[GOT7] กระทู้อวยชเวยองเจ 2 – เหตุผลที่แท้จริง

เนื่องในโอกาสวันครบรอบวันเกิดปีที่ 21 ของยองเจ ประกอบกับครบรอบ 8 เดือนที่เขียนกระทู้ถึงน้องพอดี แอบทราบมาว่ามีหลายคนรออ่านกระทู้ยองเจแล้วเราไม่ได้เขียนต่ออีก บางคนเลยคิดว่าเราคงเลิกชอบน้องไปแล้ว ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ไม่ใช่ว่าไม่รักแล้วเลยไม่เขียนถึงนะ แต่เป็นเพราะรักมากจนเขียนไม่หมดต่างหากค่ะ 5555

กระทู้นี้จึงขอให้อุทิศให้ชเวยองเจอีกหนึ่งกระทู้ค่ะ ขอมอบให้น้องเป็นหนึ่งในของขวัญวันเกิด แม้ว่าน้องอาจไม่ได้อ่านก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่หากสิ่งที่เราเขียนทำให้มีคนรัก เอ็นดู และเข้าใจยองเจเพิ่มขึ้นก็ขอขอบคุณผู้อ่านที่ตั้งใจอ่านทุกท่านด้วยนะคะ บอกก่อนเลยค่ะว่ายาวมาก มหากาพย์ค่ะ 5555




ยองเจคือเหตุผล

มีคนถามเราและเราก็ถามตัวเองเหมือนกันว่า “ทำไมถึงรักยองเจมากขนาดนี้" ในสายตาคนทั่วไปก็แค่นักร้องเกาหลีคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ เรื่องความรู้สึกข้างในอาจพิสูจน์กันยากนะคะ แต่สำหรับเราแล้วยองเจผลักดันให้เราทำอะไรหลายอย่าง รวมทั้งมาตั้งกระทู้ถึง GOT7 ด้วยค่ะ และกระทู้นี้ก็จะตอบคำถามว่าเหตุผลที่แท้จริงภายใต้ความรักที่มีต่อน้องนั้นคืออะไรกันแน่

ก่อนอื่นขอลั่นนโยบายนะคะ เราเชื่อว่าความรักมีเหตุผลเสมอค่ะ ความรักไม่ใช่เรื่องงมงาย เพราะถ้าไม่มีเหตุผลแบบนั้นเราก็คงจะรักทุกอย่างในโลกได้หรือคงจะเกลียดทุกสิ่งในจักรวาลได้เช่นกัน แต่เข้าใจว่าความรู้สึกมันซับซ้อนเป็นเรื่องที่อธิบายยาก ก็ไม่แปลกอะไร เพราะใช่ว่าเราทุกคนจะสามารถเข้าใจธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่เชื่อว่าความรักจะเกิดขึ้นจากสุญญากาศ

สำหรับยองเจ เราได้ค้นหาคำอธิบายเรียบร้อยแล้วค่ะ เพราะเราเป็นประเภทไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองสงสัย 5555 เหตุผลที่เรารักยองเจแบ่งสาเหตุหลักได้ 2 ระดับค่ะ คือ ระดับส่วนตัวและระดับสากล

เหตุผลส่วนตัวก็ไม่อยากพูดมากแล้วนะคะ เพราะไม่น่าจะมีคนสนใจเท่าไหร่ เอาเป็นว่าส่วนตัวเรามีพื้นฐานคล้ายกับยองเจหลายเรื่องค่ะ คือหลายเรื่องมากจริงๆ ตั้งแต่วันเกิด กรุ๊ปเลือด บุคลิกจิตวิทยา ความชอบความสนใจ ไปจนถึงพื้นฐานครอบครัว เรารู้สึกว่าเราเข้าใจน้อง เข้าใจการกระทำของน้อง ถึงจะไม่ได้เหมือนเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็นับว่าตลอดชีวิตนี้คนรู้จักของเราทั้งติ่งและไม่ติ่ง นอกจากจินยองกับแจบอมแล้วก็ยังไม่เจอใครมีความคิดคล้ายเราเท่ายองเจแล้วอ่ะค่ะ (ก็เลยเมนทั้งสามคน) แล้วก็ตามเดิมค่ะ คนเราย่อมรักชอบในสิ่งที่เราเข้าใจ รักในสิ่งที่คล้ายคลึงกับตัวเอง เพราะมันคือการยืนยันว่าเรามีตัวตนในโลกนี้จริงนะ คือยังมีคนที่มีความคิดและนิสัยใจคอแบบเราอยู่  ประมาณว่าฉันไม่ได้อินดี้อยู่คนเดียว 55555 สำหรับคนอื่นเราไม่รู้นะคะ แต่เรานึกภาพไม่ออกว่าเราจะไปรักคนที่ไม่มีความชอบความสนใจ หรือไม่มีพื้นฐานครอบครัว หรือไม่มีความคิดสอดคล้องกับเราได้ยังไง คือเราไม่สามารถจริงๆ ค่ะ แบบเรานึกภาพไปรักสายบู๊ตีรันฟันแทง หรือสายฟิสิกส์ควอนตัม หรือจะสายเล่นหุ้นเก็งกำไรอะไรก็นึกไม่ออกเลยค่ะ คือไม่ใช่แนวเลยอ่ะค่ะ ประมาณนั้น

ส่วนเหตุผลระดับสากล เหตุผลของความรักยองเจระดับนี้ หากจะมองให้ลึกลงไปในแง่จิตวิทยาและวิวัฒนาการของมนุษย์ก็คงหลีกไม่พ้นสัญชาตญาณค่ะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ดำรงอยู่ด้วยแรงขับสำคัญคือการดำรงเผ่าพันธุ์ อาจจะดูเว่อร์ว่าการชอบดาราศิลปินจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ ขอตอบว่าเกี่ยวแน่นอนค่ะ แต่เราแค่อาจจะไม่รู้ตัวเอง วิชาการหน่อยนะคะ แต่ถ้าไม่พูดถึงเลย กระทู้นี้ก็คงเป็นกระทู้บอกรักยองเจแบบไร้สาระ 555555

หากมีใครถามว่า “ทำไมถึงรักยองเจ?” คำตอบที่จะให้ก็คือ เพราะยองเจน่ารัก

แม้จะดูกำปั้นทุบดินแต่นี่เป็นเหตุผลที่แท้จริงค่ะ ลองสังเกตดูนะคะ ไม่ว่าใครหากได้ลองรู้จักยองเจก็จะต้องบอกว่าน้องเป็นคนน่ารักทั้งนั้น เหตุผลของการที่มนุษย์เราจะมองอะไรว่าน่ารักนั้นเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของเด็กค่ะ หากใครไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กต้องน่ารัก เหตุผลก็เพราะว่าเด็กคือลูกของพวกเรานั่นเอง เด็กเป็นมนุษย์รุ่นต่อไปที่จะดำรงไม่ให้เผ่าพันธุ์ของเราสาบสูญ มนุษย์เราถูกขับดันทุกวิถีทางเพื่อให้มีเด็กและเพื่อทำให้เด็กมีชีวิตรอดเป็นมนุษย์ที่เติบโตเต็มที่ต่อไป

ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะรักและเอ็นดูลูกตัวเองนะคะ สัตว์บางชนิดบางครั้งก็กินลูกตัวเองด้วยซ้ำ แต่มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดค่ะถึงได้ครองโลกอยู่อย่างทุกวันนี้ มนุษย์มีสมองขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว ซึ่งสมองขนาดใหญ่นี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการพัฒนา สมองมนุษย์จะพัฒนาเต็มที่เมื่ออายุ 5 ปี กว่าจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ก็ประมาณ 12 ปี และเจริญโตเต็มที่ก็ประมาณ 20-25 ปี

มนุษย์มีวัยเด็กที่ยาวนานกว่าสัตว์หลายประเภท กว่ามนุษย์คนหนึ่งจะสามารถดูแลตัวเองได้อย่างอิสระ มีทักษะหาอาหาร หาที่อยู่ปลอดภัย ป้องกันตัวเองจากภัยอันตราย จนถึงมีทายาทรุ่นต่อไปได้ เราจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยมนุษย์คนอื่นอยู่หลายปี อาศัยทั้งการดูแลทางกายภาพและอาศัยความรู้ที่มนุษย์รุ่นก่อนหน้าจะถ่ายทอดเพื่อให้เราดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ

วัยเด็กของมนุษย์นั้นอ่อนแอเปราะบางเมื่อเทียบกับสัตว์อื่นที่เกิดมาไม่กี่ชั่วโมงก็วิ่งได้ เพราะเราไม่ได้มีผิวหนังหรือกระดองหนาห่อหุ้ม ไม่ได้มีพิษสงป้องกันตัวเอง ไม่ได้มีพละกำลังหรือความสามารถเคลื่อนที่รวดเร็วหนีศัตรู ลองจินตนาการถึงมนุษย์ถ้ำในอดีตนะคะ หากเสือหมีงูเงี้ยวจะคาบเด็กไปกินก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ดังนั้นเด็กจึงต้องมีคนอย่างน้อย 1-2 คนช่วยกันดูแล นึกถึงสมัยโบราณนะคะ อัตราการรอดของทารกต่ำกว่าปัจจุบันมาก

ไม่ต้องแปลกใจที่ในอดีตซิงเกิ้ลมัมจะเป็นเรื่องประหลาด การคุมกำเนิดถือเป็นบาป และการหย่าร้างถือเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะพ่อหรือแม่คนเดียวไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กทารกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพได้เท่ากับมีคนในครอบครัวช่วยเลี้ยง แต่ปัจจุบันมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้นก็ทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้น แต่ถ้าถามเรื่องความสมบูรณ์อบอุ่นก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีทั้งพ่อและแม่พร้อมหน้าในครอบครัวนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเด็กมากขนาดไหน มีงานวิจัยระบุว่าทารกที่ได้รับความรักและการสัมผัสกอดจูบ พูดคุย สบตาจากแม่พ่อจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าทารกที่ได้รับสัมผัสน้อยกว่า ดังนั้นเด็กที่เติบโตมาจากครอบครัวที่อบอุ่นจึงมีหัวใจที่อบอุ่นอ่อนโยน ไม่รู้สึกโหยหาความรักอย่างไม่เลือกหน้า หรือหวาดกลัวผู้คนแบบไม่ไว้วางใจมนุษย์เลย

“ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกของมนุษย์นั้นเป็นเอกลักษณ์ในโลกของสัตว์ทั้งปวงและเป็นพลังหนึ่งเดียวที่จะมีอิทธิพลต่อการที่เราจะไขว่คว้าและแสดงความรักเมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่” – ดร.ริค แฮนสัน และ นพ.ริชาร์ด เมนดิอัส, 2557

เมื่อมนุษย์ต้องช่วยกันเลี้ยงดูเด็ก ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ฝังอยู่ในสัญชาตญาณของเราก็คือความรักและความเอ็นดูต่อเด็ก มันเป็นธรรมชาติค่ะ เราห้ามตัวเองไม่ให้รักลูกของเราได้ด้วยเหรอคะ มนุษย์ปกติทั่วไปย่อมมองว่าเด็กน่ารักน่าทะนุถนอมเลี้ยงดูเสมอ ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกของเราหรือไม่ก็ตาม แค่มีคุณสมบัติเหมือน “เด็ก” เราก็พร้อมจะมอบความรักและการดูแลให้อยู่แล้ว ทั้งยังเผื่อแผ่ครอบคลุมไปถึงสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นด้วย เช่น หมา แมว หรือกระทั่งสิ่งไม่มีชีวิตอย่างตุ๊กตา หากมีลักษณะคล้ายเด็กเราก็พร้อมจะมองว่าน่ารัก อยากสัมผัสเลี้ยงดู โดยไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน แค่ได้เห็นว่าเขาอยู่อย่างมีความสุขและปลอดภัยนั่นก็คือความสุขที่สุดของเราแล้ว ใครมีลูกหรือมีสัตว์เลี้ยงจะเข้าใจดีค่ะ แล้วยิ่งเมื่อได้รู้จักใกล้ชิดก็ยิ่งจะสร้างความรู้สึกผูกพัน (สมองหลั่งสารออกซิโทซิน) วิวัฒนาการนี้ในมนุษย์จึงทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเราสามารถเอาตัวรอดในสภาวะที่ยากลำบากได้

เรื่องนี้ก็ต้องย้ำอีกครั้งว่าเราเป็นสายโนรา คุนทา อ๊อด โคโค่ มิโฮ และอีกสารพัดสัตว์ในอนาคตของเด็กกัซนะคะ รวมไปถึงคนรักของน้องด้วย ไม่เคยมีความอิจฉาใดๆ แม้แต่จะพูดเล่นก็ไม่เคยมีความคิดนั้นค่ะ เพราะมันก็แปลกอยู่นะถ้าจะมีคนมารู้สึกอิจฉาที่เรารักคู่ชีวิตของเรา อิจฉาที่เรารักลูกตัวเอง หรืออิจฉาที่เรารักหมาแมวของเรา เอาจริงๆ เราไม่เข้าใจตรรกะนั้นค่ะ เราเข้าใจว่าถ้ามีใครสักคนที่รักเราด้วยใจจริง เขาก็จะต้องเข้าใจความรักของเราที่มีต่อคนอื่นด้วย พูดเลยว่าใครมาบอกให้เลือกคนหรือสัตว์เลี้ยงอะไรทำนองนี้คือรับรองได้ว่า บาย!

ตัดมาที่แล้วคุณสมบัติของเด็กมีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างทางกายภาพ เช่น ตัวกลม หัวกลม ตากลมโตใสแป๋ว แก้มยุ้ย ปากนิด จมูกหน่อย ขาสั้น แขนสั้น นิ้วป้อม ผิวพรรณสดใส นุ่มนิ่ม ท่าทางเงอะงะเด๋อด๋า ส่วนลักษณะนิสัยของเด็กก็เช่น อยากรู้อยากเห็น ชอบเรียนรู้ ซุกซน ขี้เล่น ทะเล้น ชอบเลียนแบบ มองสิ่งรอบตัวด้วยสายตาสนใจเป็นประกาย แสดงอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ ไม่พอใจก็แสดงออกอย่างเป็นตัวของตัวเอง (selfishness เป็นธรรมชาติของเด็ก เพื่อทำให้คนมาสนใจดูแล เด็กทุกคนต้องเรียกร้องและเอาแต่ใจค่ะ ถ้าไม่เอาแต่ใจตัวเองต้องถือว่าแปลก)

ร่ายมาขนาดนี้ก็ลองย้อนกลับไปเทียบกับยองเจค่ะ น้องมีลักษณะเหมือนเด็กอยู่มากจริงๆ ทั้งรูปร่างหน้าตาและนิสัย บางคนเพิ่งรู้จัก GOT7 ก็ยังคิดว่ายองเจเป็นน้องเล็กที่สุดด้วยซ้ำ

สังเกตดูก็ได้ค่ะ ยองเจแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา รู้สึกขำก็หัวเราะอ้าปากไม่มีกระมิดกระเมี้ยน ดีใจก็ตะโกนเสียงดัง คันก็เกา หิวก็กิน ง่วงก็หาว สงสัยก็ถาม ไม่พอใจก็โวยวาย เขินอายก็ม้วนบิดปิดหน้าปิดตาไม่มีการรักษาภาพมาดแมนใดๆ อารมณ์พื้นฐานของยองเจแทบไม่ต้องตีความค่ะ เบื่อก็ดูออก ประหม่าก็ดูออก แถมยังกลัวง่าย ตกใจง่าย หลอกก็ง่ายเหมือนเด็ก ชอบแกล้ง ชอบล้อเลียน ทำท่าทำทางทะลึ่งทะเล้นโดยเฉพาะกับเมมเบอร์ ชอบเกี่ยวแขน เกยคาง เกาะกอดออดอ้อนทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว ท่าทางตะมุตะมิก็ไม่รู้ตัวหรอก บางทีก็พูดจางุ้งงิ้งเสียงสองเสียงสาม เป็นธรรมชาติของน้องจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง ที่สำคัญที่สุดคือเวลายิ้มตาปิดเป็นรูปสระอิ

พูดถึงรอยยิ้ม ขออธิบายเพิ่มนิดนึงว่าทำไมเวลาเห็นยองเจยิ้มแล้วเราถึงรู้สึกมีความสุข ทำไมรอยยิ้มของยองเจถึงได้ดูสว่างไสวสดใสนัก ก็เพราะยองเจยิ้มอย่างจริงใจค่ะ ยิ้มแบบรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีความทุกข์ให้ต้องคิด ยิ้มแบบไม่แฝงนัย ยืมแบบไม่ได้ฝืนหรือใส่หน้ากากอย่างที่เราอาจต้องเจอในสังคม

ปกติมนุษย์ทุกคนมีเซลล์ประสาทกระจกเงาค่ะ ประมาณว่าเป็นเซลล์ที่ทำให้เราสามารถตีความและเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกจากสีหน้าท่าทางการแสดงออกของคนอื่นเหมือนกับว่าเป็นความรู้สึกของตัวเอง เวลาดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสือหรือฟังเรื่องของคนอื่นเราจึงมักจะอินเหมือนเป็นเรื่องของตัวเองไปด้วยนั่นแหละค่ะ เรื่องการตีความอินเนอร์นี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ก็จริงแต่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะมีเท่ากันนะคะ ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และประสบการณ์ของคนเหมือนกัน

ยองเจทำให้เราสัมผัสถึงความสุขจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันเวลาที่น้องถ่ายทอดความเศร้าเราก็จะรู้สึกเศร้าไปด้วย เพราะสิ่งที่น้องแสดงออกนั้นจริงใจเหมือนกับเด็ก ในชีวิตที่มีเรื่องให้ต้องกังวลอีกมากมาย แต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของยองเจทำให้เราสัมผัสความสุขได้ นั่นเป็นเครื่องเยียวยาปลอบประโลมจิตใจของเราในทันที

ที่ยองเจยังมีลักษณะเหมือนเด็กทั้งที่อายุก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะน้องเป็นลูกคนเล็ก แถมยังเป็นลูกหลง อายุห่างจากพี่สาวและพี่ชายหลายปี ยองเจบอกเองว่าพ่อแม่ไม่ได้วางแผนมีลูกคนที่ 3 บ้านจึงหลังเล็ก เด็กสามคนเลยนอนอยู่ห้องเดียวกันจนเป็นวัยรุ่น ทุกคนในครอบครัวต่างก็ให้ความสนใจทะนุถนอมน้องชายตัวน้อยสุดรักสุดหวง แถมน้องยังเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เติบโตมาแบบไร้เดียงสา โตมากับความเอาใจใส่และการปกป้องดูแลแบบไม่ต้องวิตกเรื่องความปลอดภัยในชีวิต เมื่อเทียบกับเด็กที่โตในเมืองซึ่งโดยปกติจะมีเขี้ยวเล็บความแก่แดดมากกว่าเพราะต้องเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันและอันตรายรอบทิศ ดูยองเจสมัยเดบิวต์แรกๆ สิคะ น้องเหมือนเด็กบ้านๆ ซื่อๆ ใสๆ ไม่ประดิดประดอยภาพลักษณ์อะไรเลย

(ต่อคอมเม้นต์ค่ะ ที่ไม่พอ)
ป.ล. เอดิทแก้คำผิดนะคะ ไม่ต้องตกใจ ไม่ได้เปลี่ยนเรื่อง 555
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่