เตือนภัย!! ผู้ที่จะปล่อยเช่าคอนโดฯค่ะ (ตอนจบ)

ความเดิมตามกระทู้ก่อนหน้านะคะ ว่ามีปัญหาอะไรกันมาก่อน
https://ppantip.com/topic/36738109

ที่หายไปนาน เนื่องจากเป็นช่วงที่ดำเนินการติดต่อนายหน้าและทำหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าค่ะ
จริงๆแล้วเราทำหนังสือบอกเลิกฯขึ้นมาเอง 1 ฉบับ แล้วคิดว่าจะส่งทางไปรษณีย์ไปให้ผู้เช่าเองตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. 60
แต่พอมาคุยกับนายหน้า นายหน้าขอให้เรารอเขาไปปรึกษาหัวหน้าก่อน
เราไลน์หานายหน้าวันเว้นวัน เพื่อทวงถามความคืบหน้าเรื่องหนังสือบอกเลิกฯ
ก็ได้รับคำตอบว่า หัวหน้าทราบแล้ว และกำลังเขียนหนังสือให้
และนายหน้าได้แจ้งกับผู้เช่าแล้วว่าเราต้องการบอกเลิกสัญญาเช่า
นายหน้าบอกว่า ทางผู้เช่าบอกว่าจะยอมยกเลิกสัญญาก็ต่อเมื่อเรายอมคืนมัดจำให้
ซึ่งในส่วนนี้เราไม่ได้มีปัญหาอะไร ยินดีคืนมัดจำให้ ถ้าตรวจรับห้องแล้วห้องอยู่ในสภาพปกติดี
ช่วงเวลานั้น เราก็รอๆๆๆไปเรื่อยๆ สี่ห้าวันไลน์ไปถามนายหน้าทีนึง แต่ก็ได้คำตอบแบบเดิม คือ หัวหน้ากำลังร่างหนังสือให้อยู่
ความคืบหน้าที่ได้มา คือ วันที่ 31 ส.ค. 60 นัดเช็คเอาท์กัน แต่ยังไม่ระบุเวลาที่แน่นอน
ทวงถามหนังสือบอกเลิกสัญญาครั้งสุดท้ายจากนายหน้า คือ วันที่ 22 ส.ค. 60 ถึงได้หนังสือมา และดำเนินการส่งให้ผู้เช่า
จนวันที่ 29 ส.ค. 60 จึงสามารถระบุเวลานัดเช็คเอาท์คืนห้องได้ คือ 13.00 น.
วันที่ 30 ส.ค. 60 เราจึงลองโทรไปคอนเฟิร์มกับผู้เช่าอีกครั้ง ปรากฏว่า ผู้เช่า (ผู้หญิง) ก็ดูพูดจารู้เรื่องดี
ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้เราไม่เคยได้ติดต่อกับผู้เช่าคนนี้โดยตรงมาก่อน
จะมีแค่ติดต่อผ่านนายหน้า แล้วก็มีผู้ชายมีอายุซึ่งอ้างว่าเป็นหัวหน้าของผู้เช่าที่เป็นคนติดต่อเรามาตลอด
มันเลยทำให้เราตะหงิดขึ้นมาบางอย่างว่า หรือว่าเรื่องทั้งหมดมันจะมีอีกด้านนึงซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน

วันที่ 31 ส.ค. 60
เราขับรถจากต่างจังหวัดไปที่คอนโดกับพ่อแม่ (ไม่กล้าไปคนเดียว)
ไปถึงคอนโด ก็นั่งรอนายหน้ากับผู้เช่าสักพักนึง
เมื่อผู้เช่ามาถึง มาด้วยกัน 4 คน คือ ผู้เช่า, ผู้ชายมีอายุ (คนที่โทรหาเรา), ผู้ชายหนุ่ม, ผู้หญิงสาว (สองคนหลังคาดว่าเป็นเพื่อนผู้เช่า)
ถึงเวลาได้เริ่มเช็คเอาท์สักที......
เมื่อเปิดเข้าไปในห้อง สิ่งที่เห็น คือ ผู้เช่าเก็บของออกไปเกือบหมดแล้ว
เมื่อเริ่มสำรวจห้อง...
ปรากฏคือ ที่ผนังด้านนึง มีรอยแปะกาวสองหน้า และมีบางส่วนที่เป็นรอยดึงกาวสองหน้าออกไปแล้วสีหลุดออกเป็นแผ่นๆ
ที่ขอบเสาอีกด้านนึง ปูนกระเทาะหลุดออก และผนังอีกฝั่งนึงก็มีปูนกระเทาะเล็กน้อยเช่นกัน
ส่วนประตูห้องน้ำด้านในด้านล่าง แหว่งหายไปบางส่วน
เราจึงแจ้งรายการสิ่งของเสียหาย พร้อมนำชี้ให้ผู้เช่าดู ซึ่งผู้ชายมีอายุปฏิเสธหมดว่าไม่ได้ทำ บอกว่าเราใส่ร้าย T_T
ทางนายหน้าจึงได้หารูปถ่ายจากตอนก่อนรับห้องเพื่อมายืนยัน
แต่ปรากฏว่ารูปถ่ายนั้นเป็นเพียงภาพกว้างๆ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปที่จุดใดจุดหนึ่งอย่างชัดเจน
ในห้องตอนนั้น เหลือเพียงบ้านเรา กับ ผู้ชายมีอายุ ส่วนคนอื่นๆออกไปอยู่ข้างนอกห้อง
ระหว่างนั้นเราเหลือบไปเห็นแก้วไวน์อยู่บนชั้น ที่ผู้เช่ายังเก็บไม่หมด
เราเลยบอกผู้ชายมีอายุคนนั้นไป เขาก็เดินเข้าไปเก็บแล้วก็บอกว่าของผมเอง
เราเลยถามว่า "ตกลงคุณเข้ามาพักอาศัยที่นี่หรือคะ?"
ผู้ชายมีอายุคนนั้น ตอบกลับมาด้วยความมั่นใจว่า
"เปล่าาาาา ผมไม่ได้อยู่ แต่ผมให้ฝรั่งมาอยู่ 2 คน ที่ผมบอกว่าเป็นโมเดลของบริษัทผมไง"
เราเลยบอกไปว่า เราไม่เคยอนุญาตให้คุณเอาห้องเราไปใช้ในนามบริษัทเลยตั้งแต่ต้น
ไม่ว่าคุณจะพยายามโทรมาทั้งขอ ทั้งข่มขู่ เท่าไร ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่เรายินยอมเลยสักครั้ง
ผู้ชายมีอายุคนนี้ ก็พูดปัดๆเราว่า "ไม่อยากพูดๆๆ มีอะไรไปคุยกันในนิติฯ"
เราเลยบอกว่า ถ้าคุณอ่านสัญญาดีๆจะพบว่าคุณทำผิดสัญญาเช่าหลายข้อ ซึ่งสามารถยึดเงินประกันทั้งหมดได้เลย
เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่า "ไม่คุยๆๆๆๆ" และหลุดมาคำนึงว่า "นายหน้าอ่ะก็รู้ด้วย เขาให้ผมทำแบบนี้ ผมก้ทำได้ดิ"
เราก็เลยบอกว่า "นายหน้าไม่ใช่เจ้าของห้อง และเราก็ไม่เคยอนุญาตด้วย"
เขาก็สวนมาว่า "ก็คุณให้นายหน้าจัดการนู่นนี่แทนคุณไม่ใช่หรือ นายหน้าก็มีสิทธิจัดการให้ผมสิ ไม่รู้ล่ะ"
เราโมโหมากเลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้มันเป็นไปตามเรื่องของกฎหมายแล้วกันเรื่องที่คุณผิดสัญญาทั้งหมด
จนเริ่มทะเลาะกันรุนแรง นายหน้าก็เข้ามาในห้องพอดี มาห้ามเอาไว้
เราเลยถามกลับว่า "คุณทราบเรื่องที่เขาเอาคนอื่นเข้ามาพักหรือคะ?"
นายหน้าได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วบอกให้เราใจเย็นๆ แล้วลงไปคุยที่นิติบุคคล

พอเข้ามาคุยในนิติบุคคล ผู้เช่าและเพื่อนอีกสองคนนั่งดูอยู่ห่างๆ
คนที่เข้ามาเจรจา คือ ผู้ชายที่มีอายุ คนเดียว (ซึ่งตอนหลังมาทราบว่าเป็นพ่อของผู้เช่า เพราะผู้เช่าเรียกว่าพ่อ)
นายหน้าพยายามไกล่เกลี่ยให้ผู้ชายคนนี้จ่ายค่าเสียหายที่เกิดกับห้องเรา
เพื่อที่เราจะได้ไม่เอาเรื่อง เพราะเรายืนยันว่า เราตกลงจะคืนเงินมัดจำให้ในกรณีที่หักค่าเสียหายแล้ว
เกินไปกว่านั้นเราไม่คืนเด็ดขาด และยิ่งมารู้ว่าผิดสัญญากันแบบนี้ เราจะให้เป็นไปตามกฎหมายดีกว่า
ซึ่งนายหน้าโทรไปสอบถามช่างสี ได้ราคาประเมินมาด้านละ 800 บาท
ด้านที่ปูนกระเทาะเล็กน้อยเราไม่ได้เอามาคิด
แต่เราคิดด้านที่สีหลุด และปูนที่เสาแตก ซึ่งรวมเป็น 1600 บาท
แต่ผู้ชายคนนี้บอกว่าจะให้แค่ 1000 บาทถ้วนเท่านั้น ก็เทาะเลาะกันในประเด็นนี้นานมาก
จนนายหน้าหันมาขอแม่เราว่า ขอเป็น 1200 บาท ได้มั้ย ซึ่งแม่เราก็ยอม เพราะเหนื่อยมากแล้ว อยากให้จบ
แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังยืนยันจะให้แค่ 1000 บาท ทำให้แม่เราโมโห และบอกว่างั้นไปแจ้งความเลยดีกว่า
ลูกสาวซึ่งก็คือผู้เช่า จึงเดินเข้ามาหาผู้ชายคนนี้ แล้วบอกว่า "พอเถอะพ่อ"
สุดท้ายจึงตกลงค่าเสียหายอยู่ที่ 1200 บาท
จึงเริ่มมาเคลียร์ค่าน้ำ ค่าไฟ ซึ่งค่าไฟค่อนข้างราคาสูง ทำเอาเราเป็นห่วงแอร์ (ตัวเดียว) มาก ว่าได้พักบ้างมั้ย (ห้องเราขนาด 23 ตร.ม.)
บิลที่1: 1 ก.ค. - 19 ก.ค. = 663 บาท (183 หน่วย)
บิลที่2: 19 ก.ค. - 17 ส.ค. = 1934 บาท (295 หน่วย)
และรอบล่าสุดซึ่งยังไม่มา ได้จากการเช็คมิเตอร์: 17 ส.ค. - 31 ส.ค. = 1300 กว่าบาท จำเลขเป๊ะๆไม่ได้
ซึ่งผู้ชายคนนี้ก็จะไม่ยอมจ่ายบิลที่2 โดยเขาอ้างว่า เขาอยู่แค่สองเดือน ซึ่งก็เป็นเงิน 663 บาท กับ 1300 บาท สิ
ทำเอาต้องอธิบายกันนาน กว่าจะยอมจ่าย.... หมดไปอีกเรื่อง
ก่อนที่จะส่งมอบกุญแจห้องคืน และโอนค่าประกันทั้งหลายคืน
ด้วยความที่ผ่านเรื่องทะเลาะมาหลายเรื่อง ทำให้ที่บ้านเราลืมเรื่องที่เอาฝรั่งมาอยู่
แต่เรานึกขึ้นได้ เลยเอ่ยถามออกไปต่อหน้าทุกๆคนเลยว่าตกลงแล้วนายหน้าเป็นคนอนุญาตจริงหรือ?
นายหน้ายิ้มเจื่อนๆ(เช่นเคย) แล้วตอบว่าก็ไม่เชิงรู้นะคะ คือ หนูเพิ่งมารับงานต่อทีหลัง ก็ทราบแค่ว่าเขาจะขอเปลี่ยนในนามบริษัทเท่านั้น
ส่วนเรื่องที่เขาเอาคนอื่นเข้ามาอยู่แทนนั้น หนูมองว่ามันเป็นเรื่องหยวนๆกันไป แบบทีเพื่อนสามารถเข้ามานอนห้องเราก็ได้แบบนี้
เราเลยบอกว่า "คือคิดเองได้เลยหรอคะ ทั้งๆที่เราคุยกันบ่อยมาก แต่คุณไม่เคยแจ้งประเด็นนี้ให้เราทราบเลย"
ณ จุดๆนั้น ผู้เช่า(ผู้หญิง) ก็พูดขึ้นมาว่า
"จริงๆตั้งแต่วันแรกที่มาติดต่อขอเช่าห้องก็มากับเพื่อนผู้หญิงอีกคนนึง(ชี้ไปที่ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ)
ไม่ได้มาคนเดียวนะคะ และก็บอกชัดด้วยว่า มาในนามบริษัทเพื่อเปิดห้องให้โมเดลพักอาศัย
ซึ่งคนที่รับเรื่องวันนั้นก็บอกโอเค และจะแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบ หนูไม่รู้จริงๆว่าผู้ให้เช่าไม่ทราบจุดนี้"
เราเลยแบบ.....มองหน้าพ่อแม่ เอาไงดี? แต่จุดๆนี้ทุกคนก็เหนื่อยกันมากแล้ว
อยากจบปัญหาไวๆ เลยยอมจบตรงนี้ และคิดเสียว่าเป็นความสะเพร่าของตนที่ไม่ได้เช็คผู้เช่าโดยละเอียดแต่แรก
จึงมาสู่ขั้นตอนสุดท้าย คือ เมื่อหักค่าความเสียหาย ค่าน้ำ ค่าไฟ หมดแล้ว เราก็จะโอนเงินส่วนที่เหลือคืนให้ผู้เช่า
เราจึงขอให้เขาเอาคีย์การ์ด 2 ใบ และกุญแจห้อง 2 ชุด ออกมาคืนเรา
ผู้ชายมีอายุบอกว่าทั้งคีย์การ์ดและกุญแจอยู่ในกระเป๋าของเขา จะเอาออกมาให้ดูเมื่อเราโอนเงินคืนให้แล้ว
ตอนแรกแม่เราก็ไม่ยอม บอกให้เขาเอาออกมาแสดงให้ดูก่อนว่ามีครบจริง
แต่ยังไงเขาก็บอกว่าไม่ยอมๆๆๆ จนกว่าเราจะโอนเงินคืน
ด้วยความที่อยากกลับบ้านแล้วและความสะเพร่าของเรา(อีกแล้ว)
เรายอมกดโอนเงินคืนให้ เมื่อผู้ชายมีอายุคนนั้นเช็คว่าเงินเข้าเรียบร้อยแล้วจึงหยิบคีย์การ์ดและกุญแจออกมา
เซอร์ไพรส์........... คีย์การ์ดหายไป 1 ใบ กุญแจหายไป 1 ดอก
ตอนแรกผู้ชายคนนี้ก็ไม่ยอมรับว่ามันหาย บอกว่ามีเท่านี้
แต่เรามีรูปถ่ายคีย์การ์ดและกุญแจก่อนส่งมอบจึงยื่นให้ดู
คราวนี้ผู้ชายมีอายุจึงหันไปถามผู้เช่า(ลูกสาว) ว่าให้พ่อมาครบมั้ย ลูกสาวยืนยันว่าให้มาหมดแล้ว
จึงรื้อกระเป๋าดู พบคีย์การ์ดอีกใบนึง เราจึงบอกให้เขาหากุญแจอีกดอกนึงที่หายไป
เขายืนยันว่าครบแล้ว ไม่ได้หาย เราขยายรูปถ่ายให้ดูชัดๆ เผื่อจะตาไม่ดี มองไม่เห็น
สักพักเขาก็บอกว่า "อาจจะลืมไว้ที่คอนโดอีกที่นึง เดี๋ยวค่อยส่งไปรษณีย์ไปให้ได้มั้ย ไม่ก็เดี๋ยวผมเอาไปปั๊มให้ใหม่"
ใครจะยอมคะคุณณณณ.... คุณไม่มีอะไรที่น่าไว้ใจเลยสักอย่างเดียว
ขณะเดียวกัน นายหน้าจึงโทรไปโฮมโปร เพื่อสอบถามราคาค่าลูกบิดและ deadlock พร้อมทั้งค่าช่าง
ราคาทั้งหมดอยู่ที่ 1200 บาท (ค่าลูกบิดและ deadlock 800 บาท ค่าช่าง 400 บาท)
ผู้ชายมีอายุบอกว่า "ผมจะจ่ายแค่ 1000 บาท เท่านั้น ไปต่อรองราคาช่างมาให้ผม เอาเกรดที่มันราคาถูกกว่าก็ได้"
อ่าวเฮ้ยยยยยยยยยยยยยย......... ทำอันไหนหาย ก็ต้องคืนด้วยอันนั้นสิวะ (อันนี้คิดในใจนะคะ)
นายหน้าโทรไปหาช่างให้ตามคำขอ ช่างยืนยันว่าราคานี้ ถ้าคิดว่าหาได้ถูกกว่านี้ก็ไปซื้อเอง
ผู้ชายมีอายุคนนี้เอาจริง..... คือ ถามว่าแถวนี้มีห้างอะไรขายบ้าง
นายหน้าบอกว่าบิ๊กซี แต่นายช่างของคอนโดบอกว่า ลูกบิดกับ deadlock แบบนี้ มีขายที่โฮมโปรเท่านั้น
ถ้าจะซื้อก็ไปซื้อที่โฮมโปร.... ผู้ชายมีอายุเลยบ่นพึมพำกับตัวเองว่า "วันนี้ไม่ได้เอารถมา ไปซื้อไม่ได้หรอก"
แล้วก็โพล่งออกมาอีกว่า "ผมมีพันเดียวเนี่ย จะให้เท่านี้แหละ" พร้อมกับฟาดแบงค์พันบนโต๊ะ
ตอนนั้นแม่เราปรี๊ดแตกมากเลยพูดขึ้นว่า "ดูท่าคุณคงอยากมีเรื่องมากเลยนะคะเนี่ย ถ้าอยากมีเรื่องจริงๆฉันมีให้ก็ได้นะ"
ผู้ชายมีอายุคนนี้ก็คงโมโหเช่นกัน เลยพูดออกมาว่า "ผมเป็นข้าราชการนะ รู้จักอัยการหลายคน" พร้อมกับควักบัตรข้าราชการออกมาให้เราดู
แม่เราเลยบอกว่า "แล้วยังไงคะ บ้านเรานี่ก็ข้าราชการกันทั้งบ้านเหมือนกัน ไม่รู้ว่าคุณจะเอามาอ้างเพื่ออะไร"
ผู้ชายมีอายุก็หันมาบอกกับเราว่า "งั้นเราไปคุยกับหัวหน้าคุณเลยมั้ย ที่ XXXXXXXXX (สถานที่ทำงานเรา) ผมรู้นะคุณเป็นใคร"
และก็พูดต่อว่า "คุณน่ะเป็น XXXXXXXXXXXX (ตำแหน่งงานเรา) ทำไมผมจะไม่รู้"
เราก็เลยพูดว่า "แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนคะเนี่ย ถ้าคุณไม่เอาตามกติกาก็ไปโรงพักค่ะ"
ระหว่างนี้เจ้าหน้าที่นิติบุคคลคอนโดคนนึง ก็เข้ามาช่วยเจรจา อธิบายผู้ชายมีอายุคนนี้ว่า
ในเมื่อทำกุญแจห้องเราหาย ตามกติกาก็คือต้องเปลี่ยนลูกบิดและ deadlock ให้ใหม่ ซึ่งถ้าช่างประเมินราคามาตามนี้ก็คือตามนี้
ผู้ชายมีอายุคนนี้ จึงพูดขึ้นมาว่า "ผมยอมจ่าย 1200 ก็ได้ แต่เจ้าของห้องต้องออกใบเสร็จให้ผม ผมจะเอาไปเบิก"
พูดไปพร้อมกับหยิบสมุดบิลขึ้นมาจะส่งให้เราเขียน....
นิติบุคคลท่านนั้นจึงบอกว่า "เจ้าของห้องไม่ใช่ร้านค้านะคะ คงออกใบเสร็จให้ไม่ได้ ถ้ายังไงจะให้ทางช่างเอาใบเสร็จมาให้นะคะ"
ผู้ชายมีอายุจึงพูดต่อว่า "ไม่ได้ ต้องเป็นเจ้าของห้องออกใบเสร็จ ผมจะให้สรรพากรมาตามเก็บตัง"
นายหน้าจึงรีบเข้ามาตัดบทด้วยการบอกว่า "จริงๆแล้วมันแค่ 200 บาท เองนะคะ ที่เพิ่มเข้ามา จะได้จบเรื่องกันไปเนอะ"
สักพัก ลูกสาวคนเดิม(ผู้เช่า) ก็เดินเข้ามาหาผู้ชายมีอายุ แล้วยื่นเงินให้ 1200 บาท
ผู้ชายมีอายุรับไว้แล้วเหวี่ยงใส่ลงตรงหน้านายหน้า แล้วก็พูดทิ้งท้ายจับใจความได้ว่า "หัวเราะทีหลังดังกว่า"
แล้วเดินออกไปจากนิติบุคคล แล้วตะโกนกลับมาว่า "คอยดูจะไปแจ้งสรรพากรให้มาตามเก็บภาษี"
ทิ้งไว้แต่ความงุนงงให้กับทุกๆคนในนิติบุคคล..............
ผู้เช่า(ลูกสาว) กับเพื่อนอีกสองคน จึงทยอยกันเดินออก แล้วมายกมือไหว้ขอโทษแม่เรา
แต่แม่เราก็บอกไปว่า "มันไม่เกี่ยวกับหนูหรอกที่แม่โมโหเนี่ย แม่เข้าใจๆ" แล้วก็จากกันด้วยดี

(มีต่อใน คห.1 นะคะ ยาวเกินพิมไม่พอค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่