คำตอบคือ จริงครับ ตามพระวินัย บุคคลที่ห้ามให้บวชคือ
จำพวกมีเพศบกพร่องนั้น คือ บัณเฑาะก์ ที่แปลว่ากะเทย, อุภโตพยัญชนก ที่แปลว่าคนมีทั้ง ๒ เพศ
กะเทย นั้นได้ความตามบาลีและอรรถกถาว่า ได้แก่ชายมีราคะกล้า ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น
ชายผู้ถูกตอน (ขันที) ก็ห้ามอุปสมบทเหมือนกัน คนชนิดนี้เป็นที่รังเกียจของคนอื่นในทางกามารมณ์ (ชายที่ทำหมันคุมกำเนิด ไม่เกี่ยวกับกรณีนี้)
ภัพบุคคลเหล่านี้ ต้องห้ามบวชเพราะเพศบกพร่องก็มี เพราะประพฤติผิดพระธรรมวินัยก็มี เพราะประพฤติผิดต่อ (ผู้ให้) กำเนิดของเขาเองก็มี. ฯลฯ
แล้วทำไมถึงยังมีให้เห็น ?
นั่นเพราะว่าอุปัชฌาย์ไม่ทราบ หรือผู้ที่บวชไม่ทราบประเพณีของวินัยของพระพุทธเจ้าก็ได้ แต่เมื่อทราบก็ต้องชี้แจงให้เขาได้รับรู้ ให้เขาสึกเสียหรือสร้างกุศลกรรมอย่างอื่น ยังมีทางที่ก่อให้เกิดบุญกุศลมากมาย แต่ถ้าเขายังฝืนอยู่ในธรรมวินัยนี้มีแต่เสื่อม และเป็นบาปมาก ๆ เมื่อพระภิกษุผู้มีศีลต้องกราบไหว้หรือทำสามีจิกรรมเขาในเวลาเมื่อเข้าร่วมทำสังฆกรรมกับหมู่พระภิกษุ นอกจากจะทำสังฆกรรมให้วิบัติ บวชพระไม่เป็นพระ ทำสังฆกรรมเป็นคณะปูรกะ ทำให้กรรมกำเริบคือเสียใช้ไม่ได้อีกด้วย
ดังนั้นผู้ที่ทราบจงช่วยกันชี้แจงและบอกกล่าวให้รู้กัน เพื่อช่วยกันดูแลป้องกันพระศาสนา เพื่อสังฆมณฑลจะได้บริสุทธิ์ต่อไป.
แม้บวชแล้วก็ไม่เป็นพระหรือเณร รู้เมื่อไรก็ให้เขาสึกเสีย ถ้าเขามีศรัทธาก็ให้เขานุ่งขาวห่มขาวรักษาสิกขาบท ๕ - ๘ หรือรักษากุศลกรรมบถ ๑๐ ก็จะเกิดกุศลมหาศาล เป็นเหตุเป็นปัจจัยในภายภาคหน้าต่อไป
ที่มาข้อมูล :
https://sites.google.com/site/watluangpreechakul/prohibit-to-monk
กะเทยไม่สามารถบวชในศาสนาพุทธได้ จริงหรือ ?
คำตอบคือ จริงครับ ตามพระวินัย บุคคลที่ห้ามให้บวชคือ
จำพวกมีเพศบกพร่องนั้น คือ บัณเฑาะก์ ที่แปลว่ากะเทย, อุภโตพยัญชนก ที่แปลว่าคนมีทั้ง ๒ เพศ
กะเทย นั้นได้ความตามบาลีและอรรถกถาว่า ได้แก่ชายมีราคะกล้า ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น
ชายผู้ถูกตอน (ขันที) ก็ห้ามอุปสมบทเหมือนกัน คนชนิดนี้เป็นที่รังเกียจของคนอื่นในทางกามารมณ์ (ชายที่ทำหมันคุมกำเนิด ไม่เกี่ยวกับกรณีนี้)
ภัพบุคคลเหล่านี้ ต้องห้ามบวชเพราะเพศบกพร่องก็มี เพราะประพฤติผิดพระธรรมวินัยก็มี เพราะประพฤติผิดต่อ (ผู้ให้) กำเนิดของเขาเองก็มี. ฯลฯ
แล้วทำไมถึงยังมีให้เห็น ?
นั่นเพราะว่าอุปัชฌาย์ไม่ทราบ หรือผู้ที่บวชไม่ทราบประเพณีของวินัยของพระพุทธเจ้าก็ได้ แต่เมื่อทราบก็ต้องชี้แจงให้เขาได้รับรู้ ให้เขาสึกเสียหรือสร้างกุศลกรรมอย่างอื่น ยังมีทางที่ก่อให้เกิดบุญกุศลมากมาย แต่ถ้าเขายังฝืนอยู่ในธรรมวินัยนี้มีแต่เสื่อม และเป็นบาปมาก ๆ เมื่อพระภิกษุผู้มีศีลต้องกราบไหว้หรือทำสามีจิกรรมเขาในเวลาเมื่อเข้าร่วมทำสังฆกรรมกับหมู่พระภิกษุ นอกจากจะทำสังฆกรรมให้วิบัติ บวชพระไม่เป็นพระ ทำสังฆกรรมเป็นคณะปูรกะ ทำให้กรรมกำเริบคือเสียใช้ไม่ได้อีกด้วย
ดังนั้นผู้ที่ทราบจงช่วยกันชี้แจงและบอกกล่าวให้รู้กัน เพื่อช่วยกันดูแลป้องกันพระศาสนา เพื่อสังฆมณฑลจะได้บริสุทธิ์ต่อไป.
แม้บวชแล้วก็ไม่เป็นพระหรือเณร รู้เมื่อไรก็ให้เขาสึกเสีย ถ้าเขามีศรัทธาก็ให้เขานุ่งขาวห่มขาวรักษาสิกขาบท ๕ - ๘ หรือรักษากุศลกรรมบถ ๑๐ ก็จะเกิดกุศลมหาศาล เป็นเหตุเป็นปัจจัยในภายภาคหน้าต่อไป
ที่มาข้อมูล : https://sites.google.com/site/watluangpreechakul/prohibit-to-monk