[Spoil เฉพาะกิจ] Altair ดาวจรัสฟ้าอินทรีถลาลม เล่ม 19 (ต่อจากตอนที่ 99)

อาทิตย์นี้ขอ Spoil เฉพาะกิจเล็กน้อยครับ

แม้จะเป็นการ์ตูนที่ในไทยไม่ค่อยมีใครรู้จักพูดถึงเท่าไหร่นัก แต่เนื่องจากคืนนี้อนิเมตอนต่อกำลังจะฉายพอดี ประกอบกับเนื้อเรื่องช่วงนี้กำลังเข้าช่วงไคลแมกซ์แทบจะใกล้เตรียมขมวดปมจบเรื่อง (ในอีกหลายตอนอันไกล) อยู่แล้ว เลยขอนำเนื้อหาต่อจากตอน 99 (อันเป็นตอนที่อาหารอังกฤษออกค้างไว้) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาในเล่ม 19 มาเล่าให้ฟังตรงนี้ซะเลย


ภาพปกเล่ม 19










- ต่อจากตอนที่ 99 ซึ่งทัพเตอร์กิเย 45,000 นายนำโดยซากานอสปาชาและเหล่าปาชาชาญศึกอีกจำนวนหนึ่ง (รวมมัฟมูทกับหน่วยอินทรีทองด้วย) กำลังปิดล้อมนครหลวงของจักรวรรดิบัลท์ไลน์หมายจะพิชิตขั้นเด็ดขาด

- แต่ระหว่างนั้นเองก็มีม้าเร็วควบเข้ามารายงานซากานอสว่าบัดนี้กองทัพบัลท์ไลน์กว่า 44,000 นายนำโดยดัชเชสเลอร์เดริค พระภาติยะ (หลานของพี่ชายหรือน้องชาย) ในจักรพรรดิ์แห่งบัลท์ไลน์ได้ข้ามแนวชายแดนไปแล้ว

- กองกำลังของดัชเชสเลอร์เดริคเข้าตีเมืองหลวงของนครรัฐบิซัคหนึ่งในนครรัฐทั้ง 5 ของเตอร์กิเยจนพินาศ ก่อนจะเบนเป้าสู่จุดหมายต่อไป นั่นคือ...อัลทูน นครแห่งทองคำ เมืองหลวงของมหานครรัฐเตอร์กิเย




- ซากานอสปาชาถึงกับอึ้งเพราะนึกไม่ถึงว่าจอมวางแผนอย่างตนจะโดนดัดหลังอย่างเจ็บแสบถึงเพียงนี้ ด้านปาชาคนอื่นๆ พอรู้ข่าวเข้าก็แตกตื่นเป็นการใหญ่ เนื่องจากกองกำลังที่เหลือทิ้งไว้ป้องกันแผ่นดินแม่เตอร์กิเยนั้นแม้จะมีกำลังพลถึง 43,000 นาย (กองทัพของเตอร์กิเยเอง 20,000 นาย บวกกับกองทัพของสุลต่านอีก 4 นครรัฐอีก 23,000 นาย) สูสีกับกองทัพของดัชเชสเลอร์เดริค แต่เนื่องจากกองกำลังเหล่านั้นล้วนกระจัดกระจายคอยคุ้มกันอยู่ตามเขตเล็กเขตน้อยต่างๆ ทั่วเตอร์กิเย ดังนั้นจึงไม่อาจระดมพลมารับศึกที่นครหลวงได้ทันเวลา

- ด้วยเหตุนี้ หนทางแก้ไขเพียงอย่างเดียวที่ทั้งสภาดีวานแห่งเตอร์กิเยและเหล่าปาชาซึ่งทำศึกอยู่ ณ นครหลวงของบัลท์ไลน์ต่างเห็นตรงกันแม้จะอยู่กันคนละฟากแผ่นดินก็คือ...ให้ซากานอสปาชาเลิกทัพกลับเตอร์กิเยไปช่วยรับศึกที่เมืองหลวงเป็นการด่วน

- ทว่า ซากานอสปาชากลับไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของเหล่าปาชา ยืนกรานจะให้กองกำลังทั้ง 45,000 ของพวกตนอยู่ปิดล้อมนครหลวงบัลท์ไลน์ต่อไป โดยให้เหตุผลว่าศึกครั้งนี้ถือเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในรอบหลายร้อยปีที่จะโค่นบัลท์ไลน์ให้พินาศได้ หากทิ้งโอกาสครั้งนี้ไป เตอร์กิเยจะไม่มีโอกาสรุกเข้าสู่แผ่นดินบัลท์ไลน์ได้อีกเลย เนื่องจากฝ่ายบัลท์ไลน์ได้เห็นไพ่ตายทั้งหมดในมือของเตอร์กิเยในการศึกครั้งนี้แล้ว รวมทั้ง "ปืนใหญ่" อันเป็นนวัตกรรมล่าสุดที่นำมาใช้ในการรบครั้งนี้เป็นครั้งแรก หากต้องทำศึกกันอีกครั้งฝ่ายบัลท์ไลน์ย่อมหาทางแก้ลำได้ แล้วโอกาสชนะของเตอร์กิเยก็จะหลุดลอยไปอย่างไม่อาจหวนคืน

- และเหนือสิ่งอื่นใด การที่เตอร์กิเยเลิกทัพกลับยังเป็นการทอดทิ้งบรรดานครรัฐต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนที่ยอมร่วมมือกับเตอร์กิเยจนเปิดทางสู่ศึกครั้งนี้ให้ต้องรับมือกับความโกรธเกรี้ยวของบัลท์ไลน์ตามยถากรรมอีกด้วย

- คำกล่าวของซากานอสสร้างความไม่พอใจให้กับปาชาที่เรียกร้องให้เลิกทัพกลับเป็นอย่างมาก ต่างกล่าวหาว่าซากานอสเห็นชัยชนะของตนเองสำคัญกว่าชีวิตเลือดเนื้อคนแผ่นดินเดียวกัน การโต้เถียงเริ่มเผ็ดร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนหวิดจะกลายเป็นรายการชักดาบแลกเลือดกันอยู่แล้ว

- ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในกระโจมบัญชาการนั้น มัฟมูทเป็นเพียงคนเดียวที่กล้าลุกขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อคัดค้านแผนปิดล้อมของซากานอสปาชา แต่เพื่อสนับสนุนความคิดของซากานอสปาชาว่าคือทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดแล้ว

- มัฟมูทให้เหตุผลว่าหากถอนทัพกลับอย่างเร่งด่วนก็จำเป็นต้องทิ้งปืนใหญ่ซึ่งน้ำหนักมากเกะกะการเคลื่อนทัพเร็วไว้ จะเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบัลท์ไลน์นำซากปืนใหญ่ไปวิจัยจนสร้างได้เปล่าๆ ยิ่งกว่านั้นหากเตอร์กิเยทอดทิ้งเหล่านครรัฐเล็กๆ ตามรายทางที่เคยสนับสนุนจนเตอร์กิเยรุกคืบมาได้ถึงศึกนี้ นครรัฐเหล่านั้นก็จะโกรธแค้นเตอร์กิเยที่ทอดทิ้งพวกตัวเองหนีเอาตัวรอด กลายเป็นความขัดแย้งยากประสานรอยร้าวในอนาคต ก่อนจะยืนยันปิดท้ายว่ากองกำลังทั้ง 45,000 นายของซากานอสปาชาควรอยู่ปิดฉากศึกทางนี้ ส่วนศึกทางฝั่งนครหลวงเตอร์กิเยก็ให้บรรดาปาชาคนอื่นที่อยู่เฝ้านครหลวงรับมือไป


- ได้ฟังมัฟมูทพูดดังนั้น บรรดาปาชาที่ลุกขึ้นโวยวายอยู่เมื่อครู่ก็ได้แต่เก็บดาบนั่งลงแต่โดยดีเป็นเชิงหมดคำพูดจะโต้แย้ง




- ตัดไปด้านนครหลวงเตอร์กิเย สุลต่านแห่งนครรัฐทั้ง 4 เมื่อได้ยินข่าวกองทัพบัลท์ไลน์ย่องมาตีท้ายครัว ก็เร่งนำไพร่พลทั้ง 23,000 นายของตนออกไปยอทัพบัลไทน์ไว้เพื่อเปิดโอกาสให้นครรัฐเตอร์กิเยมีเวลาเตรียมรับศึก

- ด้านสภาดีวานได้ข่าวดังนั้น ก็อาศัยโอกาสที่กองกำลัง 4 นครรัฐเปิดให้ สั่งเร่งระดมพลจากทุกเขตคามทั่วเตอร์กิเยทั้ง 20,000 มาช่วยรับมือที่นครหลวงทองคำทันที




- กลับไปด้านกองทัพของซากานอสปาชา ซากานอสปาชาได้เห็นพัฒนาการของมัฟมูทจากปาชาเลือดร้อนมุทะลุมาเป็นปาชาผู้มองสถานการณ์ตามความเป็นจริง ไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวมาก่อนหน้าที่ดังที่เคยเป็นมาดังนั้น ก็ให้รางวัลด้วยการออกคำสั่งอนุญาตให้มัฟมุทนำหน่วยอินทรีทองย้อนกลับไปช่วยรับศึกที่นครหลวงเตอร์กิเย (จริงๆ คือส่วนหนึ่งก็เพื่อไม่ให้ทางสภาดีวานเปลี่ยนใจส่งสัญญาณควันสั่งให้ซากานอสยกทัพกลับด้วย)

- ได้ยินดังนั้น มัฟมูทจึงทำตามบัญชาของซากานอส นำไพร่พลหน่วยอินทรีทองทั้ง 1,700 นายของตนกลับสู่เตอร์กิเยเพื่อรับศึกช่วยเหลือเพื่อนพ้องโดยทันทีเป็นอันจบเล่มนี้










ก็ประมาณนี้แฮะสำหรับเล่มนี้

อ่านเล่มนี้แล้วคิดแฮะว่ามัฟมูทนี่คิดอะไรสมเป็นปาชาขึ้นเยอะถ้าเทียบกับเล่มแรกๆ หรือเนื้อเรื่องในอนิเมช่วงนี้ (ซึ่งยังอยู่ช่วงมังงะเล่มแรกๆ อยู่) รู้จักเรียงลำดับความสำคัญของสถานการณ์ รวมถึงผลได้ผลเสียต่างๆ ที่บ้านเมืองและกองทัพจะได้รับมากขึ้น ไม่ปล่อยตัวไปกับอารมณ์ส่วนตัวหรืออารมณ์รักเพื่อนรักพ้องเหมือนเมื่อก่อน ดูแล้วก็อยากเห็นแฮะว่ากลับเตอร์กิเยไปช่วยเพื่อนครั้งนี้จะได้เห็นมัฟมูทแสดงฝีมือในฐานะปาชาอีกมั้ย หรือจะเป็นรายการลุยเดี่ยวที่ถนัดอีกตามเคย

แต่ไม่ว่ายังไง ดูจากที่เมืองหลวงของต่างฝ่ายต่างโดนเล่นงานแบบนี้แล้ว คิดว่าอ.โคโตโนะแกคงเตรียมขมวดปมจบเรื่องเต็มทีแล้วแฮะ เพราะคงหาไคลแมกซ์ไหนมาพีคกว่าช่วงนี้คงไม่ได้อีกแล้วจริงๆ เรียกว่าอ่านไปก็ลุ้นแทนบรรดาตัวละครฝ่ายตัวเอกเต็มที่เลย ว่างานนี้จะรับศึกกันแบบไหน แล้วจะรอดกันมาได้กี่คน ยิ่งกลุ่มที่อยู่ฝั่งเมืองหลวงเตอร์กิเยนี่เพื่อนรักกับพรรคพวกคนสนิทมัฟมูทกันทั้งนั้นด้วย

แทบอดใจรอให้เล่ม 20 ออกไม่ไหวเลยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่