..สวัสดีและยินดีต้อนรับทุกคนนะคะ..
ขอออกตัวก่อนเลยว่านี่เป็นกระทู้รีวิวแรก
ถ้าหากมีความผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ตรงนี้เลยค่ะ
สำหรับทริปนี้ เราขอพาทุกคนมายังหนึ่งในสถานที่ที่งดงามของโลก
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ห้ามพลาดและต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองให้ได้
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันคร่าวๆก่อนนะคะ...
ทะเลสาบทาโฮ (Lake Tahoe) ถือเป็นทะเลสาบอัลไพน์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ
ตั้งอยู่บนเทือกเขาเซียร์ราเนวาดา ที่ความสูง 1,897 เมตร
ซึ่งอยู่ระหว่างเขตแดนของรัฐแคลิฟอร์เนียและเนวาดา
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Lake_Tahoe
Mark Twain ได้เขียนไว้ว่า
"To obtain the air the angels breathe, you must go to Tahoe."
อื้อหือออ เค้าปูมาซะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ !!!
เราก็ต้องไปพิสูจน์กันหน่อยแล้วล่ะค่ะ ว่าจะอลังการสมคำร่ำลือหรือเปล่า ?
ขอสารภาพตามตรงค่ะว่าทริปนี้เป็นทริปที่ฉุกละหุกมาก(ถึงมากกกกที่สุด)
แทบจะไม่ได้วางแผนการเดินทางอะไรเลย
เนื่องจากพลอยและเพื่อนสนิทมีเวลาว่างตรงกันพอดี
เลยจัดการเช่ารถและจองโรงแรมกันด่วนๆ
(ภายในเวลาแค่10นาที !!!)
แล้วก็จัดการหา(+หลอกล่อ)เหยื่อมาเพิ่มอีก3คน รวมเป็น5คนถ้วน
7.45น. เช้าวันเสาร์ ฤกษ์งามยามดี ก็ได้เวลาล้อหมุนออกจาก San Francisco ค่ะ
:: Speedboat Beach ::
หลังจากนั่งรถเบียดกันอย่างยาวนานประหนึ่งปลากระป๋อง
เราก็มาแวะกันที่ Speedboat Beach เป็นที่แรก
แต่เดี๋ยวก่อนนน! อย่าเพิ่งคิดว่าเราจะได้มาเล่นน้ำกันอย่างสบายอารมณ์นะคะ
เพราะปัญหาหลักๆที่ต้องเจอเลยสำหรับแหล่งท่องเที่ยว ก็คือการหาที่จอดรถค่ะ
จริงๆแล้วบริเวณใกล้ๆ ก็เห็นจอดเรียงรายกันตามทางหลายคันเลย
แต่มีคนพื้นที่กระซิบมาว่าระวังโดนปรับนะ (ตรงนี้ไม่มีข้อมูลจริงๆค่ะ ไม่รู้ว่าจริงแท้แค่ไหน)
แต่พวกเราขอไม่เสี่ยงดีกว่า เลยวนหากันต่อไป
จนไปจบที่ลานจอดรถของ Cal Neva Casino แล้วใช้วิธีเดินลงมาที่ beach แทน
ยอมเดินไกลหน่อย แต่จอดฟรีและหมดปัญหากวนใจแน่นอน
(*ใครจะไปจอด ก็ลองสอบถามเจ้าหน้าที่กันก่อนนะคะ)
หลังจากที่ทุกคนจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์กันแล้ว
ก็เดินลงมาตามทาง Speedboat Beach Access
สุดทางจะมีบันไดไม้เดินลงไปยังหาดค่ะ
วินาทีแรกที่เดินลงมาถึง สาวๆถึงกับกรีดร้องพร้อมกันเลย
ซึ่งบริเวณนี้ไม่ได้มีพื้นที่หาดทรายกว้างๆ (แบบนี้เราจินตนาการไว้..)
แต่น้ำใสๆและวิวสวยๆโดยรอบนี่กินขาดเลยค่ะ
ยิ่งถ้ามองไปที่ยอดเขาไกลๆ จะพบกับหิมะสีขาวบางๆ
ก็ยิ่งทำให้ประทับใจบรรยากาศของที่นี่ได้ไม่ยากเลย...
สำหรับในหน้าร้อนแบบนี้ กิจกรรมที่คนส่วนใหญ่นิยมทำกัน
ก็มีตั้งแต่ กีฬาทางน้ำ พายเรือคายัก แล่นเรือใบ พาราเซล เจ็ตสกี ตกปลา ไปจนกระทั่งการดำน้ำลึก
นอกจากนี้ก็ยังมี การเดินป่า ปีนหน้าผา อีกด้วย
เรียกได้ว่าครบ จบ ในที่เดียว...
ระหว่างทางที่จะเดินกลับขึ้นไปเอารถ
ด้วยทางที่เป็นเนินเขา เล่นเอาสมาชิกแต่ละคนแอบบ่นกันเบาๆ
แต่บรรยากาศระหว่างทางนี่ก็สวยไม่แพ้ข้างล่างเลย
แอบอิจฉาเจ้าของบ้านแถวนี้มากๆค่ะ
อยากตื่นเช้ามาแล้วเจอกับวิวแบบนี้ทุกวันเลย.. (ตื่นค่ะ!!!!)
:: Kings Beach::
ขับรถต่อมาไม่นาน ก็มาถึง Kings Beach ค่ะ
เป็นอีกหนึ่งหาดยอดฮิตสำหรับทั้งนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่เลยก็ว่าได้
ท้องฟ้าโปร่ง แสงแดดส่อง ทรายอุ่นๆ บวกกับน้ำเย็นสดชื่น
ไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมคนถึงได้แน่นขนาดนี้
เรียกได้ว่าฟินนนนนนกันสุดๆเลยค่ะ
โดยเฉพาะเพื่อนๆแต่ละนางของพลอย
สะบัดผ้าปู ปักหลัก แล้วนอนอาบแดดกันยาวๆเลย555
(ส่วนหนุ่มๆก็ไปว่ายน้ำค่ะ คอนเฟิร์มว่าน้ำเย็นสดชื่นจริงๆ)
เนื่องจากจำนวนประชากรที่ล้นหลาม บวกกับเป็นวันหยุด
ทำให้หาที่จอดรถได้ยากอย่างไม่ต้องสงสัยอีกเช่นเคย
แต่โชคดีที่มีลานจอดรถติดกับหาดไว้บริการค่ะ
ค่าเสียหายก็แค่ $10 ถือว่าสะดวกและใกล้ที่สุดแล้ว
เหนื่อยๆแบบนี้ เราก็ต้องหาอะไรรองท้องกันสักหน่อย
วันนี้ขอฝากท้องไว้ที่ร้าน The Grid Bar & Grill ค่ะ
เราเลือกสั่งอาหารง่ายๆมาทานกัน Fish N' Chips, Burgers, Tacos...
รสชาติโดยรวมถือว่าดีเลย เหมาะสมกับราคา
สำคัญที่สุดคือ พนักงานเฟรนลี่ดีมากกกก
ก่อนเช็คบิลมีการเล่นเกมตอบคำถามกันนิดหน่อย
สนุกสนาน เรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกโต๊ะเลยค่ะ
ขอพ่วงมาด้วย Beefy Potato-Rito ราคา $1 ที่ร้าน Taco Bell ค่ะ
(ที่บอกว่าแค่รองท้อง ขอถอนคำพูดค่ะ555)
หลังจากนั้น เราก็ขับรถเล่นชมบรรยากาศรอบทะเลสาบกันค่ะ
::The Village at Squaw Valley::
เวลาล่วงเลยมาจนถึงเย็น ก็ได้เวลาเข้าไปเช็คอินที่โรงแรมกันค่ะ
เราเลือกมาพักกันที่ The Village at Squaw Valley
บรรยากาศของโรงแรมห้อมล้อมไปด้วยภูเขาแทบจะ 360 องศาเลย
เงียบสงบ แถมบรรยากาศยังดีมากอีกด้วย (เกินที่คาดหวังไว้เยอะเลย)
ยิ่งถ้าได้มาพักช่วงหน้าหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั่วภูเขา
คงจะดีกว่านี้มากกกกกกแน่ๆ
เพื่อนคนที่จองแอบโม้ใหญ่เลยว่า เซ้นส์การเลือกที่พักของนางดีนะเนี่ย
(แม้จะใช้เวลาเลือกแค่ไม่ถึง5นาที5555)
ใน ปี 1960 Squaw Valley ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพในการจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวด้วยค่ะ
โดยมีการลงทุนถึง $80,000,000 เพื่อพัฒนาพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/1960_Winter_Olympics
ภายในโรงแรมก็มีทั้งร้านกาแฟและร้านอาหาร รวมถึงมีมุมให้ถ่ายรูปได้ด้วย
แอบให้ฟีลเหมือนเขาใหญ่บ้านเราเลย555
หากใครสนใจชมวิวทะเลสาบจากมุมสูงมากกว่า 2,000 ฟุต ก็สามารถนั่ง Tram ได้ค่ะ
ในส่วนของห้องพัก เนื่องจากเราจองแบบกะทันหัน
จึงได้ห้องแบบ Deluxe One-Bedroom Apartment สำหรับพักได้ 6 ท่าน
ภายในก็จะมีห้องนอนใหญ่ 1 ห้อง 1 เตียง
เตียงแบบพับเก็บติดผนัง 1 และ sofa bed อีก 1 อยู่ที่ห้องนั่งเล่น
มีครัวและอุปกรณ์ทำครัวให้ครบชุดเลยค่ะ
และจากระเบียงห้อง เราสามารถมองเห็นวิวได้รอบเลย
โดยรวมถือว่าดีมากๆเลยค่ะ (ราคาก็แอบแรงตามไปด้วย555)
มื้อเย็นวันนี้เราจึงตัดสินใจขับรถไปหาซื้อวัตถุดิบและอาหาร
กลับมาทานและดื่มด่ำกับบรรยากาศกันที่ห้องกันค่ะ
กินอิ่ม นอนหลับ ชาร์จพลังเต็มที่
ตื่นมาเราเก็บของแล้วออกเดินทางกันต่อ..
เส้นทางวันนี้ค่อนข้างคดเคี้ยว แต่ถนนดีค่ะ
เป็นถนน2เลน ลัดเลาะไปตามเขา
บางช่วงไม่มีที่กั้น มองลงไปข้างล่างนี่ก็สูงใช่เล่นเลย
ยิ่งมีช่วงนึง มีคนขี่จักรยานผ่านมา เค้าขี่ชิดขอบถนนด้านนอกมากๆ
อีกนิดเดียวก็เป็นเหวลงไปเลย เรานี่หวาดเสียวแทนเลยค่ะ555
::Emerald Bay State Park::
และแล้วเราก็มาถึง Emerald Bay State Park
ซึ่งถือเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ
สวยจนไม่มีคำรรยายใดๆมาเปรียบได้
แม้แต่รูปถ่ายเอง ก็ยังไม่สามารถบอกเล่าถึงความงามได้แม้แต่ครึ่งเดียว
แนะนำให้มาสัมผัสด้วยตาของตัวเองจริงๆค่ะ
*สังเกตง่ายๆนะคะ จะเป็นจุดที่มีลานจอดรถอยู่ด้านหน้า
และมีรถจอดอยู่อย่างแน่นเอี๊ยดดดดด
ค่าจอดก็อยู่ที่ $10 อีกเช่นเคยค่ะ
จากจุดนี้เป็นที่ที่เราสามารถมองเห็นวิวแบบพานอรามาได้สุดลูกหูลูกตาเลย
การที่ได้มายืนอยู่ ณ ตรงนี้
รู้สึกเหมือนตัวเองได้ล่องลอยอยู่ท่ามกลางวิมานบนท้องฟ้ากันเลยทีเดียว..
(โมเม้นต์แห่งการมโน)
ถ้าบอกว่าจะปล่อยพลอยทิ้งไว้ตรงนี้ทั้งวัน ก็ยินดีค่ะ555
มาถึงตอนนี้ ขอยืนยันอีกเสียงนึงเลยค่ะ
ว่าคำโปรยที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น
ไม่ได้เกินไปจากความเป็นจริงแต่อย่างใด...
ใครอยากมาสัมผัสอากาศแบบที่นางฟ้าหายใจนั้น
ต้องมาที่นี่ให้ได้ค่ะ ห้ามพลาดเด็ดขาด !!!
::Inspiration Point (Emerald Bay)::
ขับรถต่อมาอีกหน่อย ก็จะมาถึงอีกจุดหนึ่งที่สวยไม่แพ้กันเลยค่ะ
จุดนี้เรียกว่า Inspiration Point (Emerald Bay)
*สังเกตง่ายๆอีกเช่นเคย คือมีรถจอดอยู่ค่อนข้างแน่น
แต่บริเวณนี้จอดฟรีค่ะ มีห้องน้ำบริการด้วย
บริเวณนี้ต้นไม้สูงแอบเยอะไปหน่อย
ส่วนตัวชอบจุดแรกมากกว่า
แต่ก็ถือว่าได้มองเห็นวิวในอีกด้านนึงที่แปลกตาไปเนอะ
::Glen Alpine::
และที่สุดท้ายที่เรามาแวะกันก่อนกลับ
นั่นก็คือ Glen Alpine Falls
ซึ่งเป็นน้ำตกที่เค้าบอกว่าถ้าไป Lake Tahoe ต้องไปเยือนให้ได้
แอบเข้าไปลึกเหมือนกัน แถมทางก็แคบมากอีกด้วย
เวลามีรถสวนกัน ก็ต้องคอยหลบให้ทางกันเป็นระยะๆ
ขับตาม Google Map ไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะมีน้ำตกอยู่ปลายทางเลยค่ะ
จนแอบแซวกันไปเรื่อยว่านี่จะไปโผล่ที่แบบไหนกัน555
พอเริ่มได้ยินเสียงน้ำ ก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย
จนในที่สุดเราก็มาถึงค่ะ
ถ้าถามว่าน่าตื่นเต้นมั้ย ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการเข้ามาชมนะคะ
แต่ไม่ถึงขั้นว้าวว หรือประทับใจขนาดนั้น
(พลอยยังแอบเชียร์น้ำตกบ้านเรามากกว่าค่ะ)
ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะเวลาที่จำกัดเราจึงได้เข้าไปชมแค่เฉพาะชั้นล่าง
*ถ้าหากใครสนใจ สามารถเดิน Trail ขึ้นไปด้านบนได้ค่ะ
เช่นเคยค่ะ เราไม่สามารถต้านทานความหิวโหยได้
เลยขอแวะเติมพลังก่อนกลับสักหน่อย
ซึ่งเรามาหยุดกันที่ร้าน Tahoe Mountain Brewing Co. Brew Pub
แบบสุ่มๆ เพราะหิวจนไม่มีอารมณ์จะหารีวิวใดๆทั้งสิ้น555
แอบรออาหารนานไปนิดดดด (บวกกับความหิวที่ไม่สามารถควบคุมได้)
แต่รสชาติโดยรวมถือว่าโอเคค่ะ
ถือเป็นการจบทริปได้อย่างสวยงามและประทับใจสุดๆค่ะ
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่แม้จะผ่านไปนานแค่ไหน
ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของพลอยเสมอ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตรงนี้นะคะ
..ถ้ามีโอกาสคงได้พบกันใหม่ค่ะ..
สุดท้ายนี้ ขออนุญาตฝากพื้นที่เล็กๆ
สำหรับพูดคุยและแชร์ประสบการณ์กันนะคะ
https://www.facebook.com/singlestepjourney
[CR] Lake Tahoe || สูดอากาศแบบนางฟ้า ณ ทะเลสาบแห่งเทือกเขา
ขอออกตัวก่อนเลยว่านี่เป็นกระทู้รีวิวแรก
ถ้าหากมีความผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ตรงนี้เลยค่ะ
สำหรับทริปนี้ เราขอพาทุกคนมายังหนึ่งในสถานที่ที่งดงามของโลก
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ห้ามพลาดและต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองให้ได้
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันคร่าวๆก่อนนะคะ...
ทะเลสาบทาโฮ (Lake Tahoe) ถือเป็นทะเลสาบอัลไพน์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ
ตั้งอยู่บนเทือกเขาเซียร์ราเนวาดา ที่ความสูง 1,897 เมตร
ซึ่งอยู่ระหว่างเขตแดนของรัฐแคลิฟอร์เนียและเนวาดา
ขอบคุณข้อมูลจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Lake_Tahoe
Mark Twain ได้เขียนไว้ว่า
"To obtain the air the angels breathe, you must go to Tahoe."
อื้อหือออ เค้าปูมาซะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ !!!
เราก็ต้องไปพิสูจน์กันหน่อยแล้วล่ะค่ะ ว่าจะอลังการสมคำร่ำลือหรือเปล่า ?
ขอสารภาพตามตรงค่ะว่าทริปนี้เป็นทริปที่ฉุกละหุกมาก(ถึงมากกกกที่สุด)
แทบจะไม่ได้วางแผนการเดินทางอะไรเลย
เนื่องจากพลอยและเพื่อนสนิทมีเวลาว่างตรงกันพอดี
เลยจัดการเช่ารถและจองโรงแรมกันด่วนๆ
(ภายในเวลาแค่10นาที !!!)
แล้วก็จัดการหา(+หลอกล่อ)เหยื่อมาเพิ่มอีก3คน รวมเป็น5คนถ้วน
7.45น. เช้าวันเสาร์ ฤกษ์งามยามดี ก็ได้เวลาล้อหมุนออกจาก San Francisco ค่ะ
:: Speedboat Beach ::
หลังจากนั่งรถเบียดกันอย่างยาวนานประหนึ่งปลากระป๋อง
เราก็มาแวะกันที่ Speedboat Beach เป็นที่แรก
แต่เดี๋ยวก่อนนน! อย่าเพิ่งคิดว่าเราจะได้มาเล่นน้ำกันอย่างสบายอารมณ์นะคะ
เพราะปัญหาหลักๆที่ต้องเจอเลยสำหรับแหล่งท่องเที่ยว ก็คือการหาที่จอดรถค่ะ
จริงๆแล้วบริเวณใกล้ๆ ก็เห็นจอดเรียงรายกันตามทางหลายคันเลย
แต่มีคนพื้นที่กระซิบมาว่าระวังโดนปรับนะ (ตรงนี้ไม่มีข้อมูลจริงๆค่ะ ไม่รู้ว่าจริงแท้แค่ไหน)
แต่พวกเราขอไม่เสี่ยงดีกว่า เลยวนหากันต่อไป
จนไปจบที่ลานจอดรถของ Cal Neva Casino แล้วใช้วิธีเดินลงมาที่ beach แทน
ยอมเดินไกลหน่อย แต่จอดฟรีและหมดปัญหากวนใจแน่นอน
(*ใครจะไปจอด ก็ลองสอบถามเจ้าหน้าที่กันก่อนนะคะ)
หลังจากที่ทุกคนจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์กันแล้ว
ก็เดินลงมาตามทาง Speedboat Beach Access
สุดทางจะมีบันไดไม้เดินลงไปยังหาดค่ะ
วินาทีแรกที่เดินลงมาถึง สาวๆถึงกับกรีดร้องพร้อมกันเลย
ซึ่งบริเวณนี้ไม่ได้มีพื้นที่หาดทรายกว้างๆ (แบบนี้เราจินตนาการไว้..)
แต่น้ำใสๆและวิวสวยๆโดยรอบนี่กินขาดเลยค่ะ
ยิ่งถ้ามองไปที่ยอดเขาไกลๆ จะพบกับหิมะสีขาวบางๆ
ก็ยิ่งทำให้ประทับใจบรรยากาศของที่นี่ได้ไม่ยากเลย...
สำหรับในหน้าร้อนแบบนี้ กิจกรรมที่คนส่วนใหญ่นิยมทำกัน
ก็มีตั้งแต่ กีฬาทางน้ำ พายเรือคายัก แล่นเรือใบ พาราเซล เจ็ตสกี ตกปลา ไปจนกระทั่งการดำน้ำลึก
นอกจากนี้ก็ยังมี การเดินป่า ปีนหน้าผา อีกด้วย
เรียกได้ว่าครบ จบ ในที่เดียว...
ระหว่างทางที่จะเดินกลับขึ้นไปเอารถ
ด้วยทางที่เป็นเนินเขา เล่นเอาสมาชิกแต่ละคนแอบบ่นกันเบาๆ
แต่บรรยากาศระหว่างทางนี่ก็สวยไม่แพ้ข้างล่างเลย
แอบอิจฉาเจ้าของบ้านแถวนี้มากๆค่ะ
อยากตื่นเช้ามาแล้วเจอกับวิวแบบนี้ทุกวันเลย.. (ตื่นค่ะ!!!!)
:: Kings Beach::
ขับรถต่อมาไม่นาน ก็มาถึง Kings Beach ค่ะ
เป็นอีกหนึ่งหาดยอดฮิตสำหรับทั้งนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่เลยก็ว่าได้
ท้องฟ้าโปร่ง แสงแดดส่อง ทรายอุ่นๆ บวกกับน้ำเย็นสดชื่น
ไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมคนถึงได้แน่นขนาดนี้
เรียกได้ว่าฟินนนนนนกันสุดๆเลยค่ะ
โดยเฉพาะเพื่อนๆแต่ละนางของพลอย
สะบัดผ้าปู ปักหลัก แล้วนอนอาบแดดกันยาวๆเลย555
(ส่วนหนุ่มๆก็ไปว่ายน้ำค่ะ คอนเฟิร์มว่าน้ำเย็นสดชื่นจริงๆ)
เนื่องจากจำนวนประชากรที่ล้นหลาม บวกกับเป็นวันหยุด
ทำให้หาที่จอดรถได้ยากอย่างไม่ต้องสงสัยอีกเช่นเคย
แต่โชคดีที่มีลานจอดรถติดกับหาดไว้บริการค่ะ
ค่าเสียหายก็แค่ $10 ถือว่าสะดวกและใกล้ที่สุดแล้ว
เหนื่อยๆแบบนี้ เราก็ต้องหาอะไรรองท้องกันสักหน่อย
วันนี้ขอฝากท้องไว้ที่ร้าน The Grid Bar & Grill ค่ะ
เราเลือกสั่งอาหารง่ายๆมาทานกัน Fish N' Chips, Burgers, Tacos...
รสชาติโดยรวมถือว่าดีเลย เหมาะสมกับราคา
สำคัญที่สุดคือ พนักงานเฟรนลี่ดีมากกกก
ก่อนเช็คบิลมีการเล่นเกมตอบคำถามกันนิดหน่อย
สนุกสนาน เรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกโต๊ะเลยค่ะ
ขอพ่วงมาด้วย Beefy Potato-Rito ราคา $1 ที่ร้าน Taco Bell ค่ะ
(ที่บอกว่าแค่รองท้อง ขอถอนคำพูดค่ะ555)
หลังจากนั้น เราก็ขับรถเล่นชมบรรยากาศรอบทะเลสาบกันค่ะ
::The Village at Squaw Valley::
เวลาล่วงเลยมาจนถึงเย็น ก็ได้เวลาเข้าไปเช็คอินที่โรงแรมกันค่ะ
เราเลือกมาพักกันที่ The Village at Squaw Valley
บรรยากาศของโรงแรมห้อมล้อมไปด้วยภูเขาแทบจะ 360 องศาเลย
เงียบสงบ แถมบรรยากาศยังดีมากอีกด้วย (เกินที่คาดหวังไว้เยอะเลย)
ยิ่งถ้าได้มาพักช่วงหน้าหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั่วภูเขา
คงจะดีกว่านี้มากกกกกกแน่ๆ
เพื่อนคนที่จองแอบโม้ใหญ่เลยว่า เซ้นส์การเลือกที่พักของนางดีนะเนี่ย
(แม้จะใช้เวลาเลือกแค่ไม่ถึง5นาที5555)
ใน ปี 1960 Squaw Valley ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพในการจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวด้วยค่ะ
โดยมีการลงทุนถึง $80,000,000 เพื่อพัฒนาพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก https://en.wikipedia.org/wiki/1960_Winter_Olympics
ภายในโรงแรมก็มีทั้งร้านกาแฟและร้านอาหาร รวมถึงมีมุมให้ถ่ายรูปได้ด้วย
แอบให้ฟีลเหมือนเขาใหญ่บ้านเราเลย555
หากใครสนใจชมวิวทะเลสาบจากมุมสูงมากกว่า 2,000 ฟุต ก็สามารถนั่ง Tram ได้ค่ะ
ในส่วนของห้องพัก เนื่องจากเราจองแบบกะทันหัน
จึงได้ห้องแบบ Deluxe One-Bedroom Apartment สำหรับพักได้ 6 ท่าน
ภายในก็จะมีห้องนอนใหญ่ 1 ห้อง 1 เตียง
เตียงแบบพับเก็บติดผนัง 1 และ sofa bed อีก 1 อยู่ที่ห้องนั่งเล่น
มีครัวและอุปกรณ์ทำครัวให้ครบชุดเลยค่ะ
และจากระเบียงห้อง เราสามารถมองเห็นวิวได้รอบเลย
โดยรวมถือว่าดีมากๆเลยค่ะ (ราคาก็แอบแรงตามไปด้วย555)
มื้อเย็นวันนี้เราจึงตัดสินใจขับรถไปหาซื้อวัตถุดิบและอาหาร
กลับมาทานและดื่มด่ำกับบรรยากาศกันที่ห้องกันค่ะ
กินอิ่ม นอนหลับ ชาร์จพลังเต็มที่
ตื่นมาเราเก็บของแล้วออกเดินทางกันต่อ..
เส้นทางวันนี้ค่อนข้างคดเคี้ยว แต่ถนนดีค่ะ
เป็นถนน2เลน ลัดเลาะไปตามเขา
บางช่วงไม่มีที่กั้น มองลงไปข้างล่างนี่ก็สูงใช่เล่นเลย
ยิ่งมีช่วงนึง มีคนขี่จักรยานผ่านมา เค้าขี่ชิดขอบถนนด้านนอกมากๆ
อีกนิดเดียวก็เป็นเหวลงไปเลย เรานี่หวาดเสียวแทนเลยค่ะ555
::Emerald Bay State Park::
และแล้วเราก็มาถึง Emerald Bay State Park
ซึ่งถือเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ
สวยจนไม่มีคำรรยายใดๆมาเปรียบได้
แม้แต่รูปถ่ายเอง ก็ยังไม่สามารถบอกเล่าถึงความงามได้แม้แต่ครึ่งเดียว
แนะนำให้มาสัมผัสด้วยตาของตัวเองจริงๆค่ะ
*สังเกตง่ายๆนะคะ จะเป็นจุดที่มีลานจอดรถอยู่ด้านหน้า
และมีรถจอดอยู่อย่างแน่นเอี๊ยดดดดด
ค่าจอดก็อยู่ที่ $10 อีกเช่นเคยค่ะ
จากจุดนี้เป็นที่ที่เราสามารถมองเห็นวิวแบบพานอรามาได้สุดลูกหูลูกตาเลย
การที่ได้มายืนอยู่ ณ ตรงนี้
รู้สึกเหมือนตัวเองได้ล่องลอยอยู่ท่ามกลางวิมานบนท้องฟ้ากันเลยทีเดียว..
(โมเม้นต์แห่งการมโน)
ถ้าบอกว่าจะปล่อยพลอยทิ้งไว้ตรงนี้ทั้งวัน ก็ยินดีค่ะ555
มาถึงตอนนี้ ขอยืนยันอีกเสียงนึงเลยค่ะ
ว่าคำโปรยที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น
ไม่ได้เกินไปจากความเป็นจริงแต่อย่างใด...
ใครอยากมาสัมผัสอากาศแบบที่นางฟ้าหายใจนั้น
ต้องมาที่นี่ให้ได้ค่ะ ห้ามพลาดเด็ดขาด !!!
::Inspiration Point (Emerald Bay)::
ขับรถต่อมาอีกหน่อย ก็จะมาถึงอีกจุดหนึ่งที่สวยไม่แพ้กันเลยค่ะ
จุดนี้เรียกว่า Inspiration Point (Emerald Bay)
*สังเกตง่ายๆอีกเช่นเคย คือมีรถจอดอยู่ค่อนข้างแน่น
แต่บริเวณนี้จอดฟรีค่ะ มีห้องน้ำบริการด้วย
บริเวณนี้ต้นไม้สูงแอบเยอะไปหน่อย
ส่วนตัวชอบจุดแรกมากกว่า
แต่ก็ถือว่าได้มองเห็นวิวในอีกด้านนึงที่แปลกตาไปเนอะ
::Glen Alpine::
และที่สุดท้ายที่เรามาแวะกันก่อนกลับ
นั่นก็คือ Glen Alpine Falls
ซึ่งเป็นน้ำตกที่เค้าบอกว่าถ้าไป Lake Tahoe ต้องไปเยือนให้ได้
แอบเข้าไปลึกเหมือนกัน แถมทางก็แคบมากอีกด้วย
เวลามีรถสวนกัน ก็ต้องคอยหลบให้ทางกันเป็นระยะๆ
ขับตาม Google Map ไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะมีน้ำตกอยู่ปลายทางเลยค่ะ
จนแอบแซวกันไปเรื่อยว่านี่จะไปโผล่ที่แบบไหนกัน555
พอเริ่มได้ยินเสียงน้ำ ก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย
จนในที่สุดเราก็มาถึงค่ะ
ถ้าถามว่าน่าตื่นเต้นมั้ย ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการเข้ามาชมนะคะ
แต่ไม่ถึงขั้นว้าวว หรือประทับใจขนาดนั้น
(พลอยยังแอบเชียร์น้ำตกบ้านเรามากกว่าค่ะ)
ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะเวลาที่จำกัดเราจึงได้เข้าไปชมแค่เฉพาะชั้นล่าง
*ถ้าหากใครสนใจ สามารถเดิน Trail ขึ้นไปด้านบนได้ค่ะ
เช่นเคยค่ะ เราไม่สามารถต้านทานความหิวโหยได้
เลยขอแวะเติมพลังก่อนกลับสักหน่อย
ซึ่งเรามาหยุดกันที่ร้าน Tahoe Mountain Brewing Co. Brew Pub
แบบสุ่มๆ เพราะหิวจนไม่มีอารมณ์จะหารีวิวใดๆทั้งสิ้น555
แอบรออาหารนานไปนิดดดด (บวกกับความหิวที่ไม่สามารถควบคุมได้)
แต่รสชาติโดยรวมถือว่าโอเคค่ะ
ถือเป็นการจบทริปได้อย่างสวยงามและประทับใจสุดๆค่ะ
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่แม้จะผ่านไปนานแค่ไหน
ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของพลอยเสมอ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตรงนี้นะคะ
..ถ้ามีโอกาสคงได้พบกันใหม่ค่ะ..
สุดท้ายนี้ ขออนุญาตฝากพื้นที่เล็กๆ
สำหรับพูดคุยและแชร์ประสบการณ์กันนะคะ
https://www.facebook.com/singlestepjourney
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น