จิตใจที่ผูกพันกันแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันแค่ไหน ระยะทางของหัวใจย่อมไม่เปลี่ยนแปร
หนังร่วมทุนไทยกับพม่าเรื่องแรกในรอบ 50 ปี โดยรัฐบาลพม่าอนุญาตให้กองถ่ายต่างชาติ
ถ่ายทำสถานที่สวยงามตามเมืองต่างๆ อาทิ นครย่างกุ้ง,พุกาม,มัณฑะเลย์,สะกาย,พิน อู ลวิน,สีป้อ
ทุนสร้าง 25 ล้านบาท ถ่ายทำด้วยกล้อง RED อัตราภาพแบบสโคป
ใช้โดรนถ่ายฉาก สะพานข้ามทางรถไฟก๊อกเต๊ก(Gokteik) รัฐฉาน โดยได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ
เนื่องจากเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ห่างจากมัณฑะเลย์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 100 กิโลเมตร
เส้นทางรถไฟสายล่าเสี้ยว(Lashio)-พินอูลวิน(Pyin Oo Lwin) สะพานรถไฟข้ามหุบเหวสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก
ร่วมด้วยนักแสดงแนวหน้าของพม่า ได้แก่
เน โท
วุด มน ชเว ยี
ไซไซ คำแลง
ร่วมกับนักแสดงไทย ได้แก่
น้ำหวาน พิไลพร สุปินชุมภู
เดือนเต็ม สาลิตุล
อัษฎา พานิชกุล
บอกเล่าเรื่องราวจากอดีตเมื่อห้าสิบก่อน ในยุคเผด็จการทหาร เน วิน กับเรื่องราวปัจจุบันในยุคพรรคNLDปกครองประเทศ
คู่พระนางในอดีต ถ่ายทอดเรื่องราวที่ขมขื่ม โศกเศร้า กล้ำกลืน จากชนชั้น การเมือง ที่ขวางกันรักแท้ของคนทั้งสอง
นันดะ ลูกเจ้าของปางไม้แห่งหนึ่งในรัฐฉาน น่าจะสืบเชื้อสายจากเจ้านคร รู้สึกเบื่อหน่ายจึงพักการเรียน
มาเป็นบุรุษไปรษณีย์ ณ กรุงย่างกุ้ง
ได้พานพบรักแท้กับ ธูซา ครูประถม ด้วยการเข้าหาแบบเชยๆแต่ได้ผล
เพราะพระเอกมีความจำเป็นเลิศ ทำให้นางเอกมิอาจปฏิเสธได้ จม.สื่อรักจึงเป็นสิ่งร้อยใจทั้งสองไว้ด้วยกัน
เมื่อความรักสุกงอม จากการท่องเที่ยวไปด้วยกันทั่วพุกามประเทศ พระเอกจึงพานางเอกไปพบทางบ้าน
แน่นอนว่า คนกำพร้า ไม่มีหัวนอนปลายเท้า จะมาร่วมวงศ์วานกับบรรดาเจ้าสกุลทั้งหลายนั้น หาได้ไม่
ก่อนนางจะจากไป ได้ทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำว่า
กาลเวลา จะทำให้ยศศักดิ์ เสื่อมไปเอง
ชาวบ้านดื่มน้ำชา ทำให้น้ำต้มมีรสชาติ บำรุงร่างกาย
ผู้ดีดื่มเหล้า มีแต่ความเมามาย เสพติด หาประโยชน์ได้ไม่
และแล้ววันหนึ่ง พระเอกได้ที่อยู่ของนางเอกจากใบปริญญาที่จ่าหน้าไว้ จึงตามจนเจอที่เมืองเมเมียว
วินาทีที่นางเอกเห็นพระเอก ทุกความรู้สึกระเบิดออกมา พรั่งพรูจนนางเอกควบคุมตัวเองไม่ได้
ดีใจที่ได้เจอ แต่เสียใจที่ไม่ได้ลงเอย ราวกับกำแพงกั้น นางเอกจึงขอให้พระเอกรับปากว่า จะไม่ทอดทิ้งเธออีก
(ฉากนี้ ทั้งสองตีบทแตกกระจุย โดยเฉพาะนางเอก แสดงอารมณ์ที่ไม่สามารถบอกเป็นคำพูดได้
ถึงองคาพยพที่ทำให้ทั้งสอง ไม่อาจลงเอยกัน ได้แต่เก็บไว้ในใจ แต่แล้วกลับระเบิดออกมา)
แต่เมื่อคุณแม่ขอร้อง จนนางเอกเห็นแก่อนาคตของพระเอก
การลาจากยังชานชลาพินอูลวิน อย่างอ้างว้างแบบเกาหลีจึงเกิดขึ้น
(นางเอกนำหุ่นกระบอกเจ้าชายไปไทยด้วย ท้ายเรื่องหลานไม่ได้นำมาให้พระเอก)
ค.ศ. 1966 รัฐบาลทหารพม่า ประกาศขับไล่มิชชันนารีออกนอกประเทศทั้งหมด
ฉากส่งบาทหลวง เล่าเรื่องได้แยบคาย เสื้อผ้าหน้าผมนางเอก ที่โดดเด่นกว่าชาวบ้าน ระลึกถึงยุคที่
พ.ศ.2506 พม่าเคยส่งข้าวออกเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยส่งออกจำนวน 1.6 ล้านตัน
(ปี 2515 ข้าวไทยส่งออก 1.3 ล้านตัน) และส่งออกระดับมากกว่าล้านต้นจนถึงปี 2511
อู ถั่น ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาติ คนที่ 3 จากประเทศในเอเชียคนแรก ยุติสงครามกลางเมืองคองโก
แก้วิกฤตการณ์คิวบา นำสหรัฐฯและโซเวียต เข้าสู่โต๊ะเจรจา
ต่อมาพม่าปิดประเทศและยากจนที่สุดในภูมิภาค ได้ฉายา ฤาษีแห่งเอเชีย ในเวลาต่อมา
เรื่องราวในจม.ท้ายๆ เร่งได้เร็วทันใจผู้ชม ไม่มีอารมณ์ค้าง และสรุปเรื่องได้น่าประทับใจ
ส่วนพระนางในยุคปัจจุบัน จะลงเอยหรือไม่คงต้องรอภาคต่อไป เพราะจม.ลงไว้ 2019
กำกับภาพ
ถ่ายภาพได้สวยงามระดับการท่องเที่ยวพม่า น่าไปเที่ยวไปสัมผัส
ภาพพุกามก่อนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ งดงาม จิตรกรรมฝาฝนังยังคงสภาพอยู่
คล้ายกับภาพในหนังสือที่คนญี่ปุ่นถ่ายไว้โดยละเอียด สมัยก่อนการบูรณะ
เจดีย์ชินพิวเม ฉายา ทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดี
ภาพมีความเป็นอีพิก(epic)สูง โดยเฉพาะฉากนางเอกกางร่ม รับอิทธิพลจากคุโรซาว่า อากิระ
แสดงถึงความยิ่งใหญ่ รุ่งเรืองในอดีตของพม่า แต่มีความอ่อนน้อม นุ่มนวล ชวนฝัน
ผสานกับเสียงบรรยายเหงา เศร้า เดียวดาย รับอิทธิพลจากหว่องกาไว
ฉากในอดีตสีสันสดใส ต่างจากปัจจุบันที่หม่นเล็กน้อย
ดนตรีประกอบ
ไพเราะจับใจ ทั้งร้องและบรรเลง ทั้งไทยและพม่า ได้อารมณ์ทั้งสองชาติดีคนละอย่าง
คล้ายกับอาหารที่ปรุงรสตามความชอบของแต่ละชาติ
บรูโน บรุนญาโน ผู้ประพันธ์ในสัมภาษณ์ว่า มีไฟในการแต่งเพลง เพราะประทับใจในเนื้อเรื่อง
บันทึกเสียง
เสียงจากบรรดาพม่ามุงเข้ามาหลายฉาก แต่ยังเก็บเสียงหลักได้ดี
ในการถ่ายทำบางวันต้องยกกองเพราะ แฟนคลับมามุงมากจนถ่ายทำลำบาก
นักแสดง
พระนางฝั่งพม่าแสดงดี ตีบทแตก ทั้งที่ต้องใช้ล่าม เข้าถึงตัวละคร
ชนิดประทบไหล่ต่างชาติได้สบาย ถือเป็นนักแสดงอาชีพระดับ ทับทิมสีเลือดนกพิราบ แห่งเมืองโมก๊อก
ส่วนไซไซ ความตั้งใจเกินร้อย แต่ยังต้องขัดเกลาอีกหน่อย แลดูไม่เป็นชาวบ้าน คนปอนๆ
นางไทย หน้าละม้ายนางเอกพม่า การแสดงตั้งใจ แต่การออกเสียงยังต้องพัฒนาต่อไป
ตัดต่อ
ช่วงโหมโรง เนื่อยช้า พอเข้าองก์ที่ 1 เดินเรื่องกำลังดีไปจนจบเรื่อง ฉากแถมท้ายเรื่องประทับใจ
CG
เนียน ดูกลมกลืน ไม่หลอกตา ทำให้การย้อนยุคง่ายขึ้นในพ.ศ.นี้
บท
เขียนได้ดี มีจุดให้ลุ้น เดาเรื่องไม่ง่าย แม้จะรู้ว่าต้องจบแบบสุขนาฏกรรม แต่ความประทับใจ
ในความทรงจำที่ยาวนาน ถ่ายทอดได้กินใจ อิ่มใจ ดูแล้วไม่อารมณ์ค้างแบบบางค่ายที่ชอบทำ
กำกับการแสดง
แม้จะมีภาษาเป็นอุปสรรคแต่ผกก. ถ่ายทอดออกมาได้ดี ดูเป็นอุษาคเนย์ ไม่ใช่ฝรั่งสวมชฎา
เคารพในวัฒนธรรมเพื่อนบ้าน ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ซึ่งคนพม่าไม่ได้คิดว่าคนไทยเป็นศัตรูคู่อาฆาตแต่อย่างใด
การเปิดใจของทางเรา ทำให้เห็นมิตรจิตมิตรใจของกันและกัน ชาวโยเดียที่เทครัวไปอยู่ล้วนคิดถึงถิ่นเดิม
บางหมู่ยังคงสายเลือดบริสุทธิ์ไว้ แต่ไม่ได้รังเกียจคนพม่า เห็นเป็นยักษ์เป็นมาร
การกำกับที่ละเมียด เดินภาพนุ่มนวล การแสดงแบบคลาสิคในยุค 50 ผสานกับการถ่ายทำยุคนี้
บอกเล่าเรื่องราวร่วมสมัยได้ยอดเยี่ยม ควรค่าแก่การส่งประกวด ให้เข้าชิงรางวัลหลายสาขา
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังจะมีภาคต่อ หรือผลงานร่วมทุนกันต่อๆไป
และควรทำแผ่นดีวีดี บลูเรย์ จำหน่าย สมทบทุนบูรณะโบราณสถานโยเดียในพม่าได้ยิ่งดี
ผกก.และคณะจะได้มีกำลังใจสร้างสรรค์ ผลงานคุณภาพให้ดียิ่งๆขึ้นไป
ท้ายนี้ผิดพลาดประการใด ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ขอบคุณครับ
ฯจะหักอื่น ขืนหัก ก็จักได้ หักอาลัย นี้ไม่หลุด สุดจะหัก
สารพัด ตัดขาด ประหลาดนัก แต่ตัดรัก นี้ไม่ขาด ประหลาดใจฯ
นิราศอิเหนา สุนทรภู่
ฯเรื่อยเรื่อยมารอนรอน ทิพากรจะตกต่ำ
สนธยาจะใกล้ค่ำ คำนึงหน้าเจ้าตราตรู
เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง นกบินเฉียงไปทั้งหมู่
ตัวเดียวมาพลัดคู่ เหมือนพี่อยู่ผู้เดียวดาย
เห็นฝูงยูงรำฟ้อน คิดบังอรร่อนรำกราย
สร้อยทองย่องเยื้องชาย เหมือนสายสวาทนาดนวยจร
สาริกามาตามคู่ ชมกันอยู่สู่สมสมร
แต่พี่นี้อาวรณ์ ห่อนเห็นเจ้าเศร้าใจครวญฯ
เห่ชมนก เจ้าฟ้ากุ้ง
ฯเรื่อยเรื่อยมารอนรอน สุริยาจรเข้าสายัณห์
เรื่อรองส่องสีจันทร์ ส่งแสงกล้าน่าพิศวง
ลิ่วลิ่วจันทร์แจ่มฟ้า เหมือนพักตราหน้านวลผจง
สูงสวยรวยรูปทรง ส่งสีเจ้าเท่าสีจันทร์
เอวอ่อนชอ้อนองค์ โฉมอนงค์ทรงสาวสวรรค์
หาไหนไม่เทียมทัน ขวัญเนตรพี่นี้น่ารัก
ขาวสุดพุดจีบจีน เจ้ามีสีนพี่มีศักดิ์
ทั้งวังเขาชังนัก แต่พี่รักเจ้าคนเดียว
นอนนั่งตั้งอาลัย สายสุดใจไม่แลเหลียว
หวังชมสมกลมเกลียว ควรฤาน้องข้องใจเคืองฯ
เห่ครวญ เจ้าฟ้ากุ้ง
ฯฝนตกฝนหากตก แก้วกับอกอย่าโกรธฝน
ลมพัดรับขวัญบน แก้วโกมลมานอนเนา
ฝนตกไม่ทั่วฟ้า เยนแหล่งหล้าในภูเขา
ไม่เยนในอกเรา เพราะเพื่อนเคล้าเจ้าอยู่ไกล
เรียมร่ำน้ำตาตก อกร้อนรุ่มดังสุมไฟ
แสนคนึงถึงสายใจ เจ้าไกลสวาทนิราศเรียมฯ
เห่ครวญ เจ้าฟ้ากุ้ง
เจ้ารักพี่ พี่ก็รู้ อยู่ว่ารัก
พี่ไม่ทัก เจ้าก็รู้ หาได้ขืน
เจ้าคารม พี่ก็ชม ว่าเลื่องลือ
พี่ก็อือ ถือว่าเจ้า สนิทใจ
เจ้าช่างเขียน พี่ก็เรียน รู้ความอ่าน
พี่ไม่ถาม เจ้าก็ตาม คอยส่งให้
เจ้าแค่มี พี่รู้ดี ที่เป็นไป
พี่เก็บไว้ เจ้าหวังได้ ใจมั่นคง
เจ้าคิดถึง พี่ก็ซึ้ง ใจยิ่งกว่า
พี่มีค่า เจ้ามองมา หาใช่หลง
เจ้าเชื่อใจ พี่อยู่ไกล ใฝ่ซื่อตรง
พี่ยืนยง เจ้าคงมั่น นิรันดร์เอย
ดัดแปลงจาก ใจ...เจ้า โดย ชมพูพันธุ์ทิพย์
สุนทรภู่ ขุนช้างขุนแผน ตอน กำเนิดพลายงาม
ถึงคน..(พยายาม)ไม่คิดถึง จากบางกอกถึงมัณฑะเลย์ แหวนทับทิมลงยาแห่งอุษาคเนย์
หนังร่วมทุนไทยกับพม่าเรื่องแรกในรอบ 50 ปี โดยรัฐบาลพม่าอนุญาตให้กองถ่ายต่างชาติ
ถ่ายทำสถานที่สวยงามตามเมืองต่างๆ อาทิ นครย่างกุ้ง,พุกาม,มัณฑะเลย์,สะกาย,พิน อู ลวิน,สีป้อ
ทุนสร้าง 25 ล้านบาท ถ่ายทำด้วยกล้อง RED อัตราภาพแบบสโคป
ใช้โดรนถ่ายฉาก สะพานข้ามทางรถไฟก๊อกเต๊ก(Gokteik) รัฐฉาน โดยได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ
เนื่องจากเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ห่างจากมัณฑะเลย์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 100 กิโลเมตร
เส้นทางรถไฟสายล่าเสี้ยว(Lashio)-พินอูลวิน(Pyin Oo Lwin) สะพานรถไฟข้ามหุบเหวสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก
ร่วมด้วยนักแสดงแนวหน้าของพม่า ได้แก่
เน โท
วุด มน ชเว ยี
ไซไซ คำแลง
ร่วมกับนักแสดงไทย ได้แก่
น้ำหวาน พิไลพร สุปินชุมภู
เดือนเต็ม สาลิตุล
อัษฎา พานิชกุล
บอกเล่าเรื่องราวจากอดีตเมื่อห้าสิบก่อน ในยุคเผด็จการทหาร เน วิน กับเรื่องราวปัจจุบันในยุคพรรคNLDปกครองประเทศ
คู่พระนางในอดีต ถ่ายทอดเรื่องราวที่ขมขื่ม โศกเศร้า กล้ำกลืน จากชนชั้น การเมือง ที่ขวางกันรักแท้ของคนทั้งสอง
นันดะ ลูกเจ้าของปางไม้แห่งหนึ่งในรัฐฉาน น่าจะสืบเชื้อสายจากเจ้านคร รู้สึกเบื่อหน่ายจึงพักการเรียน
มาเป็นบุรุษไปรษณีย์ ณ กรุงย่างกุ้ง
ได้พานพบรักแท้กับ ธูซา ครูประถม ด้วยการเข้าหาแบบเชยๆแต่ได้ผล
เพราะพระเอกมีความจำเป็นเลิศ ทำให้นางเอกมิอาจปฏิเสธได้ จม.สื่อรักจึงเป็นสิ่งร้อยใจทั้งสองไว้ด้วยกัน
เมื่อความรักสุกงอม จากการท่องเที่ยวไปด้วยกันทั่วพุกามประเทศ พระเอกจึงพานางเอกไปพบทางบ้าน
แน่นอนว่า คนกำพร้า ไม่มีหัวนอนปลายเท้า จะมาร่วมวงศ์วานกับบรรดาเจ้าสกุลทั้งหลายนั้น หาได้ไม่
ก่อนนางจะจากไป ได้ทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำว่า กาลเวลา จะทำให้ยศศักดิ์ เสื่อมไปเอง
ชาวบ้านดื่มน้ำชา ทำให้น้ำต้มมีรสชาติ บำรุงร่างกาย
ผู้ดีดื่มเหล้า มีแต่ความเมามาย เสพติด หาประโยชน์ได้ไม่
และแล้ววันหนึ่ง พระเอกได้ที่อยู่ของนางเอกจากใบปริญญาที่จ่าหน้าไว้ จึงตามจนเจอที่เมืองเมเมียว
วินาทีที่นางเอกเห็นพระเอก ทุกความรู้สึกระเบิดออกมา พรั่งพรูจนนางเอกควบคุมตัวเองไม่ได้
ดีใจที่ได้เจอ แต่เสียใจที่ไม่ได้ลงเอย ราวกับกำแพงกั้น นางเอกจึงขอให้พระเอกรับปากว่า จะไม่ทอดทิ้งเธออีก
(ฉากนี้ ทั้งสองตีบทแตกกระจุย โดยเฉพาะนางเอก แสดงอารมณ์ที่ไม่สามารถบอกเป็นคำพูดได้
ถึงองคาพยพที่ทำให้ทั้งสอง ไม่อาจลงเอยกัน ได้แต่เก็บไว้ในใจ แต่แล้วกลับระเบิดออกมา)
แต่เมื่อคุณแม่ขอร้อง จนนางเอกเห็นแก่อนาคตของพระเอก
การลาจากยังชานชลาพินอูลวิน อย่างอ้างว้างแบบเกาหลีจึงเกิดขึ้น
(นางเอกนำหุ่นกระบอกเจ้าชายไปไทยด้วย ท้ายเรื่องหลานไม่ได้นำมาให้พระเอก)
ค.ศ. 1966 รัฐบาลทหารพม่า ประกาศขับไล่มิชชันนารีออกนอกประเทศทั้งหมด
ฉากส่งบาทหลวง เล่าเรื่องได้แยบคาย เสื้อผ้าหน้าผมนางเอก ที่โดดเด่นกว่าชาวบ้าน ระลึกถึงยุคที่
พ.ศ.2506 พม่าเคยส่งข้าวออกเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยส่งออกจำนวน 1.6 ล้านตัน
(ปี 2515 ข้าวไทยส่งออก 1.3 ล้านตัน) และส่งออกระดับมากกว่าล้านต้นจนถึงปี 2511
อู ถั่น ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาติ คนที่ 3 จากประเทศในเอเชียคนแรก ยุติสงครามกลางเมืองคองโก
แก้วิกฤตการณ์คิวบา นำสหรัฐฯและโซเวียต เข้าสู่โต๊ะเจรจา
ต่อมาพม่าปิดประเทศและยากจนที่สุดในภูมิภาค ได้ฉายา ฤาษีแห่งเอเชีย ในเวลาต่อมา
เรื่องราวในจม.ท้ายๆ เร่งได้เร็วทันใจผู้ชม ไม่มีอารมณ์ค้าง และสรุปเรื่องได้น่าประทับใจ
ส่วนพระนางในยุคปัจจุบัน จะลงเอยหรือไม่คงต้องรอภาคต่อไป เพราะจม.ลงไว้ 2019
กำกับภาพ
ถ่ายภาพได้สวยงามระดับการท่องเที่ยวพม่า น่าไปเที่ยวไปสัมผัส
ภาพพุกามก่อนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ งดงาม จิตรกรรมฝาฝนังยังคงสภาพอยู่
คล้ายกับภาพในหนังสือที่คนญี่ปุ่นถ่ายไว้โดยละเอียด สมัยก่อนการบูรณะ
เจดีย์ชินพิวเม ฉายา ทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดี
ภาพมีความเป็นอีพิก(epic)สูง โดยเฉพาะฉากนางเอกกางร่ม รับอิทธิพลจากคุโรซาว่า อากิระ
แสดงถึงความยิ่งใหญ่ รุ่งเรืองในอดีตของพม่า แต่มีความอ่อนน้อม นุ่มนวล ชวนฝัน
ผสานกับเสียงบรรยายเหงา เศร้า เดียวดาย รับอิทธิพลจากหว่องกาไว
ฉากในอดีตสีสันสดใส ต่างจากปัจจุบันที่หม่นเล็กน้อย
ดนตรีประกอบ
ไพเราะจับใจ ทั้งร้องและบรรเลง ทั้งไทยและพม่า ได้อารมณ์ทั้งสองชาติดีคนละอย่าง
คล้ายกับอาหารที่ปรุงรสตามความชอบของแต่ละชาติ
บรูโน บรุนญาโน ผู้ประพันธ์ในสัมภาษณ์ว่า มีไฟในการแต่งเพลง เพราะประทับใจในเนื้อเรื่อง
บันทึกเสียง
เสียงจากบรรดาพม่ามุงเข้ามาหลายฉาก แต่ยังเก็บเสียงหลักได้ดี
ในการถ่ายทำบางวันต้องยกกองเพราะ แฟนคลับมามุงมากจนถ่ายทำลำบาก
นักแสดง
พระนางฝั่งพม่าแสดงดี ตีบทแตก ทั้งที่ต้องใช้ล่าม เข้าถึงตัวละคร
ชนิดประทบไหล่ต่างชาติได้สบาย ถือเป็นนักแสดงอาชีพระดับ ทับทิมสีเลือดนกพิราบ แห่งเมืองโมก๊อก
ส่วนไซไซ ความตั้งใจเกินร้อย แต่ยังต้องขัดเกลาอีกหน่อย แลดูไม่เป็นชาวบ้าน คนปอนๆ
นางไทย หน้าละม้ายนางเอกพม่า การแสดงตั้งใจ แต่การออกเสียงยังต้องพัฒนาต่อไป
ตัดต่อ
ช่วงโหมโรง เนื่อยช้า พอเข้าองก์ที่ 1 เดินเรื่องกำลังดีไปจนจบเรื่อง ฉากแถมท้ายเรื่องประทับใจ
CG
เนียน ดูกลมกลืน ไม่หลอกตา ทำให้การย้อนยุคง่ายขึ้นในพ.ศ.นี้
บท
เขียนได้ดี มีจุดให้ลุ้น เดาเรื่องไม่ง่าย แม้จะรู้ว่าต้องจบแบบสุขนาฏกรรม แต่ความประทับใจ
ในความทรงจำที่ยาวนาน ถ่ายทอดได้กินใจ อิ่มใจ ดูแล้วไม่อารมณ์ค้างแบบบางค่ายที่ชอบทำ
กำกับการแสดง
แม้จะมีภาษาเป็นอุปสรรคแต่ผกก. ถ่ายทอดออกมาได้ดี ดูเป็นอุษาคเนย์ ไม่ใช่ฝรั่งสวมชฎา
เคารพในวัฒนธรรมเพื่อนบ้าน ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ซึ่งคนพม่าไม่ได้คิดว่าคนไทยเป็นศัตรูคู่อาฆาตแต่อย่างใด
การเปิดใจของทางเรา ทำให้เห็นมิตรจิตมิตรใจของกันและกัน ชาวโยเดียที่เทครัวไปอยู่ล้วนคิดถึงถิ่นเดิม
บางหมู่ยังคงสายเลือดบริสุทธิ์ไว้ แต่ไม่ได้รังเกียจคนพม่า เห็นเป็นยักษ์เป็นมาร
การกำกับที่ละเมียด เดินภาพนุ่มนวล การแสดงแบบคลาสิคในยุค 50 ผสานกับการถ่ายทำยุคนี้
บอกเล่าเรื่องราวร่วมสมัยได้ยอดเยี่ยม ควรค่าแก่การส่งประกวด ให้เข้าชิงรางวัลหลายสาขา
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังจะมีภาคต่อ หรือผลงานร่วมทุนกันต่อๆไป
และควรทำแผ่นดีวีดี บลูเรย์ จำหน่าย สมทบทุนบูรณะโบราณสถานโยเดียในพม่าได้ยิ่งดี
ผกก.และคณะจะได้มีกำลังใจสร้างสรรค์ ผลงานคุณภาพให้ดียิ่งๆขึ้นไป
ท้ายนี้ผิดพลาดประการใด ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ขอบคุณครับ
ฯจะหักอื่น ขืนหัก ก็จักได้ หักอาลัย นี้ไม่หลุด สุดจะหัก
สารพัด ตัดขาด ประหลาดนัก แต่ตัดรัก นี้ไม่ขาด ประหลาดใจฯ
นิราศอิเหนา สุนทรภู่
ฯเรื่อยเรื่อยมารอนรอน ทิพากรจะตกต่ำ
สนธยาจะใกล้ค่ำ คำนึงหน้าเจ้าตราตรู
เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง นกบินเฉียงไปทั้งหมู่
ตัวเดียวมาพลัดคู่ เหมือนพี่อยู่ผู้เดียวดาย
เห็นฝูงยูงรำฟ้อน คิดบังอรร่อนรำกราย
สร้อยทองย่องเยื้องชาย เหมือนสายสวาทนาดนวยจร
สาริกามาตามคู่ ชมกันอยู่สู่สมสมร
แต่พี่นี้อาวรณ์ ห่อนเห็นเจ้าเศร้าใจครวญฯ
เห่ชมนก เจ้าฟ้ากุ้ง
ฯเรื่อยเรื่อยมารอนรอน สุริยาจรเข้าสายัณห์
เรื่อรองส่องสีจันทร์ ส่งแสงกล้าน่าพิศวง
ลิ่วลิ่วจันทร์แจ่มฟ้า เหมือนพักตราหน้านวลผจง
สูงสวยรวยรูปทรง ส่งสีเจ้าเท่าสีจันทร์
เอวอ่อนชอ้อนองค์ โฉมอนงค์ทรงสาวสวรรค์
หาไหนไม่เทียมทัน ขวัญเนตรพี่นี้น่ารัก
ขาวสุดพุดจีบจีน เจ้ามีสีนพี่มีศักดิ์
ทั้งวังเขาชังนัก แต่พี่รักเจ้าคนเดียว
นอนนั่งตั้งอาลัย สายสุดใจไม่แลเหลียว
หวังชมสมกลมเกลียว ควรฤาน้องข้องใจเคืองฯ
เห่ครวญ เจ้าฟ้ากุ้ง
ฯฝนตกฝนหากตก แก้วกับอกอย่าโกรธฝน
ลมพัดรับขวัญบน แก้วโกมลมานอนเนา
ฝนตกไม่ทั่วฟ้า เยนแหล่งหล้าในภูเขา
ไม่เยนในอกเรา เพราะเพื่อนเคล้าเจ้าอยู่ไกล
เรียมร่ำน้ำตาตก อกร้อนรุ่มดังสุมไฟ
แสนคนึงถึงสายใจ เจ้าไกลสวาทนิราศเรียมฯ
เห่ครวญ เจ้าฟ้ากุ้ง
เจ้ารักพี่ พี่ก็รู้ อยู่ว่ารัก
พี่ไม่ทัก เจ้าก็รู้ หาได้ขืน
เจ้าคารม พี่ก็ชม ว่าเลื่องลือ
พี่ก็อือ ถือว่าเจ้า สนิทใจ
เจ้าช่างเขียน พี่ก็เรียน รู้ความอ่าน
พี่ไม่ถาม เจ้าก็ตาม คอยส่งให้
เจ้าแค่มี พี่รู้ดี ที่เป็นไป
พี่เก็บไว้ เจ้าหวังได้ ใจมั่นคง
เจ้าคิดถึง พี่ก็ซึ้ง ใจยิ่งกว่า
พี่มีค่า เจ้ามองมา หาใช่หลง
เจ้าเชื่อใจ พี่อยู่ไกล ใฝ่ซื่อตรง
พี่ยืนยง เจ้าคงมั่น นิรันดร์เอย
ดัดแปลงจาก ใจ...เจ้า โดย ชมพูพันธุ์ทิพย์
สุนทรภู่ ขุนช้างขุนแผน ตอน กำเนิดพลายงาม