ตั้งแต่จำความที่ใช้เส้นทางนี้ไปยัง จ. ลำปางได้
ตำแหน่งนี้เป็นประตูสู่ลำพูน
ข้างประตูจะมีรูปปั้นครูบาศรีวิชัย ที่จะไหว้ทุกครั้งเมื่อผ่าน
และในวันนี้
วัดดอยติ ตั้งอยู่หลังรูปครูบาศรีวิชัย จ.ลำพูน
ขับรถวนขึ้นไปยังวัดดอยติ เห็นนี่ก่อนเลย ... หอไตร
ซุ้มประตูด้านทิศเหนือ
บันไดมกรคายนาคด้านหน้าวัด ... ทิศตะวันออก
หน้าบัน
หน้าบันปีกนก
ลายคำที่โครงหลังคา
ธรรมาสน์ล้านนา
สมัยพุทธกาลเพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาถึงเขตเมืองหริภุญชัย
ทรงเล็งเห็นดอยลูกหนึ่งเป็นที่น่าจะได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาสืบต่อไป
ดอยนี้มีมาณพคนหนึ่งปฏิบัติธรรมอยู่ เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าก็เลื่อมใส
ทราบว่าพระองค์มาเทศนาสั่งสอนจึงขออาราธนาให้จำพรรษาบนดอยที่นี่
แต่พระพุทธเจ้าต้องเสด็จไปต่อ มานพจึงขอเอาเส้นเกศาธาตุ ไว้สักการะแทนพระองค์
พระพุทธจึงบอกให้ให้สร้างรูปพระพุทธองค์ไว้สักการะแทน
ชายผู้นั้นจึงขุดเอาหินศิลาแลงก้อนใหญ่มาสลักเป็นรูปของพระพุทธเจ้านั่งขัดสมาธิ
นั่งอยู่บนแท่นแก้วในพระวิหาร
เมื่อพระพุทธเจ้าผ่านมาอีกครั้ง ก็พบว่าภายในวิหารมีพระรูปที่มานพสร้างไว้
พระรูปเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าก็ตกใจ รีบไถลลุกลงจากแท่นแก้ว
โดยเอาเท้าทั้งสองลงมา แต่มือยังไม่ทันขยับ
พระพุทธเจ้าจึงยกพระหัตถ์เบื้องขวาห้ามเอา แล้วตรัสว่า
ท่านอย่าไปไหนท่านจงอยู่ที่นี้ เพื่อจะได้รักษาสืบพระพุทธศาสนาต่อไป ตราบต่อเท่าห้าพันพระวัสสาแล
พระพุทธรูปองค์นี้จึงมีลักษณะ นั่งเหยียดขาทั้งสองข้างลงมา
ส่วนพระหัตถ์ซ้ายขวายังวางซ้อนกัน
ประทับนั่งอยู่บนแท่นแก้วในพระวิหารมาจะถึงปัจจุบัน เรียกว่า พระเจ้ากิตติวัดดอยติ
ข้อมูลย่อมาจากจาก
http://www.banloktip.com/วัดดอยติ/
พระพุทธรูปด้านหน้าตรงกลาง ... ห่มผ้าอยู่
วิหาร เจดีย์ และพระพุทธรูปปางลีลา ... สื่อว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จมา
หลังครูบา
พิพิธภัณฑ์
ครูบาศรีวิชัย
วัดพระธาตุหริภุญชัย
นี่ก็อยู่บนพิพิธภัณฑ์
ตำนานของวัดดอยติเล่าว่า
มีเศรษฐีอยู่สองบ้าน คือเศรษฐีบ้านเส้งกับเศรษฐีบ้านหนองดู่
เป็นสหายที่มีความรักความสนิทสนมกันมาก
ต่อมาเมียของเศรษฐีทั้งสองก็ตั้งครรภ์
เศรษฐีบ้านหนองเส้งได้ไปตกลงเศรษฐีบ้านหนองดู่
ว่าหากคลอดแล้วคนหนึ่งเป็นชาย อีกคนเป็นหญิงก็ให้มาแต่งงานกัน
เพื่อสมบัติจะได้พอกพูนเหมือนกับตอนที่เรามีชีวิตอยู่
เศรษฐีบ้านหนองดู่ก็ตกลง และทางครอบครัวก็เห็นด้วย
เมื่อคลอดออกมาเศรษฐีบ้านหนองดู่ได้ลูกสาว ก็ไม่อยากยกให้
ถึงกับยอมจะตัดสัมพันธไมตรีกันอย่างเด็ดขาดหมดสิ้น
ฝ่ายเศรษฐีบ้านเส้งก็ว่า ถ้าไม่ยอมจริงๆก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าเราพบไม่ว่าที่ไหนเวลาใดเราจะฆ่าเสียทั้งสิ้น เพราะพ่อมันไม่รักษาสัญญา
เมื่อเศรษฐีบ้านดู่ทราบว่าเศรษฐีบ้านเส้งจะฆ่าลูกสาวตัวเอง
ก็ทุกข์กายทุกข์ใจทั้งกลางวันกลางคืน กลัวเขาจะมาทำร้ายลูกตนเอง
ต้องคอยดูแลลูกตลอดเวลาไม่ได้หลับไม่ได้นอน
ร้อนไปถึงพระอินทร์
จึงได้จำแลงตัวเป็นนกหัสดีลิง บินลงมาเวลากลางคืนขณะที่พ่อแม่ของเด็กหลับอยู่
คาบเอาเด็กหญิงนั้นไปไว้ในดอกบัวที่หนองบัวทางเหนือดอย ที่มีพระฤๅษีองค์หนึ่งอาศัยอยู่
กล่าวกันว่ามีฤๅษีอยู่ 4 สำนัก คือที่
ดอยสุเทพหนึ่ง
ดอยคะม้อหนึ่ง
ดอยคำหนึ่ง
ดอยที่ฤๅษีองค์นี้อยู่อีกหนึ่ง
ฤๅษีเหล่านี้ล้วนเป็นฤๅษีตาไฟ และจะส่องส่งซิกถึงกันในตอนกลางคืน
พอรุ่งเช้าขึ้นมาฤๅษีตนนี้ก็ออกบิณฑบาต
เมื่อไปใกล้หนองบัว ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้
จึงกล่าวกับเด็กนั้นว่า เป็นฤๅษีจะอุ้มเจ้าไม่ได้
แต่เพราะสงสารเด็กน้อยนั้นเป็นอันมาก จึงตั้งสัจจะอธิษฐานว่า
ถ้าหากเด็กหญิงนี้มีบุญญาธิการก็จงขึ้นมานั่งบนใบวี (พัด)ของเรานี้เถิด
เมื่อยื่นวีออกไป เด็กคนนั้นก็ขึ้นมานั่งบนใบวีของพระฤๅษี
จึงได้ชื่อว่าวี (จามเทวี) เพราะนั่งบนใบวีนั่นเอง
พระฤๅษีก็นำเด็กน้อยมาเลี้ยงไว้ที่อาศรมที่บนดอย ชุบเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม
พอตกค่ำตาไฟของฤๅษีที่เคยสว่างแจ้ง กลับมืดไม่มีแสงไฟ
ทำให้พระฤๅษีอีกสามสำนัก ซึ่งมองมายังฤๅษีสำนักนี้ไม่เห็นไฟ ... ส่งซิก ... ก็เป็นห่วง
รุ่งเช้าฤๅษีทั้งสามตนก็เดินทางมาเยี่ยมเยียนโดยไม่ได้นัดหมาย
พบว่าฤๅษีตนนี้เอาเด็กผู้หญิงมาเลี้ยงไว้ในอาศรม
ก็พากันติเตียนนินทาว่า ผิดทำนองคลองธรรมของพระฤๅษี
ดอยที่พระฤๅษีตนนี้อาศัยอยู่ ก็เลยถูกเรียกว่าดอยติตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เมื่อฤๅษีเหล่านั้นกลับไป
ญาติโยมทั้งหลายไปสร้างแพ ที่ลำน้ำห้วยไค้
ไปสานแพที่ลำน้ำนั้น จึงเรียกว่าน้ำสาน ( อยู่ทางทิศตะวันตกของดอยติ )
เอาเด็กน้อยใส่แพพร้อมเสบียงอาการทุกอย่าง
ให้คนติดตามแพนั้นไปสามคน
เสร็จแล้วเมื่อได้ฤกษ์งามยามดีก็ปล่อยแพไป
ถึงสถานที่แห่งหนึ่ง แพได้ไหลวนไปมาหลายรอบ
จึงเรียกว่า วังมน (... มนแปลว่า กลม คือหมุนเป็นวงกลม ...)
แล้วแพก็ได้ล่องไปอีกถึงที่หนึ่ง แพทำท่าจะแตก
จึงบ่องแพคือมัดติดกันไม่ให้แพแตก เรียกสถานที่นั้นว่าบ่องแพ คือ ปากบ่อง
แล้วแพก็ล่องตามลำน้ำไปเรื่อยๆ จนถึงเมืองละโว้แพก็ล่องต่อไปไม่ได้ เพราะเป็นหน้าฝายใหญ่
คนที่ไปด้วยได้เอาหนังสือที่ฤๅษีแนบมาด้วยนั้นเสนอต่อเจ้าเมืองละโว้
เมื่อเจ้าเมืองได้อ่านหนังสือก็ยอมรับแล้วบอกให้นำเด็กหญิงมาถวาย
แล้วนำมาชุบเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมต่อไป
เจ้าเมืองละโว้ท่านก็มีลูกผู้ชายอยู่คนหนึ่งอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน
เลี้ยงดูด้วยกันมา เมื่อเด็กทั้งสองเติบใหญ่ ท่านก็ให้เด็กทั้งสองแต่งงานกัน
ดอยแม่ขะม้อ ... น่าจะขวาสุด ๆ ของรูป
ดอยสุเทพ
ขอให้ทุกท่านสุขกายสุขใจค่ะ
วัดเล่าเรื่องพระนางจามเทวี ... 3 วัดดอยติ
ตำแหน่งนี้เป็นประตูสู่ลำพูน
ข้างประตูจะมีรูปปั้นครูบาศรีวิชัย ที่จะไหว้ทุกครั้งเมื่อผ่าน
และในวันนี้
วัดดอยติ ตั้งอยู่หลังรูปครูบาศรีวิชัย จ.ลำพูน
ขับรถวนขึ้นไปยังวัดดอยติ เห็นนี่ก่อนเลย ... หอไตร
ซุ้มประตูด้านทิศเหนือ
บันไดมกรคายนาคด้านหน้าวัด ... ทิศตะวันออก
หน้าบัน
หน้าบันปีกนก
ลายคำที่โครงหลังคา
ธรรมาสน์ล้านนา
สมัยพุทธกาลเพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาถึงเขตเมืองหริภุญชัย
ทรงเล็งเห็นดอยลูกหนึ่งเป็นที่น่าจะได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาสืบต่อไป
ดอยนี้มีมาณพคนหนึ่งปฏิบัติธรรมอยู่ เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าก็เลื่อมใส
ทราบว่าพระองค์มาเทศนาสั่งสอนจึงขออาราธนาให้จำพรรษาบนดอยที่นี่
แต่พระพุทธเจ้าต้องเสด็จไปต่อ มานพจึงขอเอาเส้นเกศาธาตุ ไว้สักการะแทนพระองค์
พระพุทธจึงบอกให้ให้สร้างรูปพระพุทธองค์ไว้สักการะแทน
ชายผู้นั้นจึงขุดเอาหินศิลาแลงก้อนใหญ่มาสลักเป็นรูปของพระพุทธเจ้านั่งขัดสมาธิ
นั่งอยู่บนแท่นแก้วในพระวิหาร
เมื่อพระพุทธเจ้าผ่านมาอีกครั้ง ก็พบว่าภายในวิหารมีพระรูปที่มานพสร้างไว้
พระรูปเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าก็ตกใจ รีบไถลลุกลงจากแท่นแก้ว
โดยเอาเท้าทั้งสองลงมา แต่มือยังไม่ทันขยับ
พระพุทธเจ้าจึงยกพระหัตถ์เบื้องขวาห้ามเอา แล้วตรัสว่า
ท่านอย่าไปไหนท่านจงอยู่ที่นี้ เพื่อจะได้รักษาสืบพระพุทธศาสนาต่อไป ตราบต่อเท่าห้าพันพระวัสสาแล
พระพุทธรูปองค์นี้จึงมีลักษณะ นั่งเหยียดขาทั้งสองข้างลงมา
ส่วนพระหัตถ์ซ้ายขวายังวางซ้อนกัน
ประทับนั่งอยู่บนแท่นแก้วในพระวิหารมาจะถึงปัจจุบัน เรียกว่า พระเจ้ากิตติวัดดอยติ
ข้อมูลย่อมาจากจาก http://www.banloktip.com/วัดดอยติ/
พระพุทธรูปด้านหน้าตรงกลาง ... ห่มผ้าอยู่
วิหาร เจดีย์ และพระพุทธรูปปางลีลา ... สื่อว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จมา
หลังครูบา
พิพิธภัณฑ์
ครูบาศรีวิชัย
วัดพระธาตุหริภุญชัย
นี่ก็อยู่บนพิพิธภัณฑ์
ตำนานของวัดดอยติเล่าว่า
มีเศรษฐีอยู่สองบ้าน คือเศรษฐีบ้านเส้งกับเศรษฐีบ้านหนองดู่
เป็นสหายที่มีความรักความสนิทสนมกันมาก
ต่อมาเมียของเศรษฐีทั้งสองก็ตั้งครรภ์
เศรษฐีบ้านหนองเส้งได้ไปตกลงเศรษฐีบ้านหนองดู่
ว่าหากคลอดแล้วคนหนึ่งเป็นชาย อีกคนเป็นหญิงก็ให้มาแต่งงานกัน
เพื่อสมบัติจะได้พอกพูนเหมือนกับตอนที่เรามีชีวิตอยู่
เศรษฐีบ้านหนองดู่ก็ตกลง และทางครอบครัวก็เห็นด้วย
เมื่อคลอดออกมาเศรษฐีบ้านหนองดู่ได้ลูกสาว ก็ไม่อยากยกให้
ถึงกับยอมจะตัดสัมพันธไมตรีกันอย่างเด็ดขาดหมดสิ้น
ฝ่ายเศรษฐีบ้านเส้งก็ว่า ถ้าไม่ยอมจริงๆก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าเราพบไม่ว่าที่ไหนเวลาใดเราจะฆ่าเสียทั้งสิ้น เพราะพ่อมันไม่รักษาสัญญา
เมื่อเศรษฐีบ้านดู่ทราบว่าเศรษฐีบ้านเส้งจะฆ่าลูกสาวตัวเอง
ก็ทุกข์กายทุกข์ใจทั้งกลางวันกลางคืน กลัวเขาจะมาทำร้ายลูกตนเอง
ต้องคอยดูแลลูกตลอดเวลาไม่ได้หลับไม่ได้นอน
ร้อนไปถึงพระอินทร์
จึงได้จำแลงตัวเป็นนกหัสดีลิง บินลงมาเวลากลางคืนขณะที่พ่อแม่ของเด็กหลับอยู่
คาบเอาเด็กหญิงนั้นไปไว้ในดอกบัวที่หนองบัวทางเหนือดอย ที่มีพระฤๅษีองค์หนึ่งอาศัยอยู่
กล่าวกันว่ามีฤๅษีอยู่ 4 สำนัก คือที่
ดอยสุเทพหนึ่ง
ดอยคะม้อหนึ่ง
ดอยคำหนึ่ง
ดอยที่ฤๅษีองค์นี้อยู่อีกหนึ่ง
ฤๅษีเหล่านี้ล้วนเป็นฤๅษีตาไฟ และจะส่องส่งซิกถึงกันในตอนกลางคืน
พอรุ่งเช้าขึ้นมาฤๅษีตนนี้ก็ออกบิณฑบาต
เมื่อไปใกล้หนองบัว ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้
จึงกล่าวกับเด็กนั้นว่า เป็นฤๅษีจะอุ้มเจ้าไม่ได้
แต่เพราะสงสารเด็กน้อยนั้นเป็นอันมาก จึงตั้งสัจจะอธิษฐานว่า
ถ้าหากเด็กหญิงนี้มีบุญญาธิการก็จงขึ้นมานั่งบนใบวี (พัด)ของเรานี้เถิด
เมื่อยื่นวีออกไป เด็กคนนั้นก็ขึ้นมานั่งบนใบวีของพระฤๅษี
จึงได้ชื่อว่าวี (จามเทวี) เพราะนั่งบนใบวีนั่นเอง
พระฤๅษีก็นำเด็กน้อยมาเลี้ยงไว้ที่อาศรมที่บนดอย ชุบเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม
พอตกค่ำตาไฟของฤๅษีที่เคยสว่างแจ้ง กลับมืดไม่มีแสงไฟ
ทำให้พระฤๅษีอีกสามสำนัก ซึ่งมองมายังฤๅษีสำนักนี้ไม่เห็นไฟ ... ส่งซิก ... ก็เป็นห่วง
รุ่งเช้าฤๅษีทั้งสามตนก็เดินทางมาเยี่ยมเยียนโดยไม่ได้นัดหมาย
พบว่าฤๅษีตนนี้เอาเด็กผู้หญิงมาเลี้ยงไว้ในอาศรม
ก็พากันติเตียนนินทาว่า ผิดทำนองคลองธรรมของพระฤๅษี
ดอยที่พระฤๅษีตนนี้อาศัยอยู่ ก็เลยถูกเรียกว่าดอยติตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เมื่อฤๅษีเหล่านั้นกลับไป
ญาติโยมทั้งหลายไปสร้างแพ ที่ลำน้ำห้วยไค้
ไปสานแพที่ลำน้ำนั้น จึงเรียกว่าน้ำสาน ( อยู่ทางทิศตะวันตกของดอยติ )
เอาเด็กน้อยใส่แพพร้อมเสบียงอาการทุกอย่าง
ให้คนติดตามแพนั้นไปสามคน
เสร็จแล้วเมื่อได้ฤกษ์งามยามดีก็ปล่อยแพไป
ถึงสถานที่แห่งหนึ่ง แพได้ไหลวนไปมาหลายรอบ
จึงเรียกว่า วังมน (... มนแปลว่า กลม คือหมุนเป็นวงกลม ...)
แล้วแพก็ได้ล่องไปอีกถึงที่หนึ่ง แพทำท่าจะแตก
จึงบ่องแพคือมัดติดกันไม่ให้แพแตก เรียกสถานที่นั้นว่าบ่องแพ คือ ปากบ่อง
แล้วแพก็ล่องตามลำน้ำไปเรื่อยๆ จนถึงเมืองละโว้แพก็ล่องต่อไปไม่ได้ เพราะเป็นหน้าฝายใหญ่
คนที่ไปด้วยได้เอาหนังสือที่ฤๅษีแนบมาด้วยนั้นเสนอต่อเจ้าเมืองละโว้
เมื่อเจ้าเมืองได้อ่านหนังสือก็ยอมรับแล้วบอกให้นำเด็กหญิงมาถวาย
แล้วนำมาชุบเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมต่อไป
เจ้าเมืองละโว้ท่านก็มีลูกผู้ชายอยู่คนหนึ่งอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน
เลี้ยงดูด้วยกันมา เมื่อเด็กทั้งสองเติบใหญ่ ท่านก็ให้เด็กทั้งสองแต่งงานกัน
ดอยแม่ขะม้อ ... น่าจะขวาสุด ๆ ของรูป
ดอยสุเทพ
ขอให้ทุกท่านสุขกายสุขใจค่ะ
สารบัญท่องเที่ยว https://ppantip.com/topic/36574038