นางวิไล เคียงประดู่ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า จากความมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนา และขยายการใช้งาน “แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์”นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อสังคม ให้กับหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ได้นำไปใช้งานด้านสาธารณสุขชุมชนเพื่อให้ก่อให้เกิดคุณค่าต่อสังคมในบริบทชุมชนต่างๆอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นวิสัยทัศน์ของบริษัทฯภายใต้แนวคิด “Digital For Thais”ในด้านสาธารณสุข โดยเอไอเอสได้ทำงานร่วมกันกับ รพ.สต. อสม. และกระทรวงสาธารณสุขในการพัฒนาแอปพลิเคชันนี้ให้เกิดประโยชน์ต่องานด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ และรพ.สต.ได้นำแอพฯอสม.ออนไลน์ไปใช้งานแล้วจำนวน 672 แห่งทั่วประเทศ ส่วนในพื้นที่ภาคใต้ มีจำนวน 149 รพ.สต. ซึ่งรพ.สต.บางทอง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ถือเป็นรพ.สต.นำร่องในจังหวัดพังงา
ทั้งนี้ คาดว่าภายในสิ้นปีจะเพิ่มการใช้งานแอพฯ เป็น 1,000 แห่งทั่วประเทศ โดยเอไอเอสใช้งบประมาณในแต่ละปีสำหรับการทำแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR 80 ล้านบาท
ล่าสุด บริษัทฯนำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ภาคใต้ ณ รพ.สต.บางทอง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ติดตามการนำแอปฯอสม.ออนไลน์ ไปใช้งาน ซึ่งได้มีการศึกษาการทำงานของแอปฯอสม.ออนไลน์ และเห็นจุดเด่นการเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่แตกต่างซึ่งสามารถตอบโจทย์การทำงานของรพ.สต.และอสม.ในการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพชุมชน และช่วยในการสื่อสารข้อมูลผ่านไปยังอสม.และสู่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางรัชนี หนูเพชร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.)บางทอง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา กล่าวว่า รพ.สต.บางทอง มีประชากรที่ต้องดูแลรับผิดชอบทั้งหมดประมาณ 3,300 คน 776 ครัวเรือน มีเจ้าหน้าที่รพ.สต 3 คน โดยมีเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.)จำนวน 72 คนที่ช่วยดูแลประชาชนในพื้นที่ ซึ่งการติดต่อสื่อสารระหว่างรพ.สต.กับอสม.ในอดีตที่ผ่านมาคือการโทรศัพท์มือถือ และเครือข่ายสังคมออนไลน์อยู่บ้างแต่พบปัญหาในเรื่องการใช้งานที่ยังไม่เฉพาะเจาะจงเพราะมีหลากหลายเรื่องปะปนกันทำให้หลายครั้งที่อสม.พลาดข้อมูล ข่าวสารสำคัญที่รพ.สต.ส่งให้แก่อสม.
ทั้งนี้ภายหลังรพ.สต.บางทองได้นำแอปฯอสม.ออนไลน์มาใช้งานได้ระยะหนึ่ง สิ่งที่ได้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดคือการทำให้รพ.สต.สามารถเข้าถึงข้อมูลในพื้นที่ชุมชนได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ ทันสถานการณ์ ซึ่งมีแอปฯอสม.ออนไลน์เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงงานระดับพื้นที่มาสู่รพ.สต.โดยการให้อสม.ส่งรายงาน ข่าวสาร ข้อมูล และกิจกรรมต่างๆในพื้นที่แจ้งกลับมายังรพ.สต.ผ่านทางแอปฯอสม.ออนไลน์ได้ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันก็ช่วยให้รพ.สต.สามารถส่งข้อมูล ข่าวสารเรื่องสุขภาพที่สำคัญ เช่น การนัดรับวัคซีน แจ้งการให้บริการในคลินิกโรคเรื้อรัง การระบาดของโรคในพื้นที่ อาทิโรคไข้เลือดออก เป็นต้น ส่งไปยังอสม.ทุกคนเพื่อนำไปบอกต่อกับคนในครอบครัว หรือชาวบ้านในพื้นที่เพื่อจะได้ป้องกัน และเฝ้าระวังสุขภาพของตัวเองได้อย่างทันท่วงที และยังเป็นช่องทางให้อสม.ได้ส่งภาพ เสียงหรือข้อความเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆที่เกิดขึ้นในชุมชนให้กับเจ้าหน้าที่รับทราบได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง จึงช่วยลดช่องว่างในการติดต่อสื่อสารระหว่างรพ.สต.กับอสม.ในพื้นที่ ที่สำคัญทำให้ไม่พลาดการติดต่อในเรื่องข้อมูลด้านสุขภาพเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
นายวิฤทธิ์ บุญเอิบ ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการด้านเทคนิค-ภาคใต้ เอไอเอส กล่าวว่าเพื่อรองรับการทำงานด้านสาธารณสุข และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์บริษัทฯเราจึงขยายเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่ต้องครอบคลุม และมีคุณภาพ เพราะทุกวันนี้การใช้งานเปลี่ยนจากการสื่อสารผ่านเสียงเป็นการสื่อสารด้วยข้อมูลที่มีจำนวนมาก ดังนั้นการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชีวิต และสุขภาพมีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีผู้ที่มีความรู้ด้านนั้นๆช่วยกรองข่าวสารเพื่อให้ข้อมูลน่าเชื่อถือ และครบถ้วน ในพื้นที่ภาคใต้บริษัทฯมีการขยายติดตั้งสถานีฐานระบบ 3-4 จี กว่า 5,400 แห่งครอบคลุม ทั้ง 14 จังหวัด และมีแผนขยายเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าภายในสิ้นปีจะขยายเพิ่มอีกราว 200 แห่งเพื่อให้ผู้ใช้งานบนเครือข่ายเอไอเอสสามารถติดต่อสื่อสารและเข้าถึงการใช้งานทั้งแบบเสียง และข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกพื้นที่ซึ่งครอบคลุมแล้วกว่า 98.72% ของพื้นที่มีประชากรอาศัยอยู่
http://www.naewna.com/business/289473
'เอไอเอส'รุกหนักบุกพื้นที่ท้องถิ่น ลุยใช้แอพฯ'อสม.ออนไลน์'ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ คาดว่าภายในสิ้นปีจะเพิ่มการใช้งานแอพฯ เป็น 1,000 แห่งทั่วประเทศ โดยเอไอเอสใช้งบประมาณในแต่ละปีสำหรับการทำแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR 80 ล้านบาท
ล่าสุด บริษัทฯนำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ภาคใต้ ณ รพ.สต.บางทอง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ติดตามการนำแอปฯอสม.ออนไลน์ ไปใช้งาน ซึ่งได้มีการศึกษาการทำงานของแอปฯอสม.ออนไลน์ และเห็นจุดเด่นการเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่แตกต่างซึ่งสามารถตอบโจทย์การทำงานของรพ.สต.และอสม.ในการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพชุมชน และช่วยในการสื่อสารข้อมูลผ่านไปยังอสม.และสู่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางรัชนี หนูเพชร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.)บางทอง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา กล่าวว่า รพ.สต.บางทอง มีประชากรที่ต้องดูแลรับผิดชอบทั้งหมดประมาณ 3,300 คน 776 ครัวเรือน มีเจ้าหน้าที่รพ.สต 3 คน โดยมีเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.)จำนวน 72 คนที่ช่วยดูแลประชาชนในพื้นที่ ซึ่งการติดต่อสื่อสารระหว่างรพ.สต.กับอสม.ในอดีตที่ผ่านมาคือการโทรศัพท์มือถือ และเครือข่ายสังคมออนไลน์อยู่บ้างแต่พบปัญหาในเรื่องการใช้งานที่ยังไม่เฉพาะเจาะจงเพราะมีหลากหลายเรื่องปะปนกันทำให้หลายครั้งที่อสม.พลาดข้อมูล ข่าวสารสำคัญที่รพ.สต.ส่งให้แก่อสม.
ทั้งนี้ภายหลังรพ.สต.บางทองได้นำแอปฯอสม.ออนไลน์มาใช้งานได้ระยะหนึ่ง สิ่งที่ได้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดคือการทำให้รพ.สต.สามารถเข้าถึงข้อมูลในพื้นที่ชุมชนได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ ทันสถานการณ์ ซึ่งมีแอปฯอสม.ออนไลน์เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงงานระดับพื้นที่มาสู่รพ.สต.โดยการให้อสม.ส่งรายงาน ข่าวสาร ข้อมูล และกิจกรรมต่างๆในพื้นที่แจ้งกลับมายังรพ.สต.ผ่านทางแอปฯอสม.ออนไลน์ได้ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันก็ช่วยให้รพ.สต.สามารถส่งข้อมูล ข่าวสารเรื่องสุขภาพที่สำคัญ เช่น การนัดรับวัคซีน แจ้งการให้บริการในคลินิกโรคเรื้อรัง การระบาดของโรคในพื้นที่ อาทิโรคไข้เลือดออก เป็นต้น ส่งไปยังอสม.ทุกคนเพื่อนำไปบอกต่อกับคนในครอบครัว หรือชาวบ้านในพื้นที่เพื่อจะได้ป้องกัน และเฝ้าระวังสุขภาพของตัวเองได้อย่างทันท่วงที และยังเป็นช่องทางให้อสม.ได้ส่งภาพ เสียงหรือข้อความเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆที่เกิดขึ้นในชุมชนให้กับเจ้าหน้าที่รับทราบได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง จึงช่วยลดช่องว่างในการติดต่อสื่อสารระหว่างรพ.สต.กับอสม.ในพื้นที่ ที่สำคัญทำให้ไม่พลาดการติดต่อในเรื่องข้อมูลด้านสุขภาพเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
นายวิฤทธิ์ บุญเอิบ ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการด้านเทคนิค-ภาคใต้ เอไอเอส กล่าวว่าเพื่อรองรับการทำงานด้านสาธารณสุข และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์บริษัทฯเราจึงขยายเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่ต้องครอบคลุม และมีคุณภาพ เพราะทุกวันนี้การใช้งานเปลี่ยนจากการสื่อสารผ่านเสียงเป็นการสื่อสารด้วยข้อมูลที่มีจำนวนมาก ดังนั้นการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชีวิต และสุขภาพมีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีผู้ที่มีความรู้ด้านนั้นๆช่วยกรองข่าวสารเพื่อให้ข้อมูลน่าเชื่อถือ และครบถ้วน ในพื้นที่ภาคใต้บริษัทฯมีการขยายติดตั้งสถานีฐานระบบ 3-4 จี กว่า 5,400 แห่งครอบคลุม ทั้ง 14 จังหวัด และมีแผนขยายเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าภายในสิ้นปีจะขยายเพิ่มอีกราว 200 แห่งเพื่อให้ผู้ใช้งานบนเครือข่ายเอไอเอสสามารถติดต่อสื่อสารและเข้าถึงการใช้งานทั้งแบบเสียง และข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกพื้นที่ซึ่งครอบคลุมแล้วกว่า 98.72% ของพื้นที่มีประชากรอาศัยอยู่
http://www.naewna.com/business/289473