คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 32
มาแล้วตำนานผีนับจาน เขาว่ามี 2 เรื่องเล่า
ก็มีผีหลายประเภท ไม่รู้ทำไมฮารุจังเลือกผีนับจานมาก่อนเลย
ไม่ได้เพราะว่ามันเกี่ยวกับของกินหรอกนะ เชื่อเค้าสิ มันบังเอิญเฉยๆ
ตำนานผีนับจาน | Nam Chan
https://www.youtube.com/watch?v=Fj_w7pO1c5U
เรื่องเล่าที่ 1
มีขุนนางผู้หนึ่งชื่อ "อาโอยามะ ชุเซ็น" อาศัยอยู่ที่บ้านบันโซในเมืองเอะโดะ อยู่มาวันหนึ่ง สาวใช้ชื่อ "โอคิคุ" ได้เผลอทำจานของเจ้านายแตกใบหนึ่ง ซึ่งจานใบนั้นเป็นหนึ่งในชุดจานอันล้ำค่าทั้งสิบใบซึ่งนำเข้ามาจากเมืองนานกิงของจีน มีราคาสูง
อาโอยามะ ชุเซ็นกับภรรยาสาวซึ่งทั้งคู่มีนิสัยเหี้ยมโหด พวกเขาได้ร่วมกันโยนโอคิคุลงในบ่อน้ำแล้วปล่อยให้ตาย หลังจากนั้นก็ได้แจ้งต่อราชการว่าเธอตายเพราะป่วย
นับจากนั้นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวก็เกิดขึ้นกับครอบครัวอาโอยามะ
ในเดือนพฤษภาคมของปีนั้น ภรรยาสาวของขุนนางได้คลอดลูกชาย แต่เด็กกลับไม่มีนิ้วกลางที่มือขวา ซึ่งขาดหายไปหนึ่งนิ้วในบรรดาสิบนิ้ว นอกจากนั้นก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย ทั้งเรื่องที่บ้านของขุนนางชุเซ็นถูกปกคลุมไปด้วยอากาศเย็นยะเยือก และตอนกลางคืนก็จะมีไฟประหลาดออกมาจากบ่อน้ำที่โอคิคุ ตาย แล้วมีเสียงอันน่าขนลุกของผู้หญิงว่า "หนึ่งใบ สองใบ สามใบ สี่ใบ ห้าใบ หกใบ เจ็ดใบ แปดใบ เก้าใบ...สะอึกสะอื้น..." เป็นแบบนี้ทุกคืนจนคนรับใช้ที่เหลือก็พากันลาออกไปกันหมด ดังนั้นเวลาชุเซ็นจะจ้างคนรับใช้คนใหม่ก็ไม่มีคนมาสมัคร เพราะทุกคนรู้ข่าวลือเรื่องนี้กันหมด
เมื่อชาวบ้านได้ยินเรื่องนี้ทั้งที่กลัว แต่ก็มีคนใจกล้าลงไปพิสูจน์ พบร่างไร้วิญญาณของเธอจมอยู่ที่ก้นบ่อจริงๆ
ไม่นานนัก ทางราชการก็รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแพร่หลายออกไป แล้วความจริงของฆาตรกรรมโหดจึงได้ถูกเผยขึ้นและเมื่อพิสูจน์แล้ว คนผิดก็ต้องถูกลงโทษ ถึงทางราชการจึงได้กำหนดบทลงโทษชุเซ็น นี่คือเรื่องราวที่อยู่ในหนังสือเรื่อง "บันโชซะระยะชิกิ" (บ้านจานของบันโช) ซึ่งมีไฟประหลาดที่นับจำนวนจานซึ่งออกมาจากน้ำนั้น เรียกว่า "ซาราคาโซะเอะ" (ปีศาจนับจาน)
เรื่องเล่าที่ 2
โอคิคุเป็นสาวใช้ของอาโอยาม่า ซึ่งอาโอยาม่าเป็นผู้ที่หวังจะโค่นล้มอำนาจของเจ้าเมือง โอคิคุบังเอิญไปได้ยินแผนการเข้า เธอจึงไปเล่าให้คนรักของเธอฟัง ซึ่งคนรักของเธอเป็นทหารเจ้าเมือง แผนการของอาโอยาม่าจึงถูกเปิดโปงและล้มเหลวในที่สุด เมื่ออาโอยาม่ารู้ว่าโอคิคุเป็นคนแอบได้ยินเรื่องแผนการ เป็นต้นเหตุทีทำให้แผนล้มเหลว อาโอยาม่าจึงวางแผนจะสังหารเธอซะ อาโอยาม่าจึงใส่ความโอคิคุว่า เธอขโมยจานที่ล้ำค่าไป 1 ใบซึ่งในชุดจานนั้นจะมี 10 ใบด้วยกัน โอคิคุถูกทรมานจนตาย และถูกทิ้งศพลงบ่อน้ำ
บ่อน้ำของโอคิคุสันนิษฐานว่าอยู่ที่ปราสาทฮิเมจิ แต่ก็มีที่อ้างถึงอีกแห่ง คือ บ่อน้ำของสวนในสถานทูตประเทศแคนาดาที่กรุงโตเกียว ซึ่งเดิมทีเป็นที่ดินของตระกูลอาโอยาม่า
บ่อน้ำของโอคิคุที่ปราสาทฮิเมจิในปัจจุบัน
ก็มีผีหลายประเภท ไม่รู้ทำไมฮารุจังเลือกผีนับจานมาก่อนเลย
ไม่ได้เพราะว่ามันเกี่ยวกับของกินหรอกนะ เชื่อเค้าสิ มันบังเอิญเฉยๆ
ตำนานผีนับจาน | Nam Chan
https://www.youtube.com/watch?v=Fj_w7pO1c5U
เรื่องเล่าที่ 1
มีขุนนางผู้หนึ่งชื่อ "อาโอยามะ ชุเซ็น" อาศัยอยู่ที่บ้านบันโซในเมืองเอะโดะ อยู่มาวันหนึ่ง สาวใช้ชื่อ "โอคิคุ" ได้เผลอทำจานของเจ้านายแตกใบหนึ่ง ซึ่งจานใบนั้นเป็นหนึ่งในชุดจานอันล้ำค่าทั้งสิบใบซึ่งนำเข้ามาจากเมืองนานกิงของจีน มีราคาสูง
อาโอยามะ ชุเซ็นกับภรรยาสาวซึ่งทั้งคู่มีนิสัยเหี้ยมโหด พวกเขาได้ร่วมกันโยนโอคิคุลงในบ่อน้ำแล้วปล่อยให้ตาย หลังจากนั้นก็ได้แจ้งต่อราชการว่าเธอตายเพราะป่วย
นับจากนั้นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวก็เกิดขึ้นกับครอบครัวอาโอยามะ
ในเดือนพฤษภาคมของปีนั้น ภรรยาสาวของขุนนางได้คลอดลูกชาย แต่เด็กกลับไม่มีนิ้วกลางที่มือขวา ซึ่งขาดหายไปหนึ่งนิ้วในบรรดาสิบนิ้ว นอกจากนั้นก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย ทั้งเรื่องที่บ้านของขุนนางชุเซ็นถูกปกคลุมไปด้วยอากาศเย็นยะเยือก และตอนกลางคืนก็จะมีไฟประหลาดออกมาจากบ่อน้ำที่โอคิคุ ตาย แล้วมีเสียงอันน่าขนลุกของผู้หญิงว่า "หนึ่งใบ สองใบ สามใบ สี่ใบ ห้าใบ หกใบ เจ็ดใบ แปดใบ เก้าใบ...สะอึกสะอื้น..." เป็นแบบนี้ทุกคืนจนคนรับใช้ที่เหลือก็พากันลาออกไปกันหมด ดังนั้นเวลาชุเซ็นจะจ้างคนรับใช้คนใหม่ก็ไม่มีคนมาสมัคร เพราะทุกคนรู้ข่าวลือเรื่องนี้กันหมด
เมื่อชาวบ้านได้ยินเรื่องนี้ทั้งที่กลัว แต่ก็มีคนใจกล้าลงไปพิสูจน์ พบร่างไร้วิญญาณของเธอจมอยู่ที่ก้นบ่อจริงๆ
ไม่นานนัก ทางราชการก็รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแพร่หลายออกไป แล้วความจริงของฆาตรกรรมโหดจึงได้ถูกเผยขึ้นและเมื่อพิสูจน์แล้ว คนผิดก็ต้องถูกลงโทษ ถึงทางราชการจึงได้กำหนดบทลงโทษชุเซ็น นี่คือเรื่องราวที่อยู่ในหนังสือเรื่อง "บันโชซะระยะชิกิ" (บ้านจานของบันโช) ซึ่งมีไฟประหลาดที่นับจำนวนจานซึ่งออกมาจากน้ำนั้น เรียกว่า "ซาราคาโซะเอะ" (ปีศาจนับจาน)
เรื่องเล่าที่ 2
โอคิคุเป็นสาวใช้ของอาโอยาม่า ซึ่งอาโอยาม่าเป็นผู้ที่หวังจะโค่นล้มอำนาจของเจ้าเมือง โอคิคุบังเอิญไปได้ยินแผนการเข้า เธอจึงไปเล่าให้คนรักของเธอฟัง ซึ่งคนรักของเธอเป็นทหารเจ้าเมือง แผนการของอาโอยาม่าจึงถูกเปิดโปงและล้มเหลวในที่สุด เมื่ออาโอยาม่ารู้ว่าโอคิคุเป็นคนแอบได้ยินเรื่องแผนการ เป็นต้นเหตุทีทำให้แผนล้มเหลว อาโอยาม่าจึงวางแผนจะสังหารเธอซะ อาโอยาม่าจึงใส่ความโอคิคุว่า เธอขโมยจานที่ล้ำค่าไป 1 ใบซึ่งในชุดจานนั้นจะมี 10 ใบด้วยกัน โอคิคุถูกทรมานจนตาย และถูกทิ้งศพลงบ่อน้ำ
บ่อน้ำของโอคิคุสันนิษฐานว่าอยู่ที่ปราสาทฮิเมจิ แต่ก็มีที่อ้างถึงอีกแห่ง คือ บ่อน้ำของสวนในสถานทูตประเทศแคนาดาที่กรุงโตเกียว ซึ่งเดิมทีเป็นที่ดินของตระกูลอาโอยาม่า
บ่อน้ำของโอคิคุที่ปราสาทฮิเมจิในปัจจุบัน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 43
“ผีโยไก” ในตำนานผีญี่ปุ่น
โยไก” (妖怪;yōkai)
ประเภทของผีญี่ปุ่น
ช่วงนี้ผม “ชะเง้อคอ” รอดูข้างนอกให้แดดร่ม ๆ หน่อย แล้วค่อยออกไป เพราะหน้าร้อนของญี่ปุ่นนี่สาหัสมาก พานไม่อยากจะขยับทำอะไรทั้งนั้น สถาบันการศึกษาถึงได้ปิดภาคเรียนกันหมดในเดือนสิงหาคม และถ้านักท่องเที่ยวคนใดอยากเพลินใจกับความสวยใสสบายๆ ของญี่ปุ่น คำแนะนำคือ อย่าได้ไปญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคม เพราะอารมณ์อยากชมนกชมไม้จะละลายทันทีที่ก้าวพ้นโรงแรม
เมื่อร้อนอย่างนี้ ต่อให้เป็นเจ้าแห่งความอึดแบบคนญี่ปุ่น ก็ต้องหาวิธีรับมือเช่นกัน คนญี่ปุ่นมักมีวิธีคิดหรืออะไรแปลก ๆ ในแบบของตัวเองออกมาให้คนในวัฒนธรรมอื่นทึ่ง และสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นเอกลักษณ์มาก ๆ คือ เรื่องการคลายร้อน วิธีคลายร้อนของคนญี่ปุนที่มีมานานปีตั้งแต่สมัยที่ปราศจากเทคโนโลยีสร้างความเย็น คือ เล่าเรื่องผี นัยว่าในเมื่อไม่มีเครื่องปรับอากาศ ก็ปรับบรรยากาศเสียเอง
ในฤดูนี้เมื่อปีที่แล้ว “ญี่ปุ่นมุมลึก” ได้นำเสนอเรื่องผี “โคมโบตั๋น” ไว้ บางคนกระซิบถามมาว่า “เอ...เรื่องนี้ อ่านแล้วชักไม่แน่ใจว่าช่วยคลายร้อน หรือทำให้ร้อนขึ้นกันแน่” ก็เอาเป็นว่า ถ้าเรื่องนั้นไม่ช่วยให้ลืมความร้อน ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้ลองอีกสักเรื่อง เผื่อจะได้ผลมากกว่า และจะได้รู้ว่าผีญี่ปุ่นยังมีมุมที่น่าสนใจมุมอื่นอีกด้วย
ก่อนอื่น ควรทำความรู้จัก “ประเภทของผีญี่ปุ่น” เสียหน่อย ความเชื่อเรื่องผีถือเป็นคติชนอย่างหนึ่งซึ่งมีอยู่ในทุกวัฒนธรรม เมื่อเอ่ยคำว่า “ผี” แบบรวม ๆ คนส่วนใหญ่ก็มักนึกถึงผีในจินตนาการและบริบทเชิงสังคมของตัวเอง ในขณะที่ประเภทของผีไทยมีความไม่ชัดเจน เช่น เราจะเรียกนางไม้ว่าผีได้ไหม? พระภูมิเจ้าที่คือผีหรือเทวดากันแน่? กุมารทองคือผีหรือปีศาจ? ลูกเทพคือตุ๊กตาหรือผี? (หรือจริง ๆ แล้วอาจจะเป็นเทพตามชื่อ) สรุปว่า “ภูต, ผี, ปีศาจ” นี่ต่างกันอย่างไร (พจนานุกรมก็ให้คำนิยามไว้ว่า “ภูต” ก็คือ “ผี”...อ้าว) แต่ญี่ปุ่นแบ่งประเภทของสิ่งที่คนไทยอาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ผี” ไว้ค่อนข้างชัด ได้แก่ วิญญาณของคนตาย เรียกว่า “ยูเร” (幽霊;yūrei) ซึ่งอาจมีทั้งวิญาณดีและวิญญาณร้าย ถ้าใช้เกณฑ์นี้มาวัดผีไทย ก็เช่น ผีแม่นาก ผีอีเม้ย ผีอีแพง หรือผีอุบล/สโรชินี อีกประเภทหนึ่งคือ พลังเหนือธรรมชาติที่มีตัวตนโดยไม่ได้มาจากวิญญาณของคนตายโดยตรง และอธิบายด้วยเหตุผลได้ยาก เรียกว่า “โยไก” (妖怪;yōkai) ถ้าใช้เกณฑ์นี้มาวัดผีไทย ก็เช่น ผีปอบ ผีกระสือ หรือถ้าว่ากันแบบเจาะลึกลงไปอีกหน่อย ก็เช่น ผีพราย นางไม้ (ซึ่งไม่ปรากฏที่มาชัดเจนว่าเป็นวิญญาณใครมาจากไหน แต่ไปสิงอยู่ตามธรรมชาติ) เสือสมิง หรือยักษ์ทั้งหลาย ก็ถือว่าเป็นโยไกตามคำนิยามแบบญี่ปุ่น
โยไก” (妖怪;yōkai)
คัปปะ
และด้วยการแบ่งเช่นนี้ จะพบว่าญี่ปุ่นมีโยไกตามขนบเดิมอยู่มากมายหลายสิบชนิด ตัวที่ดัง ๆ และคนไทยรู้จักมาเนิ่นนานคงจะเป็น “คัปปะ” ซึ่งจะเรียกว่าผีน้ำก็ได้ หรือบางความเชื่อก็ถือว่าเป็นเทพแห่งน้ำ และโยไกที่ดังที่สุดในญี่ปุ่นขณะนี้ ก็คือ “โยไกแมว” หรือ “แมวผี” ในการ์ตูนเรื่อง “โยไกวอตช์” หรืออีกหลาย ๆ ตัวตามที่ปรากฏอยู่ในละครเรื่องกลกิโมโน รวมทั้งนางหิมะซึ่งเป็นตัวร้ายหลักในเรื่องด้วย
อันที่จริง นอกจาก “ยูเร” กับ “โยไก” แล้ว อีกคำหนึ่งที่ได้ยินติดหู คือคำว่า “โอะ-บะเกะ” (お化け;O-bake) ถ้าแปลเป็นไทยก็จะได้คำว่า “ผี” อีกเช่นกัน คำนี้ใช้หมายถึง “ผี” โดยรวม คือหมายรวมถึง “ยูเร” และ “โยไก” ก็ได้ตามบริบท ดังเช่นการ์ตูนเรื่อง “ผีน้อยคิวทาโร่” ชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ “โอะ-บะเกะ โนะ Q ทะโร” (オバケのQ太郎; Obake no kyūtarō) ซึ่งผีในเรื่องนี้มีลักษณะเป็น “โยไก”, หรือในคำว่า “บ้านผีสิง” ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โอะ-บะเกะ ยะชิกิ” (お化け屋敷;O-bake-yashiki; คฤหาสน์ผี) ซึ่งเมื่อเข้าไป สิ่งที่จะได้เจอคือ “ยูเร”, หรือในคำว่า “ฟักทองผี” ประจำช่วงฮัลโลวีน ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โอะ-บะเกะ คะโบะชะ (お化けカボチャ; O-bake kabocha) ซึ่งดูแล้วไม่รู้ว่าจะระบุยังไงดี ที่แน่ ๆ ก็คือผีนั่นเอง ดังนั้น สิ่งที่ระบุประเภทได้ยาก แต่รู้แน่ว่าเป็นผี ส่วนใหญ่ก็จะตกอยู่ในข่ายนี้ และถ้าใช้เกณฑ์นี้มาวัดผีไทย ก็น่าจะได้ผีทะเล ผีพนัน แต่ถ้าถึงขั้นผีผ้าห่ม อันนี้คนญี่ปุ่นไม่ได้มองว่าเป็นผี แต่เป็นคน
คัปปะ
ขอบพระคุณ ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ Tokyo University of Foreign Studies
แจมเพลงก่อนด้วยเพลงนี้ครับ
สัญญาใจ - อรวี สัจจานนท์
โยไก” (妖怪;yōkai)
ประเภทของผีญี่ปุ่น
ช่วงนี้ผม “ชะเง้อคอ” รอดูข้างนอกให้แดดร่ม ๆ หน่อย แล้วค่อยออกไป เพราะหน้าร้อนของญี่ปุ่นนี่สาหัสมาก พานไม่อยากจะขยับทำอะไรทั้งนั้น สถาบันการศึกษาถึงได้ปิดภาคเรียนกันหมดในเดือนสิงหาคม และถ้านักท่องเที่ยวคนใดอยากเพลินใจกับความสวยใสสบายๆ ของญี่ปุ่น คำแนะนำคือ อย่าได้ไปญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคม เพราะอารมณ์อยากชมนกชมไม้จะละลายทันทีที่ก้าวพ้นโรงแรม
เมื่อร้อนอย่างนี้ ต่อให้เป็นเจ้าแห่งความอึดแบบคนญี่ปุ่น ก็ต้องหาวิธีรับมือเช่นกัน คนญี่ปุ่นมักมีวิธีคิดหรืออะไรแปลก ๆ ในแบบของตัวเองออกมาให้คนในวัฒนธรรมอื่นทึ่ง และสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นเอกลักษณ์มาก ๆ คือ เรื่องการคลายร้อน วิธีคลายร้อนของคนญี่ปุนที่มีมานานปีตั้งแต่สมัยที่ปราศจากเทคโนโลยีสร้างความเย็น คือ เล่าเรื่องผี นัยว่าในเมื่อไม่มีเครื่องปรับอากาศ ก็ปรับบรรยากาศเสียเอง
ในฤดูนี้เมื่อปีที่แล้ว “ญี่ปุ่นมุมลึก” ได้นำเสนอเรื่องผี “โคมโบตั๋น” ไว้ บางคนกระซิบถามมาว่า “เอ...เรื่องนี้ อ่านแล้วชักไม่แน่ใจว่าช่วยคลายร้อน หรือทำให้ร้อนขึ้นกันแน่” ก็เอาเป็นว่า ถ้าเรื่องนั้นไม่ช่วยให้ลืมความร้อน ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้ลองอีกสักเรื่อง เผื่อจะได้ผลมากกว่า และจะได้รู้ว่าผีญี่ปุ่นยังมีมุมที่น่าสนใจมุมอื่นอีกด้วย
ก่อนอื่น ควรทำความรู้จัก “ประเภทของผีญี่ปุ่น” เสียหน่อย ความเชื่อเรื่องผีถือเป็นคติชนอย่างหนึ่งซึ่งมีอยู่ในทุกวัฒนธรรม เมื่อเอ่ยคำว่า “ผี” แบบรวม ๆ คนส่วนใหญ่ก็มักนึกถึงผีในจินตนาการและบริบทเชิงสังคมของตัวเอง ในขณะที่ประเภทของผีไทยมีความไม่ชัดเจน เช่น เราจะเรียกนางไม้ว่าผีได้ไหม? พระภูมิเจ้าที่คือผีหรือเทวดากันแน่? กุมารทองคือผีหรือปีศาจ? ลูกเทพคือตุ๊กตาหรือผี? (หรือจริง ๆ แล้วอาจจะเป็นเทพตามชื่อ) สรุปว่า “ภูต, ผี, ปีศาจ” นี่ต่างกันอย่างไร (พจนานุกรมก็ให้คำนิยามไว้ว่า “ภูต” ก็คือ “ผี”...อ้าว) แต่ญี่ปุ่นแบ่งประเภทของสิ่งที่คนไทยอาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ผี” ไว้ค่อนข้างชัด ได้แก่ วิญญาณของคนตาย เรียกว่า “ยูเร” (幽霊;yūrei) ซึ่งอาจมีทั้งวิญาณดีและวิญญาณร้าย ถ้าใช้เกณฑ์นี้มาวัดผีไทย ก็เช่น ผีแม่นาก ผีอีเม้ย ผีอีแพง หรือผีอุบล/สโรชินี อีกประเภทหนึ่งคือ พลังเหนือธรรมชาติที่มีตัวตนโดยไม่ได้มาจากวิญญาณของคนตายโดยตรง และอธิบายด้วยเหตุผลได้ยาก เรียกว่า “โยไก” (妖怪;yōkai) ถ้าใช้เกณฑ์นี้มาวัดผีไทย ก็เช่น ผีปอบ ผีกระสือ หรือถ้าว่ากันแบบเจาะลึกลงไปอีกหน่อย ก็เช่น ผีพราย นางไม้ (ซึ่งไม่ปรากฏที่มาชัดเจนว่าเป็นวิญญาณใครมาจากไหน แต่ไปสิงอยู่ตามธรรมชาติ) เสือสมิง หรือยักษ์ทั้งหลาย ก็ถือว่าเป็นโยไกตามคำนิยามแบบญี่ปุ่น
โยไก” (妖怪;yōkai)
คัปปะ
และด้วยการแบ่งเช่นนี้ จะพบว่าญี่ปุ่นมีโยไกตามขนบเดิมอยู่มากมายหลายสิบชนิด ตัวที่ดัง ๆ และคนไทยรู้จักมาเนิ่นนานคงจะเป็น “คัปปะ” ซึ่งจะเรียกว่าผีน้ำก็ได้ หรือบางความเชื่อก็ถือว่าเป็นเทพแห่งน้ำ และโยไกที่ดังที่สุดในญี่ปุ่นขณะนี้ ก็คือ “โยไกแมว” หรือ “แมวผี” ในการ์ตูนเรื่อง “โยไกวอตช์” หรืออีกหลาย ๆ ตัวตามที่ปรากฏอยู่ในละครเรื่องกลกิโมโน รวมทั้งนางหิมะซึ่งเป็นตัวร้ายหลักในเรื่องด้วย
อันที่จริง นอกจาก “ยูเร” กับ “โยไก” แล้ว อีกคำหนึ่งที่ได้ยินติดหู คือคำว่า “โอะ-บะเกะ” (お化け;O-bake) ถ้าแปลเป็นไทยก็จะได้คำว่า “ผี” อีกเช่นกัน คำนี้ใช้หมายถึง “ผี” โดยรวม คือหมายรวมถึง “ยูเร” และ “โยไก” ก็ได้ตามบริบท ดังเช่นการ์ตูนเรื่อง “ผีน้อยคิวทาโร่” ชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ “โอะ-บะเกะ โนะ Q ทะโร” (オバケのQ太郎; Obake no kyūtarō) ซึ่งผีในเรื่องนี้มีลักษณะเป็น “โยไก”, หรือในคำว่า “บ้านผีสิง” ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โอะ-บะเกะ ยะชิกิ” (お化け屋敷;O-bake-yashiki; คฤหาสน์ผี) ซึ่งเมื่อเข้าไป สิ่งที่จะได้เจอคือ “ยูเร”, หรือในคำว่า “ฟักทองผี” ประจำช่วงฮัลโลวีน ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โอะ-บะเกะ คะโบะชะ (お化けカボチャ; O-bake kabocha) ซึ่งดูแล้วไม่รู้ว่าจะระบุยังไงดี ที่แน่ ๆ ก็คือผีนั่นเอง ดังนั้น สิ่งที่ระบุประเภทได้ยาก แต่รู้แน่ว่าเป็นผี ส่วนใหญ่ก็จะตกอยู่ในข่ายนี้ และถ้าใช้เกณฑ์นี้มาวัดผีไทย ก็น่าจะได้ผีทะเล ผีพนัน แต่ถ้าถึงขั้นผีผ้าห่ม อันนี้คนญี่ปุ่นไม่ได้มองว่าเป็นผี แต่เป็นคน
คัปปะ
ขอบพระคุณ ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ Tokyo University of Foreign Studies
แจมเพลงก่อนด้วยเพลงนี้ครับ
สัญญาใจ - อรวี สัจจานนท์
แสดงความคิดเห็น
ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 10/9/2560 - ตำนานสยองแดนอาทิตย์อุทัย
สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันอาทิตย์ MC แอ๊ด (WANG JIE) เข้าประจำการครับ
เมื่อวานนี้ เปิดแท่น MC ให้พี่ CN มาเป็น MC กิตติมศักดิ์รับเชิญครับ ดังนั้น MC แอ๊ด จึงเลื่อนมาเป็นวันนี้ และจะต่อด้วยพรุ่งนี้อีก 1 วัน
ก่อนหน้าที่จะเข้ามาเปิดกระทู้ตั้ง MC เพิ่งดูคลิปเกี่ยวกับผีและวิญญาณ (ของโปรด) แล้วก็นึกอยากนำเรื่องเกี่ยวกับ "ผีญี่ปุ่น" ซึ่งน่ากลัวไม่น้อยเหมือนกัน บางเรื่องก็มีหลักฐานจริงจังเสียด้วย...มาเริ่มกันเลย...
(1) วายุปีศาจ คะมะอิตะฉิ (鎌鼬) "ปีศาจซาดิสม์"
นี่คือภูตลมในตำนาน เคลื่อนไหวได้รวดเร็วดังสายลม ความเชื่อนี้มีมาแต่โบราณ มีผู้คนถูกลมที่พัดแรงขึ้นอย่างกระทันหันปะทะเข้าที่ตัวจนทำให้เกิดบาดแผล เชื่อกันว่า แผลนั้น ตัว วีเซิล ที่อาศัยอยู่ในพายุหมุนเป็นผู้ทำ เล่ากันว่า ผู้คนที่ขึ้นไปบนภูเขา บางครั้งจะเจอพายุหมุน เมื่อพายุหมุนนั้นผ่านไป ก็จะพบว่าตนมีบาดแผล แต่ไม่รู้สึกเจ็บ ซึ่งบาดแผลนี้เกิดจากการกระทำของพวก คะมะอิตะฉิ 3 ตัวที่อาศัยอยู่ในพายุหมุน ตัวแรกจะชนเหยื่อให้ล้ม ตัวที่ 2 จะฟันเหยื่อให้เป็นแผล ตัวที่ 3 จะทายาเพื่อห้ามเลือดและระงับอาการเจ็บปวดให้เหยื่อ แล้วบางคนไม่ได้ถูกฟันครั้งเดียว แต่จะถูกฟันแล้วทายาแล้วถูกฟันซ้ำ ๆ อีก เรียกได้ว่า "ฟันแล้วไม่ทิ้งหรอก แต่จะช่วยรักษาให้ แล้วก็ฟันซ้ำอีก" ปีศาจโรคจิตชัดๆเลยแบบนี้
(2) เนะโขะมะตะ (猫又) แมวปีศาจ
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อแมวบางตัวมีอายุมากจะมีตบะสูงขึ้น กลายเป็นแมวผี ที่เรียกว่า บะเกะเนะโขะ (化け猫) ซึ่งมีหลายวิธีที่มันจะสามารถกลายเป็นบะเกะเนะโขะได้ และเมื่อหางมันแยกออกเป็น 2 หาง มันจะ "อัพเกรด"เป็น เนะโขะมะตะ ซึ่งจะสามารถขยายตัวออกไปได้ถึง 1 เมตร และส่วนมากจะเดินด้วย 2 ขาหลัง และมันเป็นผีที่ไม่ยอมให้ใครมาดูถูก ถ้าใครปฏิบัติกับมันไม่ดี มันจะจดจำอย่างฝังใจ เชื่อกันว่าการเต้นรำของเนะโขะมะตะ สามารถควบคุมคนตายได้ และยังเชื่อกันอีกว่า เนะโขะมะตะ เป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ที่ผิดปกติ คนที่เชื่อเรื่องนี้จึงตัดหางแมวออก เพื่อป้องกันไม่ให้มันกลายเป็นเนะโกะมะตะ !!! (กรรมเวรของเจ้าเหมียว)
เรื่องเนะโขะมะตะ แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ บ้างก็เชื่อว่ามันจะกินแม้กระทั่งเจ้านายของตัวเอง (เลี้ยงเสียข้าวปลาแท้ๆ) และการทิ้งแมวไว้กับศพเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก เพราะมันอาจปลุกศพให้ลุกขึ้นมาได้ แถมยังควบคุม "ผีดิบ" นั้นได้อีก (ฤทธิ์มากจริง!)
บ้างก็ว่าเนะโขะมะตะซึ่งหลงรักเจ้านายของตนมากจะแปลงร่างเป็นสาวงาม เพื่อปรนนิบัติเจ้านายอีกต่างหาก (อืม...อันนี้น่าสน!)
(3) โระขุโระคุบิ (ろくろ首) ผีสาวคอยาว
เธอเป็นมนุษย์ซึ่งโดนคำสาปจากใครที่ไหนมาก็ไม่รู้ ตอนกลางวันเป็นคนปกติธรรมดา แต่พอตกกลางคืน คอของเธอจะยืดยาวออกมา เรื่องคล้ายกับกระสือของไทย ต่างกันตรงที่โระคุโระคุบินั้นจะยืดทั้งคอทั้งหัวยาวออกไปพร้อมกัน ไม่ได้ถอดหัวแล้วทิ้งร่างไว้เหมือนกระสือ และจะดูดพลังวิญญาณของคนและสัตว์เป็นอาหาร แต่ที่นางชื่นชอบมากเป็นพิเศษคือ พลังชีวิตของชายหนุ่ม (แหงล่ะสิ!!) เธอมักจะแฝงตัวและปิดบังตัวเอง แต่สุดท้ายเมื่อปิดไม่อยู่ก็จะแสดงตัวตนออกมา แต่เฉพาะกับพวกขี้เมาและผู้ชายงี่เง่าเท่านั้น ถ้าเป็นหนุ่มหล่อๆดีๆ ก็จะไม่แสดงตัว เพราะกลัวว่าเขาจะผิดหวัง (กลัวตัวเองจะอกหักด้วยหละไม่ว่า!!)
(4) ฮะนะโกะซัง วิญญาณในห้องน้ำ (トイレの花子さん)
ฮะนะโกะซัง ตำนานผีในเมืองสมัยใหม่ที่นิยมมากในญี่ปุ่น โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ที่จะใช้ตำนานนี้ในการวัดความกล้าสำหรับบรรดาน้องใหม่ทั้งหลาย ฮะนะโกะซัง คือ เด็กผู้หญิงในชุดเอี๊ยมกระโปรงแดง ตัดผมสั้นทรงกะลา วันหนึ่งตอนพักกลางวันเธอแอบเข้าไปในห้องน้ำแล้วออกมาไม่ได้ เด็กสาวจึงต้องเอาตัวรอดด้วยการจับแมลงและกินน้ำที่อยู่ในห้องน้ำนั้นเพื่อประทังชีวิต แต่น่าเศร้าที่แมลงในห้องน้ำนั้นไม่สามารถทำให้เธอรอดชีวิตได้ เธอจึงกลายเป็นวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในห้องน้ำนับแต่นั้นมา การที่จะพบฮะนะโกะซังได้นั้นจะต้องเคาะประตู 3 ครั้ง ในห้องน้ำห้องที่ 3 ชั้นที่ 4 ของโรงเรียน บ้างก็ว่าห้องสุดท้ายทางขวามือ แล้วถามว่า “ฮะนะโกะซัง เธออยู่ในนั้นไหม ?” ไม่ก็ “ฮะนะโกะซัง มาเล่นกันเถอะ” ถ้าเธอตอบ “ฉันอยู่นี่” หรือ “ค่ะ...” ละก็...หลังจากนั้นก็แล้วแต่ละนะ ว่าจะวิ่ง หรือจะเล่นกับเธอ !!!
(5) คะเมะลิอะ (คาเมเลีย) Camelia ดอกไม้สีเลือด
เป็นดอกไม้ในตระกูลชา ดอกเป็นสีขาวและชมพู แต่บางครั้งพบสีแดงคล้ายเลือด ซึ่งมีความหมายว่า ความโศกเศร้าอันน่าสลด ตำนานคาเมเลียเป็นที่กล่าวขวัญกันในโรงเรียนประถมของญี่ปุ่น เพราะนิยมปลูกเจ้าคาเมเลียไว้ประดับโรงเรียน พอถึงฤดูใบไม้ร่วง ดอกของต้นคาเมเลียก็จะหล่นเกลื่อนกลาดเต็มพื้นทางเดินของโรงเรียน ถ้าเกิดมันเป็นสีแดง คงคล้ายกับว่าพื้นนั้นถูกย้อมไปด้วยเลือด
ตำนานอาถรรพ์ของต้นคาเมเลีย เริ่มในสมัยโบราณของญี่ปุ่นที่ยังคงมีระบบศักดินา มีเจ้าหญิงไร้นามผู้หนีภัยทางการเมือง แต่โดนฝ่ายตรงข้ามจับได้ซะก่อน เธอจึงกลายเป็นเชลยสงครามและถูกจับมัดไว้กับต้นคาเมเลีย จากนั้นถูกทรมานสารพัดเพื่อบังคับให้เปิดเผยข้อมูลของราชสำนัก ส่วนเจ้าหญิงเองก็เป็นคนดีเก็บเงียบไม่ยอมปริปากบอกอะไรแก่ศัตรู จนในที่สุดก็เสียชีวิตและถูกฝังศพไว้ใต้ต้นคาเมเลียนั้น ต้นคาเมเลียจึงสูบเลือดเจ้าหญิงแทนน้ำ ส่วนวิญญาณแค้นทำให้ดอกคาเมเลียกลายเป็นสีเลือด เด็กๆ จึงเชื่อกันว่าต้นคาเมเลียในโรงเรียน เป็นต้นไม้ที่สูบเลือดของเจ้าหญิง และเป็นที่น่าประหลาดใจ เพราะตำนานนี้ไม่พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่กลับสามารถระบุวันที่เจ้าต้นคาเมเลียจะออกดอกสีแดงได้ นั่นคือ วันที่ 15 มิถุนายนของทุกปี !!
(6) คิคุโกะ ตุ๊กตาผมยาวเองได้ !!
คิคุโกะ เป็นตุ๊กตาที่มีอยู่จริงใน วัดมันเนน หมู่บ้านคุริซาว่า อำเภอโงจิ ฮอคไกโด เจ้าของตุ๊กตาตัวนี้เป็นเด็กหญิงชื่อ “คิคุโกะจัง” เธอรักตุ๊กตาตัวนี้มาก กินด้วยกันนอนด้วยกัน เป็นเด็กที่ติดตุ๊กตายิ่งกว่าพ่อแม่เสียอีก เมื่อเด็กหญิงป่วยและเสียชีวิตลง พ่อแม่ก็นำตุ๊กตาไปวางไว้ที่ป้ายวิญญาณ เพื่อให้ตุ๊กตาตัวนั้นไปเป็นเพื่อนเล่นในยามที่จากไปแล้ว แต่ก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น เมื่อแต่เดิมตุ๊กตาที่มีผมสั้น กลับมีผมยาวลงมาจนเลยไหล่ ปากที่เคยหุบสนิทก็แย้มยิ้ม ทั้ง ๆ ที่คิคุโกะจัง ตายไปกว่า 60 ปีแล้ว !!
ในวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี ที่วัดมันเนน จะมีพิธีตัดผมที่ปรกหน้าตุ๊กตาออก และเปลี่ยนชุดกิโมโนให้ใหม่ แต่ผมของตุ๊กตาก็ยังคงยาวขึ้นมาใหม่อยู่เสมอ !!!
(7) "แม่นาคญี่ปุ่น" โอะอิวะ
เป็นตำนานของหญิงสาวที่ผิดหวังในความรัก วิญญาณความเฮี้ยนระดับ 5 ดาว !! เรื่องเกิดขึ้นในสมัย เอโดะ โออิวะ คือ คุณหนูตระกูลเศรษฐีผู้ร่ำรวย พ่อถูกสังหาร จึงต้องอยู่ตัวคนเดียวกับบริวารและมรดกมหาศาลทั้งหลาย ตำนานบอกว่าเธอหน้าตาสะสวย แต่บางตำนานก็บอกว่าหน้าตาอัปลักษณ์ตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ค่อยมีคนคบ อยู่มาวันหนึ่ง มีซามูไรรูปหล่อนามว่า “อิเอม่อน” มาขอความรัก โออิวะที่ไม่เหลือใครจึงตอบตกลงแต่งงานด้วย อิเอม่อนซึ่งเป็นชายรูปหล่อแต่ใจคด ทำการวางแผนเพื่อฮุบทรัพย์สมบัติ แต่โออิวะรู้ถึงแผนการเข้าเสียก่อน อิเอม่อนจึงกรอกยาพิษให้อิโอวะกิน จนหน้าตาอัปลักษณ์และกล่าวหาว่าอิโอวะเป็นผี จากนั้นก็เชือดเธอแล้วทิ้งศพไว้ที่บ่อน้ำ บางตำนานเล่าว่าโออิวะเสียใจจนฆ่าตัวตายเอง ต่อมา อิเอม่อนได้แต่งงานใหม่ ในคืนที่เข้าหอนั้น เจ้าบ่าวเห็นว่าที่เจ้าสาวเป็นโออิวะ ที่นั่งรอตนเองเพื่อเข้าหอ อิเอม่อนกลัวจนลนลานจึงหยิบดาบฟันไปที่ร่างนั้น ปรากฎว่าร่างนั้นกลายเป็นว่าที่เจ้าสาว ไม่ใช่โออิวะอย่างที่ได้เห็นเมื่อตะกี้นี้ และไม่เพียงแต่อิเอม่อนเท่านั้น แต่วิญญาณของโออิวะยังตามไปทวงแค้นคนที่สมรู้ร่วมคิดให้ตายกันไปทีละคน ๆ จนในที่สุด อิเอม่อนก็เสียสติ และใช้ดาบฆ่าตัวตายที่บ้านหลังนั้น เรื่องราวความเฮี้ยนนั้นนำไปทำเป็นบทละครและสร้างศาลเจ้า “ทะมิยะ” อยู่ที่ย่านชินจูกุ กรุงโตเกียว ใครที่จะแสดงเรื่องนี้ ต้องมากราบไหว้โออิวะก่อนเข้ารับเล่นบทด้วย แบบเดียวกับ "แม่นาค" ของไทยไม่มีผิด !!
(8) เทะเกะ เทะเกะ ผีบนรางรถไฟ
หญิงสาวคนหนึ่งตายบนรางรถไฟ เล่ากันว่าเธอกระโดดตัดหน้าขบวนรถไฟ ร่างกายจึงหงิกงอ ด้วยความโกรธบวกกับความทรมานหลังจากโดนรถไฟซึ่งเธอกระโดดเข้าใส่เองชน เทะเกะจึงเริ่มปฏิบัติการออกหาเหยื่อคือคนที่เดินผ่านทางที่เป็นของเธอในตอนกลางคืน เมื่อมีเหยื่อเดินผ่านมาเธอก็จะตามไปทันทีถึงแม้ว่าขาจะเดินไม่ได้ แต่เธอจะคืบคลานไปทีละนิดๆ ด้วยมือและไหล่ อย่าเพิ่งหลงดีใจไปว่าเธอช้าตามไม่ทันเพราะเราวิ่งได้ไวกว่า เพราะว่าใครก็ตามถ้าสบตากับเธอ การเคลื่อนไหวจะช้าลงโดยฉับพลัน หนีอย่างไรก็ไม่รอด บางครั้งก็เล่าว่า เหยื่อนั้นจะกลายเป็น เทะเกะเทะเกะ ตนใหม่แทน (ก็ตัวตายตัวแทนนั่นแล) เรื่องนี้เป็นตำนานที่เอาไว้ขู่เด็กๆไม่ให้ออกไปอยู่นอกบ้านดึกๆดื่นๆ
(9) ซะระยะชิกิ (โอะอิขุ) ผีนับจาน
โออิขุ เป็นสาวใช้ในตระกูล อาโอยาม่า ที่บังเอิญล่วงรู้แผนการล้มการปกครองของเจ้าเมือง เธอจึงนำความลับนั้นไปบอกกับคนรักของตัวเอง ซึ่งเป็นทหารของเจ้าเมือง ทำให้แผนการของอาโอยาม่าล้มเหลวไม่เป็นท่า พอรู้ว่าโออิคุเป็นตัวการทำให้แผนการล้มเหลว จึงใส่ความว่าโออิคุขโมยจานล้ำค่า ซึ่งมันมาเป็นเซ็ท มีทั้งหมด 10 ใบ หายไป 1 ใบ และด้วยจานเซ็ทนั้น ทำให้โออิขุถูกทรมานจนตายและศพถูกทิ้งไว้ในบ่อน้ำ วันดีคืนดี เธอจะออกมานับจานข้าง ๆบ่อน้ำ ตั้งแต่ใบที่ 1 ถึงใบที่ 9 แต่นับยังไง มันก็ไม่ครบ 10 สักที เธอจึงต้องนับไปเรื่อย ๆ ด้วยเสียงคร่ำครวญว่า จานใบที่สิบอยู่ที่ไหน
(10) คุฉิซะเกะอนนะ สาวปากฉีก
เป็นตำนานผีที่มีชื่อเสียงมาก เล่ากันมาตั้งแต่ยุคสมัยเฮอันจนถึงปัจจุบันก็ยังรู้จักกันอยู่ เธอคือหญิงสาวที่คาดว่าคงหน้าตาดีที่สุดในยุคสมัยนั้น เธอเป็นภรรยาของซามูไรที่คาดอีกเช่นกันว่ามีชื่อเสียงในขณะนั้น และเมื่อมีความสวย ความซวยจึงตามมา สามีคิดว่าเธอมีชู้เพราะเหตุใดก็ไม่ทราบได้ ด้วยความโกรธจึงชักดาบเงื้อคมมีดฟันเข้าที่ปากภรรยาจนฉีกถึงใบหู เพื่อให้เธอเสียโฉม แถมยังถากถางทิ้งท้ายว่า เธอหน้าตาแบบนี้แล้ว ยังจะมีใครชมว่าเธอสวยอีกไหม หลังจากนั้นเธออยู่รอดได้อย่างไรไม่มีใครรู้ แต่เมื่อเธอตายไปก็กลายเป็นวิญญาณอาฆาตพยาบาทถึงที่สุด เธอมักจะมาอยู่ริมถนนในช่วงเวลาใกล้ค่ำ สวมผ้าปิดปาก และถ้าเจอใครเดินผ่านมาก็จะเปิดผ้าถามว่า ฉันสวยไหม ?
และถ้าใครตอบว่าสวย ก็จะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ถ้าใครออกอาการตกใจช็อกให้เธอเห็น เธอจะติดตามคนๆนั้นไปอย่างไม่ลดละ!
เครดิต วิกิ และ https://board.postjung.com/797495.html
จบแล้วครับ พบกันวันพรุ่งนี้อีก 1 วันครับ