ก่อนอื่นผมขอบอกลักษณะเฉพาะของมือสังหารที่ถูกอ้างอิงในลิสต์ทั้งสองประเภท โดย
'Hitmam' มือสังหารรับจ้างที่ช่ำชองการใช้อาวุธปืนทั้งจากการยิงระยะประชิด รวมไปถึงการซุ่มยิงระยะไกล ขณะที่
'Assassin' เป็นมือสังหารที่ถูกฝึกให้มีความเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้และการฆ่าด้วยอาวุธชนิดต่างๆ
สมาชิกแต่ละท่านมีความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับหนังในลิสต์ หรือมีหนังเรื่องไหนอยากจะแนะนำเพิ่มเติม ก็มาคอมเม้นต์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
10. John Wick (2014)
การกลับมาอย่างทรงพลังของ Keanu Reeves ในบทบาทของอดีตมือปืนนักฆ่า ที่ต้องหวนคืนสู่วงการอีกครั้ง เพื่อตามล่ากลุ่มชายวัยรุ่นที่ได้มาปล้นรถและฆ่าหมาสุดที่รักของเขาไป เป็นพล็อตที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน มีการปูพื้นและสร้างตัวละครภายใน 20 นาที เพื่อทำให้แรงผลักดันในการกระทำดูน่าเชื่อถือเพียงพอ ก่อนจะเข้าสู่โหมดแห่งการดื่มด่ำกับฉากต่อสู้ ที่มีความสร้างสรรค์ในการออกแบบท่วงท่าและมุมกล้องที่ดูสมจริง จนยากที่จะปฏิเสธว่านี่คือหนึ่งในหนังแอคชั่นยอดเยี่ยมแห่งยุค
9. Ichi the Killer (2001)
ขับเคลื่อนความรุนแรง ความซาดิสม์ และสอดแทรกอารมณ์ขันได้อย่างลงตัว พล็อตว่าด้วยมือขวาของแก๊งค์ยากูซ่าที่ต้องควานหามือสังหารที่ได้ทำการฆ่าหัวหน้าของตน ภายใต้ฉากของความดิบเถื่อน ความดำมืดไร้ซึ่งมนุษยธรรมก็ยังสะท้อนตัวตนกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในยุคสมัยอันบิดเบี้ยว คนหนึ่งคนสามารถแปรเปลี่ยนพฤติกรรมได้ด้วยบริบทที่รายล้อม การถูกกระทำทางร่างกายหรือทารุณกรรมทางเพศนำมาสู่สภาวะป่วยทางจิต มันกลายเป็นส่วนเสริมมิติของตัวละครให้ดูน่าค้นหา
8. Shooter (2007)
หนึ่งในผลงานที่น่าจดจำของแอคชั่นสตาร์แห่งยุคอย่าง Mark Wahlberg ในบทบาทอดีตมือปืนสังหารของรัฐบาล ที่ต้องหวนคืนสู่วงการอีกครั้งกับภารกิจสำคัญในการหยุดยั้งแผนลอบสังหารประธานาธิบดี เป็นหนังที่ทำออกมาได้ค่อนข้างสนุก ดึงศักยภาพของตัวเอกมาสร้างจังหวะที่กดดันและลุ้นระทึกได้อย่างเต็มที่ กลวิธีของหน่วยซุ่มยิงระยะไกลถูกทำออกมาอย่างสมจริง ทั้งการเลือกสถานที่อันเหมาะสมและการคำนวณวิถีกระสุน แม้บทจะตรงไปตรงมา เต็มไปด้วยจังหวะที่คาดเดาได้ แต่การหยิบประเด็นการเมือง การคอรัปชั่นมาเสริมช่วยทำให้ธีมเรื่องดูน่าสนใจยิ่งขึ้น
7. The Man from Nowhere (2010)
เกาหลีใต้นอกจากจะมีความสร้างสรรค์ในการเขียนบท พวกเขายังทำแอคชั่น-ทริลเลอร์ได้ดีเยี่ยม คงเส้นคงวามาก จนกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญโดยปริยาย อย่างเรื่องนี้ว่าด้วยอดีตเจ้าหน้าที่มือสังหารในหน่วยรบพิเศษ ที่วางมือและหันมาเปิดโรงรับจำนำเล็กๆในชุมชนแออัด และต้องไปพัวพันกับเรื่องราวสุดอันตรายของเด็กสาวข้างห้อง ซึ่งจุดเด่นของหนังนอกจากฉากการต่อสู้สุดมันส์ เต็มไปด้วยท่วงท่าที่สวยงามและสมจริง ก็ยังโอบล้อมด้วยบรรยากาศหม่นๆที่ไปช่วยเสริมให้เรื่องราวและความสัมพันธ์ของตัวละครดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
6. Road to Perdition (2002)
หนึ่งในผลงานชิ้นเอกของ Sam Mendes ที่ไม่ได้ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางเท่าที่ควร ว่าด้วยมือปืนสังหารกับลูกชาย ที่ต้องหลบหนีการตามล่าจากสองแก๊งค์มาเฟียที่หมายจะเอาชีวิต อีกหนึ่งพล็อตอันเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ซับซ้อน ตัวหนังฉลาดในการเล่นความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนระหว่างพ่อลูก พร้อมทั้งสำรวจและค่อยๆแสดงพัฒนาการของตัวละครได้อย่างน่าสนใจ อีกทั้ง Tom Hanks และ Paul Newman ต่างก็สร้างภาพลักษณ์อันแข็งกร้าว น่าเกรงขามในแบบฉบับของเหล่ามาเฟีย และยังสะท้อนมุมเปราะบางในแบบที่มนุษย์ทั่วไปแสดงออกกันได้อย่างดีเยี่ยม
5. Collateral (2004)
หยิบพล็อตสุดคลาสสิกมาสร้างความแปลกใหม่ ภายใต้ความเรียบง่ายที่อัดแน่นไปด้วยความเท่ห์ของ Michael Mann ว่าด้วยนักฆ่าที่จ้างวานคนขับแท็กซี่ให้ขับไปส่งยังสถานที่ต่างๆ 5 แห่ง เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ถูกมอบหมายไว้ ตัวหนังอาจไม่ได้เน้นฉากแอ็คชั่นอะไรมากมาย แต่ถูกตรึงไว้ด้วยบรรยากาศอันเข้มขรึม ฉากเมืองแอลเอยามค่ำคืนที่แฝงด้วยอันตรายในทุกย่างก้าว พร้อมการโต้ตอบระหว่างสองตัวละครหลักกับบทสนทนาที่สร้างความตึงเครียดและสะท้อนความคิดเบื้องลึกได้อย่างดีเยี่ยม
4. Looper (2012)
หนังไซไฟที่มีการสร้างพล็อตเรื่องอันน่าทึ่ง และกลศาสตร์การข้ามเวลาอันซับซ้อนที่เชื่อมโยงผลกระทบระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ว่าด้วยชายหนุ่มซึ่งทำอาชีพเป็น 'ลูปเปอร์' หรือมือสังหารคนที่มาจากอนาคต และต้องมาเจอกับตัวเองที่เดินทางมาจากอนาคตจนนำไปสู่เรื่องราวอันยุ่งเหยิง แม้หนังจะไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับจุดเริ่มของลูป ความไม่สอดคล้องของเรื่องเวลา จนเกิดเป็นจุดบอดของพล็อตซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยกับหนังไซไฟในลักษณะเช่นนี้ แต่นั่นอาจเป็นสิ่งที่คุณสามารถมองข้ามได้เมื่อหนังถูกทดแทนด้วยจังหวะการเล่าที่สนุก ลุ้นระทึก และจุดไคลแม็กซ์อันน่าประทับใจ
3. Kill Bill: Vol. 2 (2004)
แม้จะไม่อัดแน่นด้วยฉากแอคชั่น ลวดลายศิลปะการต่อสู้ที่เป็นการคาราวะหนังคลาสสิกเหมือนดั่งภาคแรก แต่การกลับมาในครั้งนี้ก็ดูเป็นสิ่งที่ฉลาดของ Quentin Tarantino เขาทดแทนด้วยเอกลักษณ์ดั้งเดิม เน้นบทสนทนาสุดมันส์ในแบบฉบับของตัวเอง พร้อมสอดแทรกนัยยะด้านบุคลิก อุปนิสัย และแรงจูงใจในการกระทำได้อย่างนุ่มลึก ในบทสรุปการล้างแค้นของอดีตนักฆ่าที่อยากจะกลับตัวเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ถูกคนรักหักหลังและพยายามฆ่า
2. No Country for Old Men (2007)
ชายวัยกลางคนกับใบ้หน้าอันเรียบเฉย ไร้ซึ่งความรู้สึก และทรงผมสุดเฉิ่ม ได้กลายเป็นยมทูตแห่งความตายในหนังของพี่น้อง Coen ว่าด้วยชายฉกรรจ์กับกระเป๋าเงินล้าน ที่ถูกไล่ล่า-ทวงคืนจากมือสังหารสุดโหด นับเป็นการดัดแปลงบทอันชาญฉลาด ภายใต้พล็อตที่ดูเรียบง่าย สามารถซุกซ่อนนัยยะ ปรัชญาต่างๆไว้อย่างนุ่มลึก ผ่านตัวละครและการกระทำที่ถูกแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา อีกทั้งจังหวะการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยชั้นเชิง การแสดงที่ยอดเยี่ยมของสามตัวละครหลัก ก็ช่วยเบียดแย่งคู่แข่งสำคัญอย่าง There Will Be Blood และคว้าหนังยอดเยี่ยมของออสการ์ไปครองได้สำเร็จ
1. The Bourne Ultimatum (2007)
น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักสายลับมือสังหารของทางราชการอย่าง 'เจสัน บอร์น' เขาฉลาด มีไหวพริบ ว่องไว เพียบพร้อมด้วยทักษะการต่อสู้ ช่ำชองในการใช้อาวุธแทบทุกชนิด และการกลับมาในครั้งนี้ก็เป็นบทสรุปของปริศนาเกี่ยวกับตัวตนและการชำระแค้นกับกลุ่มองค์กรที่สร้างตัวเขาขึ้นมา นับตั้งแต่ Supremacy มาจนกระทั่งภาคนี้ สไตล์การกำกับของ Paul Greengrass ด้วยรูปแบบการตัดต่อที่ฉับไว การถ่ายทำแบบ handheld ที่ช่วยเพิ่มความสมจริง ก็ได้ยกระดับให้หนังชุดนี้กลายเป็นหนึ่งในแอคชั่น-ทริลเลอร์ขึ้นหิ้งแห่งยุค
.
.
.
10+(1) หนังมือสังหารยอดเยี่ยมเเห่งศตวรรษที่ 21
ก่อนอื่นผมขอบอกลักษณะเฉพาะของมือสังหารที่ถูกอ้างอิงในลิสต์ทั้งสองประเภท โดย 'Hitmam' มือสังหารรับจ้างที่ช่ำชองการใช้อาวุธปืนทั้งจากการยิงระยะประชิด รวมไปถึงการซุ่มยิงระยะไกล ขณะที่ 'Assassin' เป็นมือสังหารที่ถูกฝึกให้มีความเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้และการฆ่าด้วยอาวุธชนิดต่างๆ
สมาชิกแต่ละท่านมีความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับหนังในลิสต์ หรือมีหนังเรื่องไหนอยากจะแนะนำเพิ่มเติม ก็มาคอมเม้นต์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
10. John Wick (2014)
การกลับมาอย่างทรงพลังของ Keanu Reeves ในบทบาทของอดีตมือปืนนักฆ่า ที่ต้องหวนคืนสู่วงการอีกครั้ง เพื่อตามล่ากลุ่มชายวัยรุ่นที่ได้มาปล้นรถและฆ่าหมาสุดที่รักของเขาไป เป็นพล็อตที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน มีการปูพื้นและสร้างตัวละครภายใน 20 นาที เพื่อทำให้แรงผลักดันในการกระทำดูน่าเชื่อถือเพียงพอ ก่อนจะเข้าสู่โหมดแห่งการดื่มด่ำกับฉากต่อสู้ ที่มีความสร้างสรรค์ในการออกแบบท่วงท่าและมุมกล้องที่ดูสมจริง จนยากที่จะปฏิเสธว่านี่คือหนึ่งในหนังแอคชั่นยอดเยี่ยมแห่งยุค
9. Ichi the Killer (2001)
ขับเคลื่อนความรุนแรง ความซาดิสม์ และสอดแทรกอารมณ์ขันได้อย่างลงตัว พล็อตว่าด้วยมือขวาของแก๊งค์ยากูซ่าที่ต้องควานหามือสังหารที่ได้ทำการฆ่าหัวหน้าของตน ภายใต้ฉากของความดิบเถื่อน ความดำมืดไร้ซึ่งมนุษยธรรมก็ยังสะท้อนตัวตนกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในยุคสมัยอันบิดเบี้ยว คนหนึ่งคนสามารถแปรเปลี่ยนพฤติกรรมได้ด้วยบริบทที่รายล้อม การถูกกระทำทางร่างกายหรือทารุณกรรมทางเพศนำมาสู่สภาวะป่วยทางจิต มันกลายเป็นส่วนเสริมมิติของตัวละครให้ดูน่าค้นหา
8. Shooter (2007)
หนึ่งในผลงานที่น่าจดจำของแอคชั่นสตาร์แห่งยุคอย่าง Mark Wahlberg ในบทบาทอดีตมือปืนสังหารของรัฐบาล ที่ต้องหวนคืนสู่วงการอีกครั้งกับภารกิจสำคัญในการหยุดยั้งแผนลอบสังหารประธานาธิบดี เป็นหนังที่ทำออกมาได้ค่อนข้างสนุก ดึงศักยภาพของตัวเอกมาสร้างจังหวะที่กดดันและลุ้นระทึกได้อย่างเต็มที่ กลวิธีของหน่วยซุ่มยิงระยะไกลถูกทำออกมาอย่างสมจริง ทั้งการเลือกสถานที่อันเหมาะสมและการคำนวณวิถีกระสุน แม้บทจะตรงไปตรงมา เต็มไปด้วยจังหวะที่คาดเดาได้ แต่การหยิบประเด็นการเมือง การคอรัปชั่นมาเสริมช่วยทำให้ธีมเรื่องดูน่าสนใจยิ่งขึ้น
7. The Man from Nowhere (2010)
เกาหลีใต้นอกจากจะมีความสร้างสรรค์ในการเขียนบท พวกเขายังทำแอคชั่น-ทริลเลอร์ได้ดีเยี่ยม คงเส้นคงวามาก จนกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญโดยปริยาย อย่างเรื่องนี้ว่าด้วยอดีตเจ้าหน้าที่มือสังหารในหน่วยรบพิเศษ ที่วางมือและหันมาเปิดโรงรับจำนำเล็กๆในชุมชนแออัด และต้องไปพัวพันกับเรื่องราวสุดอันตรายของเด็กสาวข้างห้อง ซึ่งจุดเด่นของหนังนอกจากฉากการต่อสู้สุดมันส์ เต็มไปด้วยท่วงท่าที่สวยงามและสมจริง ก็ยังโอบล้อมด้วยบรรยากาศหม่นๆที่ไปช่วยเสริมให้เรื่องราวและความสัมพันธ์ของตัวละครดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
6. Road to Perdition (2002)
หนึ่งในผลงานชิ้นเอกของ Sam Mendes ที่ไม่ได้ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางเท่าที่ควร ว่าด้วยมือปืนสังหารกับลูกชาย ที่ต้องหลบหนีการตามล่าจากสองแก๊งค์มาเฟียที่หมายจะเอาชีวิต อีกหนึ่งพล็อตอันเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ซับซ้อน ตัวหนังฉลาดในการเล่นความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนระหว่างพ่อลูก พร้อมทั้งสำรวจและค่อยๆแสดงพัฒนาการของตัวละครได้อย่างน่าสนใจ อีกทั้ง Tom Hanks และ Paul Newman ต่างก็สร้างภาพลักษณ์อันแข็งกร้าว น่าเกรงขามในแบบฉบับของเหล่ามาเฟีย และยังสะท้อนมุมเปราะบางในแบบที่มนุษย์ทั่วไปแสดงออกกันได้อย่างดีเยี่ยม
5. Collateral (2004)
หยิบพล็อตสุดคลาสสิกมาสร้างความแปลกใหม่ ภายใต้ความเรียบง่ายที่อัดแน่นไปด้วยความเท่ห์ของ Michael Mann ว่าด้วยนักฆ่าที่จ้างวานคนขับแท็กซี่ให้ขับไปส่งยังสถานที่ต่างๆ 5 แห่ง เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ถูกมอบหมายไว้ ตัวหนังอาจไม่ได้เน้นฉากแอ็คชั่นอะไรมากมาย แต่ถูกตรึงไว้ด้วยบรรยากาศอันเข้มขรึม ฉากเมืองแอลเอยามค่ำคืนที่แฝงด้วยอันตรายในทุกย่างก้าว พร้อมการโต้ตอบระหว่างสองตัวละครหลักกับบทสนทนาที่สร้างความตึงเครียดและสะท้อนความคิดเบื้องลึกได้อย่างดีเยี่ยม
4. Looper (2012)
หนังไซไฟที่มีการสร้างพล็อตเรื่องอันน่าทึ่ง และกลศาสตร์การข้ามเวลาอันซับซ้อนที่เชื่อมโยงผลกระทบระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ว่าด้วยชายหนุ่มซึ่งทำอาชีพเป็น 'ลูปเปอร์' หรือมือสังหารคนที่มาจากอนาคต และต้องมาเจอกับตัวเองที่เดินทางมาจากอนาคตจนนำไปสู่เรื่องราวอันยุ่งเหยิง แม้หนังจะไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับจุดเริ่มของลูป ความไม่สอดคล้องของเรื่องเวลา จนเกิดเป็นจุดบอดของพล็อตซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยกับหนังไซไฟในลักษณะเช่นนี้ แต่นั่นอาจเป็นสิ่งที่คุณสามารถมองข้ามได้เมื่อหนังถูกทดแทนด้วยจังหวะการเล่าที่สนุก ลุ้นระทึก และจุดไคลแม็กซ์อันน่าประทับใจ
3. Kill Bill: Vol. 2 (2004)
แม้จะไม่อัดแน่นด้วยฉากแอคชั่น ลวดลายศิลปะการต่อสู้ที่เป็นการคาราวะหนังคลาสสิกเหมือนดั่งภาคแรก แต่การกลับมาในครั้งนี้ก็ดูเป็นสิ่งที่ฉลาดของ Quentin Tarantino เขาทดแทนด้วยเอกลักษณ์ดั้งเดิม เน้นบทสนทนาสุดมันส์ในแบบฉบับของตัวเอง พร้อมสอดแทรกนัยยะด้านบุคลิก อุปนิสัย และแรงจูงใจในการกระทำได้อย่างนุ่มลึก ในบทสรุปการล้างแค้นของอดีตนักฆ่าที่อยากจะกลับตัวเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ถูกคนรักหักหลังและพยายามฆ่า
2. No Country for Old Men (2007)
ชายวัยกลางคนกับใบ้หน้าอันเรียบเฉย ไร้ซึ่งความรู้สึก และทรงผมสุดเฉิ่ม ได้กลายเป็นยมทูตแห่งความตายในหนังของพี่น้อง Coen ว่าด้วยชายฉกรรจ์กับกระเป๋าเงินล้าน ที่ถูกไล่ล่า-ทวงคืนจากมือสังหารสุดโหด นับเป็นการดัดแปลงบทอันชาญฉลาด ภายใต้พล็อตที่ดูเรียบง่าย สามารถซุกซ่อนนัยยะ ปรัชญาต่างๆไว้อย่างนุ่มลึก ผ่านตัวละครและการกระทำที่ถูกแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา อีกทั้งจังหวะการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยชั้นเชิง การแสดงที่ยอดเยี่ยมของสามตัวละครหลัก ก็ช่วยเบียดแย่งคู่แข่งสำคัญอย่าง There Will Be Blood และคว้าหนังยอดเยี่ยมของออสการ์ไปครองได้สำเร็จ
1. The Bourne Ultimatum (2007)
น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักสายลับมือสังหารของทางราชการอย่าง 'เจสัน บอร์น' เขาฉลาด มีไหวพริบ ว่องไว เพียบพร้อมด้วยทักษะการต่อสู้ ช่ำชองในการใช้อาวุธแทบทุกชนิด และการกลับมาในครั้งนี้ก็เป็นบทสรุปของปริศนาเกี่ยวกับตัวตนและการชำระแค้นกับกลุ่มองค์กรที่สร้างตัวเขาขึ้นมา นับตั้งแต่ Supremacy มาจนกระทั่งภาคนี้ สไตล์การกำกับของ Paul Greengrass ด้วยรูปแบบการตัดต่อที่ฉับไว การถ่ายทำแบบ handheld ที่ช่วยเพิ่มความสมจริง ก็ได้ยกระดับให้หนังชุดนี้กลายเป็นหนึ่งในแอคชั่น-ทริลเลอร์ขึ้นหิ้งแห่งยุค
.
.
.