6 กันยายน วันต่อต้านคอร์รัปชั่นแห่งชาติ
เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อย เมื่อได้ยินหรือมีการพูดถึงคำว่า ทุจริต หรือ คอร์รัปชั่น จะระลึกได้ถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแก่คณะผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ ในโอกาสเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ซึ่งเป็นพระราชดำรัสแห่งความทรงจำ มิอาจลืมเลือนได้เลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้“…ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียว ก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่าขอให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าไม่ทุจริต สุจริตและมีความตั้งใจมุ่งมั่น สร้างความเจริญ ก็ขอให้ต่ออายุได้ถึง ๑๐๐ ปี ส่วนคนไหนที่มีอายุมากแล้ว ขอให้แข็งแรง ความสุจริตจะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นอันตราย…”
“…ภายใน ๑๐ ปี เมืองไทยน่าจะเจริญ ข้อสำคัญคือต้องหยุดการทุจริตให้สำเร็จ และไม่ทุจริตเสียเอง…”
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแก่คณะผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ ในโอกาสเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๖
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด เคยกล่าวไว้ว่า ในฐานะที่ได้ถวายงานมากว่า 20 ปี ไม่เคยได้ยินพระกระแสรับสั่งครั้งใดที่รุนแรงเท่ากับครั้งนั้นเลย นั่นหมายความว่า ปัญหาทุจริตเข้าขั้นรุนแรง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงทนไม่ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(ย้อนรอย 10 ปี) โกงแบบบูรณาการ ‘ดร.สุเมธ’ย้ำรับสั่งในหลวง ทรงทนไม่ได้-แช่งคนทุจริต
https://goo.gl/Xq1uSH
เมื่อมาถึงวันนี้ เวลาผ่านไปหลายปี ก็พิสูจน์ให้เห็นระดับหนึ่งแล้วว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทยเป็นปัญหาใหญ่และรุนแรงจริง
(เช่น จากข่าวการลงโทษบุคคลทุจริตคอร์รัปชั่นที่ออกมาแบบถี่ ๆ ในช่วงนี้)
การทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ว่าเกิดขึ้นในระดับใด ก็นำมาซึ่งหายนะ เป็นวิบัติแก่ผู้กระทำและผู้แวดล้อม แม้จะมีเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่ปราบปรามการทุจริตอยู่ แต่อย่าลืมว่า การปราบปรามเป็นเพียงแค่ปลายเหตุ หากไม่มีต้นเหตุคือผู้กระทำเสียแล้ว การปราบปรามก็ไม่จำเป็น
ทุกอย่างจึงเริ่มต้นได้ที่ตัวเรา ซึ่งเป็นผู้สร้างเหตุ สุดแท้แต่เราจะเลือกที่จะสร้างเหตุของความชั่ว ความทุจริต หรือเหตุของความซื่อสัตย์สุจริต เพราะตัวเราเองก็ย่อมต้องเป็นผู้รับผลของเหตุที่เราสร้างขึ้นก่อนใคร มิใช่เราจะโยนไปให้คนรอบข้างเท่านั้นให้ได้รับผล
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีความหมายอย่างลึกซึ้งยิ่ง และแสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงมีความห่วงใยประเทศชาติและประชาชนคนไทยอย่างที่สุด แม้วันนี้พระองค์จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ความห่วงใยที่ทรงมีให้คนไทยเสมอมา ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของพวกเราคนไทยอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย
อยากให้อ่านบทความใน spoil ด้านล่างนี้ เพื่อทบทวนความทรงจำ และน้อมนำพระบรมราโชวาทมาใส่ใจ พร้อมทั้งตั้งสัจจะที่จะปฏิบัติภารกิจหน้าที่ของตนเองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส ไม่คดโกงเบียดเบียนใคร เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตตนเอง เพื่อความผาสุกของผู้คนรอบข้าง และเพื่อเป็นการตอบแทนคุณของแผ่นดิน ตลอดจนตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้[พระราชดำรัสวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ที่จับใจพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ ที่เผยแพร่ครั้งแรกผ่าน ข่าวในพระราชสำนัก เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2546 ทรงรับสั่งว่า พระองค์เป็น พระราชาซีอีโอ ที่ไม่มีวันเกษียณ ทรงปฏิบัติภารกิจมาตั้งแต่ ปี 2496 โดยเริ่มโครงการตามพระราชดำริแห่งแรกที่ เขาเต่า -- ประจวบคีรีขันธ์ พระองค์ทรงชี้แนะว่า หน้าที่ของ ผู้ว่าฯ ซีอีโอ ไม่เหมือน ซีอีโอบริษัท เพราะไม่ต้องทำเงินให้บริษัท แต่จะต้องสร้างความเจริญให้ประชาชนในพื้นที่ คือ ให้ประชาชนมีความสามารถที่จะทำมาหากินได้ หรือพูดง่าย ๆ คือ ทำให้ประชาชนรวย – ไม่ใช่ทำให้ตัวเองรวย
จากนั้นพระองค์ทรงเตือนว่า ที่ใคร ๆ ว่า เศรษฐกิจกำลังขึ้นนั้น ที่ขึ้นตามไปด้วยคือ การทุจริต พระองค์ท่านทรงเน้นย้ำให้ทุกคนเน้นการประสานงาน - อย่าประสานงา อีกทั้ง ทรงสั่งห้ามทุจริตเด็ดขาด โดย ทรงแช่งผู้ทุจริตไว้ด้วย
“...ท่านต้องห้ามไม่ให้มีการทุจริตขึ้น แล้วท่านจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอที่มีประสิทธิภาพ ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่ง แช่งให้มีอันเป็น พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่าขอให้มีอันเป็นไป ถ้าไม่ทุจริต สุจริต และมีความตั้งใจในธรรม ขอให้ต่ออายุได้ถึงร้อยปี หรือถ้าอายุมากแล้วก็แข็งแรง ประเทศไทยจะรอดพ้นอันตรายอย่างมาก”
ย้ำอีกครั้งหนึ่ง ณ ที่นี้ว่า “...ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่ง แช่งให้มีอันเป็น” นี่คือพระราชดำรัสองค์ที่จะมีผลอย่างยิ่งต่อผู้คอร์รัปชั่นในทุกลักษณะ เพราะถือเป็นครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบัน ที่ทรงสาปแช่งผู้ทุจริตให้เป็นที่ปรากฏต่อผู้คนทั้งแผ่นดิน
เราในฐานะคนไทยที่อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริยาธิราชมาแต่บรรพบุรุษจะต้องไม่ลืม คตินิยมที่ว่า พระมหากษัตริย์คือสมมติเทวราช มีพระวาจาเป็นสัตย์และเป็นสิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม เยี่ยงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันพระองค์นี้
ที่ว่า พระวาจาเป็นสัตย์ ก็มาจากคตินิยม ที่ว่า “...เป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ”
ส่วนที่ว่า พระวาจาเป็นสิทธิ์ ก็คือศักดิ์สิทธิ์ ที่มาจากคตินิยม ที่เชื่อว่า “...พระมหากษัตริย์ตรัสประการใดแล้ว ย่อมให้ผลบังเกิดประการนั้น” เป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจากพระราชอำนาจ, ผลแห่งการปฏิบัติธรรมของพระองค์ และอำนาจแห่งเทพยดาอารักษ์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในขอบขัณฑเสมา ที่พร้อมบันดาลทุกสิ่งให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ประกอบกัน]
ที่มา: เซี่ยงเส้าหลง http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000014914
แถมท้ายด้วยคลิปผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ ปาฐกถาต่อต้านการทุจริต ประจำปี 2559
ขอแถมอีกนิดที่เกี่ยวกับเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น และยังพอมีเวลาให้เยาวชนผู้สนใจส่งผลงานเข้าประกวด True Young Producer Award 2017 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
โครงการประกวดภาพยนตร์โฆษณาเพื่อสังคม รณรงค์เพื่อต่อต้านการทุจริต ในหัวข้อ 'โกง ไม่ เท่'
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อย่าให้การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นพียงแค่ความรู้สึก แค่ลมปาก หรือแค่มารยาทตาม ๆ กันไป แต่จงให้ความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส เกิดขึ้นจริงผ่านการกระทำ วาจา และใจ ของเราทุกคน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขอบคุณข้อมูลจาก MGR Online, สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด พระนครศรีอยุธยา, โครงการช่อสะอาด, สำนักข่าวเจ้าพระยา, ทรูปลูกปัญญา, ทรู คอร์ปอเรชั่น และภาพจากอินเทอร์เน็ต
“ความสุจริตจะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นอันตราย” 6 ก.ย. วันต่อต้านคอร์รัปชั่นแห่งชาติ
เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อย เมื่อได้ยินหรือมีการพูดถึงคำว่า ทุจริต หรือ คอร์รัปชั่น จะระลึกได้ถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแก่คณะผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ ในโอกาสเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ซึ่งเป็นพระราชดำรัสแห่งความทรงจำ มิอาจลืมเลือนได้เลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด เคยกล่าวไว้ว่า ในฐานะที่ได้ถวายงานมากว่า 20 ปี ไม่เคยได้ยินพระกระแสรับสั่งครั้งใดที่รุนแรงเท่ากับครั้งนั้นเลย นั่นหมายความว่า ปัญหาทุจริตเข้าขั้นรุนแรง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงทนไม่ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เมื่อมาถึงวันนี้ เวลาผ่านไปหลายปี ก็พิสูจน์ให้เห็นระดับหนึ่งแล้วว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทยเป็นปัญหาใหญ่และรุนแรงจริง (เช่น จากข่าวการลงโทษบุคคลทุจริตคอร์รัปชั่นที่ออกมาแบบถี่ ๆ ในช่วงนี้)
การทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ว่าเกิดขึ้นในระดับใด ก็นำมาซึ่งหายนะ เป็นวิบัติแก่ผู้กระทำและผู้แวดล้อม แม้จะมีเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่ปราบปรามการทุจริตอยู่ แต่อย่าลืมว่า การปราบปรามเป็นเพียงแค่ปลายเหตุ หากไม่มีต้นเหตุคือผู้กระทำเสียแล้ว การปราบปรามก็ไม่จำเป็น
ทุกอย่างจึงเริ่มต้นได้ที่ตัวเรา ซึ่งเป็นผู้สร้างเหตุ สุดแท้แต่เราจะเลือกที่จะสร้างเหตุของความชั่ว ความทุจริต หรือเหตุของความซื่อสัตย์สุจริต เพราะตัวเราเองก็ย่อมต้องเป็นผู้รับผลของเหตุที่เราสร้างขึ้นก่อนใคร มิใช่เราจะโยนไปให้คนรอบข้างเท่านั้นให้ได้รับผล
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีความหมายอย่างลึกซึ้งยิ่ง และแสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงมีความห่วงใยประเทศชาติและประชาชนคนไทยอย่างที่สุด แม้วันนี้พระองค์จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ความห่วงใยที่ทรงมีให้คนไทยเสมอมา ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของพวกเราคนไทยอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย
อยากให้อ่านบทความใน spoil ด้านล่างนี้ เพื่อทบทวนความทรงจำ และน้อมนำพระบรมราโชวาทมาใส่ใจ พร้อมทั้งตั้งสัจจะที่จะปฏิบัติภารกิจหน้าที่ของตนเองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส ไม่คดโกงเบียดเบียนใคร เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตตนเอง เพื่อความผาสุกของผู้คนรอบข้าง และเพื่อเป็นการตอบแทนคุณของแผ่นดิน ตลอดจนตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แถมท้ายด้วยคลิปผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ ปาฐกถาต่อต้านการทุจริต ประจำปี 2559
ขอแถมอีกนิดที่เกี่ยวกับเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น และยังพอมีเวลาให้เยาวชนผู้สนใจส่งผลงานเข้าประกวด True Young Producer Award 2017 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
โครงการประกวดภาพยนตร์โฆษณาเพื่อสังคม รณรงค์เพื่อต่อต้านการทุจริต ในหัวข้อ 'โกง ไม่ เท่'
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อย่าให้การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นพียงแค่ความรู้สึก แค่ลมปาก หรือแค่มารยาทตาม ๆ กันไป แต่จงให้ความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส เกิดขึ้นจริงผ่านการกระทำ วาจา และใจ ของเราทุกคน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้