กว่า 71 ปี ที่พรรคประชาธิปัตย์ถือกำเนิดบนยุทธจักรการเมืองไทย เป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดที่
ยังเหลือลมหายใจมาจวบจนปัจจุบัน
เมื่อ 71 ปีก่อน พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ก่อตั้งด้วยอุดมการณ์อยู่คนละขั้วอำนาจของ
คณะราษฎรสายพลเรือน-ปรีดี พนมยงค์
เกาะเกี่ยว-รวบรวมชนชั้นสูง ชนชั้นเจ้านายที่หมดอำนาจไปตั้งแต่ปฏิวัติ 2475 กลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์
กับฝ่ายปรีดี กับบรรดาขุนทหารที่กำลังถูกคณะที่เรียกว่า “เสรีไทย” มาบดบังรัศมี เพราะได้รับ
สนับสนุนทั้งอาวุธ ทั้งปัจจัยการเมืองที่เพียบพร้อมกว่า
หลังปฏิวัติ 2490 พรรคประชาธิปัตย์ขับเคลื่อนด้วยแนวทางอนุรักษนิยม มีแกนหลักเป็นนายทุน
เก่า-ชนชั้นนำที่คอยสนับสนุนพรรค ทุกช่วงกาลเวลาบนถนนการเมือง
กว่า 71 ปี พรรคประชาธิปัตย์ ยังคงรักษาแนวทางอนุรักษนิยมไว้อย่างเหนียวแน่น ทำเนียบหัวหน้า
พรรคสีฟ้า บันทึกไว้ว่ามีหัวหน้าพรรค 7 คน ตั้งแต่คนแรก “ควง อภัยวงศ์” ถึงคนปัจจุบันชื่อว่า
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
ทว่าในช่วง 2 ทศวรรษหลัง การคงคอนเซ็ปต์อนุรักษนิยม ผสานทุนเก่ากับนักการเมืองที่ส่วนใหญ่
เป็นนักการเมืองภาคใต้ กลับไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถครองใจประชาชนภาคอื่น ๆ ได้
เมื่อต่อสู้กับพรรคการเมืองที่รวบรวมกลุ่มคนมีความคิดก้าวหน้า เป็นพรรคของทุนใหม่ ใช้นโยบาย
“ประชานิยม” อย่างพรรคไทยรักไทย เข้ามาติดตั้งในระบอบการเมือง สามารถโกยคะแนนเสียง
ได้อย่างท่วมท้น
กว่า 20 ปี แม้พรรคไทยรักไทย จะถูกยุบเปลี่ยนชื่อพรรคไปแล้ว 2 หน ทว่า… พรรคประชาธิปัตย์ยัง
ไม่ชนะเลือกตั้ง
<
<
<
แพ้เลือกตั้ง-สถาปนา กปปส.
สถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองขับไล่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน
เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตึงเครียด-นองเลือด มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก อีกทั้งยังใกล้เวลา
“ครบเทอม” 4 ของสภาผู้แทนราษฎร ทำให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์-อภิสิทธิ์ ประกาศ “ยุบสภา”
ก่อนครบเทอม ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 ก่อนจะแพ้การเลือกตั้งราบคาบต่อพรรคเพื่อไทย (พท.)
วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ใส่พานเก้าอี้นายกฯ หญิงคนแรก ให้กับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
แต่แล้วการเดินหมากการเมืองพลาดตาเดียวล้มทั้งกระดานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จุดชนวนให้นายสุเทพ
ถือธงนำขบวน 8 แกนนำ-สาวกพรรคประชาธิปัตย์ลาออกจาก ส.ส. (12 พ.ย. 56) นำขบวนต่อต้าน
กฎหมายนิรโทษกรรม “สุดซอย”-สถาปนาคณะกรรมการ กปปส. ยกระดับขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์-
ต่อต้านระบอบทักษิณ ก่อน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จะพาเหรดกันลาออกจาก ส.ส. (8 ธ.ค. 56)
ทั้งสถาบันการศึกษา อดีตข้าราชการ ธนาคาร เครือข่ายชนชั้นนำได้ร่วมปฏิบัติการ กปปส. จนมาถึง
รัฐประหาร 22 พ.ค. 2557
บอยคอตเลือกตั้งรอบสอง
แต่ระหว่างทางก่อนถึงวันยึดอำนาจโดย คสช. เมื่อ 21 ธันวาคม 2556 “อภิสิทธิ์” นำทัพพรรคประชาธิปัตย์
ประกาศไม่ลงสมัครเลือกตั้งเป็น “รอบที่สอง” ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยให้เหตุผลว่า ประชาชน
“หมดศรัทธา” นักการเมือง-พรรคการเมือง ระบบการเลือกตั้ง และต้องการปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง
ยกฟ้องคดีสลายชุมนุม นปช.
วันที่ 31 สิงหาคม 2560 ศาลฎีกามีคำพิพากษา “ยืนตาม” ศาลอุทธรณ์ “ยกฟ้อง” คดีสลายการชุมนุม
กลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 กรณีนายอภิสิทธิ์
อดีตนายกรัฐมนตรี-นายสุเทพ อดีตรองนายกรัฐมนตรี-ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน
(ศอฉ.) เป็นจำเลย เพราะคำฟ้อง “อยู่นอกเหนือเขตอำนาจศาล”
ล้างภาพอนุรักษนิยม
แต่ทั้งหมดทั้งมวล “กรณ์ จาติกวณิช” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์-อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ได้ฉายภาพประชาธิปัตย์ในมุมมองใหม่ ล้างภาพพรรคอนุรักษนิยม ว่า ในฐานะฝ่ายริเริ่มนโยบายของพรรค
สามารถชี้ให้เห็นแนวนโยบายที่จะเป็นทิศทางของประเทศได้ในอนาคต
“กิจกรรมในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเป็นกิจกรรมที่ตัวเองสนใจและอยากช่วยคน ขณะเดียวกันเนื่องจากสวมหมวก
นโยบายของพรรคด้วย จึงได้มีโอกาสทดลองหลักคิดของตัวเอง และทดสอบนโยบายเมื่อต้องนำไปสู่การปฏิบัติ
อาทิ โครงการ English for All สนับสนุนภาษาอังกฤษเด็กไทยในชนบท โครงการเกษตร
เข้มแข็ง-ข้าวอิ่ม และในฐานะประธานสมาคมฟินเทคประเทศไทย ในการผลักดันโครงการสำหรับกลุ่มผู้เริ่ม
ทำธุรกิจของไทย (Start up)”
จับชีพจรคำของ “กรณ์” ระหว่างบรรทัด น่าจะสะท้อนความคิดของนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ในการ
เลือกตั้งครั้งใหม่ได้ไม่มากก็น้อย
“ประชาธิปัตย์” หลังรัฐประหาร 2 รอบ รอดยุบพรรค พลิกกระดานการเมือง ....ประชาชาติธุรกิจ.../sao..เหลือ..noi
ยังเหลือลมหายใจมาจวบจนปัจจุบัน
เมื่อ 71 ปีก่อน พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ก่อตั้งด้วยอุดมการณ์อยู่คนละขั้วอำนาจของ
คณะราษฎรสายพลเรือน-ปรีดี พนมยงค์
เกาะเกี่ยว-รวบรวมชนชั้นสูง ชนชั้นเจ้านายที่หมดอำนาจไปตั้งแต่ปฏิวัติ 2475 กลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์
กับฝ่ายปรีดี กับบรรดาขุนทหารที่กำลังถูกคณะที่เรียกว่า “เสรีไทย” มาบดบังรัศมี เพราะได้รับ
สนับสนุนทั้งอาวุธ ทั้งปัจจัยการเมืองที่เพียบพร้อมกว่า
หลังปฏิวัติ 2490 พรรคประชาธิปัตย์ขับเคลื่อนด้วยแนวทางอนุรักษนิยม มีแกนหลักเป็นนายทุน
เก่า-ชนชั้นนำที่คอยสนับสนุนพรรค ทุกช่วงกาลเวลาบนถนนการเมือง
กว่า 71 ปี พรรคประชาธิปัตย์ ยังคงรักษาแนวทางอนุรักษนิยมไว้อย่างเหนียวแน่น ทำเนียบหัวหน้า
พรรคสีฟ้า บันทึกไว้ว่ามีหัวหน้าพรรค 7 คน ตั้งแต่คนแรก “ควง อภัยวงศ์” ถึงคนปัจจุบันชื่อว่า
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
ทว่าในช่วง 2 ทศวรรษหลัง การคงคอนเซ็ปต์อนุรักษนิยม ผสานทุนเก่ากับนักการเมืองที่ส่วนใหญ่
เป็นนักการเมืองภาคใต้ กลับไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถครองใจประชาชนภาคอื่น ๆ ได้
เมื่อต่อสู้กับพรรคการเมืองที่รวบรวมกลุ่มคนมีความคิดก้าวหน้า เป็นพรรคของทุนใหม่ ใช้นโยบาย
“ประชานิยม” อย่างพรรคไทยรักไทย เข้ามาติดตั้งในระบอบการเมือง สามารถโกยคะแนนเสียง
ได้อย่างท่วมท้น
กว่า 20 ปี แม้พรรคไทยรักไทย จะถูกยุบเปลี่ยนชื่อพรรคไปแล้ว 2 หน ทว่า… พรรคประชาธิปัตย์ยัง
ไม่ชนะเลือกตั้ง
<
<
<
แพ้เลือกตั้ง-สถาปนา กปปส.
สถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองขับไล่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน
เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตึงเครียด-นองเลือด มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก อีกทั้งยังใกล้เวลา
“ครบเทอม” 4 ของสภาผู้แทนราษฎร ทำให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์-อภิสิทธิ์ ประกาศ “ยุบสภา”
ก่อนครบเทอม ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 ก่อนจะแพ้การเลือกตั้งราบคาบต่อพรรคเพื่อไทย (พท.)
วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ใส่พานเก้าอี้นายกฯ หญิงคนแรก ให้กับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
แต่แล้วการเดินหมากการเมืองพลาดตาเดียวล้มทั้งกระดานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จุดชนวนให้นายสุเทพ
ถือธงนำขบวน 8 แกนนำ-สาวกพรรคประชาธิปัตย์ลาออกจาก ส.ส. (12 พ.ย. 56) นำขบวนต่อต้าน
กฎหมายนิรโทษกรรม “สุดซอย”-สถาปนาคณะกรรมการ กปปส. ยกระดับขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์-
ต่อต้านระบอบทักษิณ ก่อน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จะพาเหรดกันลาออกจาก ส.ส. (8 ธ.ค. 56)
ทั้งสถาบันการศึกษา อดีตข้าราชการ ธนาคาร เครือข่ายชนชั้นนำได้ร่วมปฏิบัติการ กปปส. จนมาถึง
รัฐประหาร 22 พ.ค. 2557
บอยคอตเลือกตั้งรอบสอง
แต่ระหว่างทางก่อนถึงวันยึดอำนาจโดย คสช. เมื่อ 21 ธันวาคม 2556 “อภิสิทธิ์” นำทัพพรรคประชาธิปัตย์
ประกาศไม่ลงสมัครเลือกตั้งเป็น “รอบที่สอง” ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยให้เหตุผลว่า ประชาชน
“หมดศรัทธา” นักการเมือง-พรรคการเมือง ระบบการเลือกตั้ง และต้องการปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง
ยกฟ้องคดีสลายชุมนุม นปช.
วันที่ 31 สิงหาคม 2560 ศาลฎีกามีคำพิพากษา “ยืนตาม” ศาลอุทธรณ์ “ยกฟ้อง” คดีสลายการชุมนุม
กลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 กรณีนายอภิสิทธิ์
อดีตนายกรัฐมนตรี-นายสุเทพ อดีตรองนายกรัฐมนตรี-ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน
(ศอฉ.) เป็นจำเลย เพราะคำฟ้อง “อยู่นอกเหนือเขตอำนาจศาล”
ล้างภาพอนุรักษนิยม
แต่ทั้งหมดทั้งมวล “กรณ์ จาติกวณิช” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์-อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ได้ฉายภาพประชาธิปัตย์ในมุมมองใหม่ ล้างภาพพรรคอนุรักษนิยม ว่า ในฐานะฝ่ายริเริ่มนโยบายของพรรค
สามารถชี้ให้เห็นแนวนโยบายที่จะเป็นทิศทางของประเทศได้ในอนาคต
“กิจกรรมในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเป็นกิจกรรมที่ตัวเองสนใจและอยากช่วยคน ขณะเดียวกันเนื่องจากสวมหมวก
นโยบายของพรรคด้วย จึงได้มีโอกาสทดลองหลักคิดของตัวเอง และทดสอบนโยบายเมื่อต้องนำไปสู่การปฏิบัติ
อาทิ โครงการ English for All สนับสนุนภาษาอังกฤษเด็กไทยในชนบท โครงการเกษตร
เข้มแข็ง-ข้าวอิ่ม และในฐานะประธานสมาคมฟินเทคประเทศไทย ในการผลักดันโครงการสำหรับกลุ่มผู้เริ่ม
ทำธุรกิจของไทย (Start up)”
จับชีพจรคำของ “กรณ์” ระหว่างบรรทัด น่าจะสะท้อนความคิดของนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ในการ
เลือกตั้งครั้งใหม่ได้ไม่มากก็น้อย