0 / วิทยานิพนธ์ ป.โท = 18/20 (มาตรฐานที่ UK) ภายในครั้งแรกและครั้งเดียวแบบไม่ลำบากมากไม่เสียเงินเยอะ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องจบอักษรฯหรือศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษเลย (ย้ำว่าไม่จำเป็น) จบอะไรมาก็สามารถทำคะแนนสอบดีๆได้ทั้งนั้น...ลุกขึ้นมาสู้เลยวันนี้ !

สู้ๆเด้อค่าาาาาาาาา

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่