สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นพนักงานของร้านเบเกอรี่ร้านนึง ซึ่งตอนนี้เกิดปัญหาขึ้น เนื่องจากว่า เจ้าของร้านได้ถูกตื้อให้ไปร่วมลงทุนแบบปากเปล่า กับร้านสเต็กคู่ร้านน้ำ พิกัดประชาสงเคราะห์
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง อาจมีเสริมแต่งเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้นบ้าง แต่ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากเหตุการณ์จริง
เดิมทีร้านเบเกอรี่ของเราตั้งตู้อยู่หน้าร้านสเต็กโดยเช่าพื้นที่หน้าร้าน
ด้านในเป็นร้านสเต็ก ด้านนอกเป็นร้านน้ำ มีตู้เค้กข้างๆ
เรื่องเกิดจาก
เมื่อประมาณวันที่ 2 สิงหาที่ผ่านมา พนักงานทำเค้กคนนึงในร้าน สมมติ ชื่อ นาย ต. ได้แจ้งกับพี่เจ้าของร้านว่า ต้องกลับไปทำบัตรต่างด้าว และไปดูแลแม่ที่ป่วย ขอลาเป็นจำนวน 15 วัน แต่พี่เจ้าของร้านเบเกอรี่ ให้เวลา 1 เดือนเพราะความสงสาร นาย ต.บอกว่าต้องเดินทางวันที่ 3 ตอนเย็นจองตั๋วไว้แล้ว
ปรากฏว่าวันที่ 5 เราได้ยินเจ้าของร้านสเต็กคุยกับลูกน้องในร้านว่าจะเอาเค้กไปเป็นของขวัญวันเกิดคนๆนึง บทสนทนาคร่าวๆคือ (เรามาประจำสาขานี้ ต้องนั่งด้านในเพราะด้านนอกเหม็นมาก)
จขร : วันนี้พี่ไปวันเกิดเพื่อนนะคะ ฝากดูร้านด้วยนะ
ลูกน้อง : ซื้อเค้กรึยังคะพี่ ซื้อเค้กร้านข้างหน้าไปมั้ย
จขร : กำลังทำจ้า เนี่ย...พี่ให้ ต.แต่งหน้าเค้กอยู่
ลูกค้า : เดี๋ยวนี้ทำเค้กเองแล้วเหรอคะเถ้าแก่
จขร : ใช่ค่า เพิ่งจะได้สูตรมา ..เนี่ยให้ลูกน้องแต่งหน้าเค้กอยู่ ต่อไปสั่งทำเค้กได้นะคะ
เรานั่งฟัง ก็เอะใจ.... นาย ต. ใช่ พี่ ต.ที่ขอลาไปดูอาการแม่มั้ยเนี่ย ก็เงียบไว้ ตอนนั้นเป็นช่วงบ่าย
และแล้วเย็นนั้นเอง นาย ต.เดินเข้าร้านสเต็กสาขาที่เราประจำอยู่ พร้อมกับถือกล่องเค้กมาค่ะ เราเงียบ...คิดว่าคงไปซื้อมา ยังไม่คิดมาก พอเห็นหน้าเค้กเท่านั้นแหละ เราขึ้นเลย...เพราะมันเหมือนของที่เราขายทุกอย่าง เราเลยบอกพี่เจ้าของร้าน และขอให้พี่เขาเงียบไว้ แต่ว่าคนในร้านคนอื่นดันไปถามเรื่องเค้กกับ นาย ต. ทำให้วันต่อมา...
จขร เดินมาพร้อมกับ นาย ต. ซึ่ง นาย ต.ถือกล่องเฟรนฟรายเข้ามา พอวางลังปุ๊บ จขร เรียกชื่อเราทันที
จขร : น้องคะ...เนี่ย..พี่ให้ ต.เขายกลังเฟรนฟรายมานะลูก เฟรยฟรายนะคะไม่ใช่กล่องเค้กนะ มาดูได้ค่ะลูก
เรา : อ๋อ...ค่ะ
จขร : เนี้ย เดี๋ยวพี่จะให้ ต. ไปยกลังแฮมท้ายรถมา ลังแฮมนะคะ ต. อุ้ย..แต่ ต.มันคนซื่อ คงไม่รู้หรอกว่าลังแฮมคืออันไหน พี่ล่ะสงสารเขา
เรา : (ยิ้มแล้วเงียบค่ะ ในใจนี่คิดเลย...เขาจะโง่ขนาดไม่รู้จักลังแฮมเลยเหรอ)
และคืนนั้น พี่เจ้าของร้านที่เป็นเจ้านายเราก็ไปคุยกับเจ้าของร้านสเต็ก
ระเบียบของร้านเราคือ ตอนเช้าต้องไปรายงานตัว ไม่เกิน 10.45น. และหลังจากปิดร้านย่อยของแค่ละสาขา ก็ต้องกลับเอาสมุดประจำร้านไปให้พี่เขาเช็คทุกวัน ประมาณเที่ยงคืน เรากลับร้านตามปกติ พี่เจ้าของคุยกับ พนง อยู่
พี่เจ้าของร้านบอกว่า เจ้าของร้านสเต็ก เกลียดเรา ไม่ชอบเรา เพราะว่าเราเอาความลับภายในร้านไปเปิดเผย แล้วก็ชอบไปยุ่งในร้านเขา
(ช่วยเขารับลูกค้าเวลาคนมาเยอะๆ ถามว่ารับน้ำอะไรตักน้ำแข็ง ช่วยเสิร์ฟอาหาร)
แล้วเจ้าของร้านสเต็กก็บ่นว่า เนี่ย..ทีร้านเค้กไปทานข้าว ลูกน้องพี่ต้องขายเค้กให้ ทำไมลูกค้าน้ำมา(พวกชากาแฟ)เราถึงไม่ทำให้เขาบ้าง
อ้าว...เรามาขายเค้กค่ะ เราไม่รู้สูตรน้ำ ให้เราขายยังไงล่ะคะ ชงได้นะ แต่ทานได้มั้ยอีกเรื่องเลย
พี่เจ้าของร้านเลยถามว่า อย่างงี้ต้องเอาลูกน้องไปเทรนน้ำก่อนมาขายเค้กเหรอพี่ เจ้าของร้านสเต็กก็เงียบ บอกว่าพวกเราไร้น้ำใจ
พร้อมกับเสนอ ให้เอาสูตรเค้กทั้งหมดไปให้เขา เขาจะให้ลูกน้องทำเอง แต่จ่ายค่าเฟรนไซน์ให้ พี่เจ้าของร้านเราไม่ไว้ใจ เลยลองสืบ ปรากฏว่า ร้านน้ำที่ตั้งอยู่หน้าร้านนาง ก็โกงเพื่อนสนิทตัวเองมาอีกที ด้วยการยืมเงินร้านน้ำมาเปิดร้านสเต็ก แล้วพอตัวเองทำเป็นก็ถอนเพื่อนออกจากร้าน
ส่วนร้านสเต็กของนางเองนั้น ซื่อเฟรนไซน์ สเต็กลุงใหญ่มา หลังจากทำเป็น นางก็ยกเลิกสัญญา เปลี่ยนชื่อร้าน (ตอนนี้มี 2 สาขา ชื่อขึ้นต้นตัว s คล้ายร้านบุฟเฟ่ต์สเต็กชื่อดัง)
วันต่อมาเราเลยหาเช่าหน้าร้าน ร้านใกล้เคียงอื่นๆเพราะรู้สึกว่า อีกหน่อยคนๆนี้ต้องหาทางไล่พวกเราออกจากหน้าร้านแน่ ดูจากอะไรหลายอย่าง เราเลยเลี่ยงการปะทะกับนางตรงๆเพราะยังหาที่ลงร้านไม่ได้ ซึ่งปกติแล้วเราประจำอยู่ ซ.5 แต่ต้องย้ายไปอยู่ ซ.13 (ซ.5 เราหาที่ได้แล้ว ซ.13ยังหาไม่ได้) เราเลยไปสอบถามคนแถวนั้น ทำให้รู้ว่า
ที่ตรงนั้น คิดรวม2ตู้ (ตู้น้ำของนาง1 แต่ไม่เปิดขาย และตู้เค้กของเรา1) รวมแล้ว 7,000 บาท ค่าน้ำไฟน่าจะต่างหาก เราเลยถามร้านข้างๆกัน ทั้งแถบว่า ปดติเข่าหน้าร้านเท่าไหร่ คำตอบที่เราได้ทำเราอึ้ง เพราะทุกคนเช่า พท.ในราคา 3,500 บาทรวมน้ำไฟ
เราเลยถามพี่เจ้าของร้านเราว่า ปกติพี่จ่ายเท่าไหร่ พี่เราตอบว่า เช่าหน้าร้าน 3 ที่ ที่ละ 6,500 บาท เพราะนางเป็นคนหาที่ ทำสัญญาแล้วให้เราเช่าหน้าร้านต่ออีกที
ร้านเราจ่ายค่าเช่าทุกเดือนในวันที่ 1 (6,500*3)ด้วยการโอน
และก็เป็นไปดังที่คาดการณ์ไว้
เพราะเมื่อวันที่ 24 ที่ผ่านมา นางได้ส่งข้อความอินบ็อกซ์ของร้านมาว่า "ให้ย้ายตู้เค้กออก ไม่งั้นนางจะตัดไฟ)
วันที่ 25 พี่เจ้าของร้านหัวหมุนเรื่องที่ เรื่องตู้ จากตกลงกันไว้ว่า รอย้ายพร้อมกันวันที่ 1 เพราะค่าเช่าจ่ายไปแล้วก็ขอใช้ที่ให้คุ้ม กลายเป็นต้องเร่งทุกอย่างหมด
พี่เจ้าของร้านเราถามนางว่าจะทำเค้กเหรอ นางตอบว่ายังไม่ทำ
พอย้ายเสร็จ (25/08) นางก็เอาตู้เค้กมาลง (27/08 ) ด้วยหน้าตาชื่นบาน
เราควรทำยังไงดีคะ พอจะมีอะไรที่ช่วยทำให้คนแบบนี้สำนึกได้บ้างคะ
สิ่งที่เรารู้ตอนนี้คือ
1.แรงงานต่างด้าวในร้านของนางเยอะมาก
2.ภายในร้านสกปรกมาก
(เราเจอแมลงสาปวิ่งผ่านขาลูกค้า เรารีบบอกให้เขาจัดการ เขาตอบกลับมาว่า ปล่อยมัน มันก็วิ่งทั่วร้านนั่นแหละ)
3.ทำเค้กออกจำหน่ายโดยไม่มี อย.
4.พท.ที่นางเช่า โกงภาษี
อาจจะมีเยอะกว่านี้ แต่เราขอเล่าแค่นี้นะคะ
รบกวนช่วยแชร์ให้เราด้วยนะคะ เรายอมรับว่าเราแค้นนางมากๆที่ทำแบบนี้ ตอนแรกว่าจะปล่อย แต่พอโดนแซะหนักเข้า เราเลยต้องมาขอระบายและขอคำปรึกษาในนี้
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกความคิดเห็นค่ะ
หากแท็กผิดห้องต้องขออภัยด้วยค่ะ
ควรทำยังไงกับคนหน้าด้านแบบนี้ดีคะ (เกี่ยวกับธุรกิจ)
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง อาจมีเสริมแต่งเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้นบ้าง แต่ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากเหตุการณ์จริง
เดิมทีร้านเบเกอรี่ของเราตั้งตู้อยู่หน้าร้านสเต็กโดยเช่าพื้นที่หน้าร้าน
ด้านในเป็นร้านสเต็ก ด้านนอกเป็นร้านน้ำ มีตู้เค้กข้างๆ
เรื่องเกิดจาก
เมื่อประมาณวันที่ 2 สิงหาที่ผ่านมา พนักงานทำเค้กคนนึงในร้าน สมมติ ชื่อ นาย ต. ได้แจ้งกับพี่เจ้าของร้านว่า ต้องกลับไปทำบัตรต่างด้าว และไปดูแลแม่ที่ป่วย ขอลาเป็นจำนวน 15 วัน แต่พี่เจ้าของร้านเบเกอรี่ ให้เวลา 1 เดือนเพราะความสงสาร นาย ต.บอกว่าต้องเดินทางวันที่ 3 ตอนเย็นจองตั๋วไว้แล้ว
ปรากฏว่าวันที่ 5 เราได้ยินเจ้าของร้านสเต็กคุยกับลูกน้องในร้านว่าจะเอาเค้กไปเป็นของขวัญวันเกิดคนๆนึง บทสนทนาคร่าวๆคือ (เรามาประจำสาขานี้ ต้องนั่งด้านในเพราะด้านนอกเหม็นมาก)
จขร : วันนี้พี่ไปวันเกิดเพื่อนนะคะ ฝากดูร้านด้วยนะ
ลูกน้อง : ซื้อเค้กรึยังคะพี่ ซื้อเค้กร้านข้างหน้าไปมั้ย
จขร : กำลังทำจ้า เนี่ย...พี่ให้ ต.แต่งหน้าเค้กอยู่
ลูกค้า : เดี๋ยวนี้ทำเค้กเองแล้วเหรอคะเถ้าแก่
จขร : ใช่ค่า เพิ่งจะได้สูตรมา ..เนี่ยให้ลูกน้องแต่งหน้าเค้กอยู่ ต่อไปสั่งทำเค้กได้นะคะ
เรานั่งฟัง ก็เอะใจ.... นาย ต. ใช่ พี่ ต.ที่ขอลาไปดูอาการแม่มั้ยเนี่ย ก็เงียบไว้ ตอนนั้นเป็นช่วงบ่าย
และแล้วเย็นนั้นเอง นาย ต.เดินเข้าร้านสเต็กสาขาที่เราประจำอยู่ พร้อมกับถือกล่องเค้กมาค่ะ เราเงียบ...คิดว่าคงไปซื้อมา ยังไม่คิดมาก พอเห็นหน้าเค้กเท่านั้นแหละ เราขึ้นเลย...เพราะมันเหมือนของที่เราขายทุกอย่าง เราเลยบอกพี่เจ้าของร้าน และขอให้พี่เขาเงียบไว้ แต่ว่าคนในร้านคนอื่นดันไปถามเรื่องเค้กกับ นาย ต. ทำให้วันต่อมา...
จขร เดินมาพร้อมกับ นาย ต. ซึ่ง นาย ต.ถือกล่องเฟรนฟรายเข้ามา พอวางลังปุ๊บ จขร เรียกชื่อเราทันที
จขร : น้องคะ...เนี่ย..พี่ให้ ต.เขายกลังเฟรนฟรายมานะลูก เฟรยฟรายนะคะไม่ใช่กล่องเค้กนะ มาดูได้ค่ะลูก
เรา : อ๋อ...ค่ะ
จขร : เนี้ย เดี๋ยวพี่จะให้ ต. ไปยกลังแฮมท้ายรถมา ลังแฮมนะคะ ต. อุ้ย..แต่ ต.มันคนซื่อ คงไม่รู้หรอกว่าลังแฮมคืออันไหน พี่ล่ะสงสารเขา
เรา : (ยิ้มแล้วเงียบค่ะ ในใจนี่คิดเลย...เขาจะโง่ขนาดไม่รู้จักลังแฮมเลยเหรอ)
และคืนนั้น พี่เจ้าของร้านที่เป็นเจ้านายเราก็ไปคุยกับเจ้าของร้านสเต็ก
ระเบียบของร้านเราคือ ตอนเช้าต้องไปรายงานตัว ไม่เกิน 10.45น. และหลังจากปิดร้านย่อยของแค่ละสาขา ก็ต้องกลับเอาสมุดประจำร้านไปให้พี่เขาเช็คทุกวัน ประมาณเที่ยงคืน เรากลับร้านตามปกติ พี่เจ้าของคุยกับ พนง อยู่
พี่เจ้าของร้านบอกว่า เจ้าของร้านสเต็ก เกลียดเรา ไม่ชอบเรา เพราะว่าเราเอาความลับภายในร้านไปเปิดเผย แล้วก็ชอบไปยุ่งในร้านเขา
(ช่วยเขารับลูกค้าเวลาคนมาเยอะๆ ถามว่ารับน้ำอะไรตักน้ำแข็ง ช่วยเสิร์ฟอาหาร)
แล้วเจ้าของร้านสเต็กก็บ่นว่า เนี่ย..ทีร้านเค้กไปทานข้าว ลูกน้องพี่ต้องขายเค้กให้ ทำไมลูกค้าน้ำมา(พวกชากาแฟ)เราถึงไม่ทำให้เขาบ้าง
อ้าว...เรามาขายเค้กค่ะ เราไม่รู้สูตรน้ำ ให้เราขายยังไงล่ะคะ ชงได้นะ แต่ทานได้มั้ยอีกเรื่องเลย
พี่เจ้าของร้านเลยถามว่า อย่างงี้ต้องเอาลูกน้องไปเทรนน้ำก่อนมาขายเค้กเหรอพี่ เจ้าของร้านสเต็กก็เงียบ บอกว่าพวกเราไร้น้ำใจ
พร้อมกับเสนอ ให้เอาสูตรเค้กทั้งหมดไปให้เขา เขาจะให้ลูกน้องทำเอง แต่จ่ายค่าเฟรนไซน์ให้ พี่เจ้าของร้านเราไม่ไว้ใจ เลยลองสืบ ปรากฏว่า ร้านน้ำที่ตั้งอยู่หน้าร้านนาง ก็โกงเพื่อนสนิทตัวเองมาอีกที ด้วยการยืมเงินร้านน้ำมาเปิดร้านสเต็ก แล้วพอตัวเองทำเป็นก็ถอนเพื่อนออกจากร้าน
ส่วนร้านสเต็กของนางเองนั้น ซื่อเฟรนไซน์ สเต็กลุงใหญ่มา หลังจากทำเป็น นางก็ยกเลิกสัญญา เปลี่ยนชื่อร้าน (ตอนนี้มี 2 สาขา ชื่อขึ้นต้นตัว s คล้ายร้านบุฟเฟ่ต์สเต็กชื่อดัง)
วันต่อมาเราเลยหาเช่าหน้าร้าน ร้านใกล้เคียงอื่นๆเพราะรู้สึกว่า อีกหน่อยคนๆนี้ต้องหาทางไล่พวกเราออกจากหน้าร้านแน่ ดูจากอะไรหลายอย่าง เราเลยเลี่ยงการปะทะกับนางตรงๆเพราะยังหาที่ลงร้านไม่ได้ ซึ่งปกติแล้วเราประจำอยู่ ซ.5 แต่ต้องย้ายไปอยู่ ซ.13 (ซ.5 เราหาที่ได้แล้ว ซ.13ยังหาไม่ได้) เราเลยไปสอบถามคนแถวนั้น ทำให้รู้ว่า
ที่ตรงนั้น คิดรวม2ตู้ (ตู้น้ำของนาง1 แต่ไม่เปิดขาย และตู้เค้กของเรา1) รวมแล้ว 7,000 บาท ค่าน้ำไฟน่าจะต่างหาก เราเลยถามร้านข้างๆกัน ทั้งแถบว่า ปดติเข่าหน้าร้านเท่าไหร่ คำตอบที่เราได้ทำเราอึ้ง เพราะทุกคนเช่า พท.ในราคา 3,500 บาทรวมน้ำไฟ
เราเลยถามพี่เจ้าของร้านเราว่า ปกติพี่จ่ายเท่าไหร่ พี่เราตอบว่า เช่าหน้าร้าน 3 ที่ ที่ละ 6,500 บาท เพราะนางเป็นคนหาที่ ทำสัญญาแล้วให้เราเช่าหน้าร้านต่ออีกที
ร้านเราจ่ายค่าเช่าทุกเดือนในวันที่ 1 (6,500*3)ด้วยการโอน
และก็เป็นไปดังที่คาดการณ์ไว้
เพราะเมื่อวันที่ 24 ที่ผ่านมา นางได้ส่งข้อความอินบ็อกซ์ของร้านมาว่า "ให้ย้ายตู้เค้กออก ไม่งั้นนางจะตัดไฟ)
วันที่ 25 พี่เจ้าของร้านหัวหมุนเรื่องที่ เรื่องตู้ จากตกลงกันไว้ว่า รอย้ายพร้อมกันวันที่ 1 เพราะค่าเช่าจ่ายไปแล้วก็ขอใช้ที่ให้คุ้ม กลายเป็นต้องเร่งทุกอย่างหมด
พี่เจ้าของร้านเราถามนางว่าจะทำเค้กเหรอ นางตอบว่ายังไม่ทำ
พอย้ายเสร็จ (25/08) นางก็เอาตู้เค้กมาลง (27/08 ) ด้วยหน้าตาชื่นบาน
เราควรทำยังไงดีคะ พอจะมีอะไรที่ช่วยทำให้คนแบบนี้สำนึกได้บ้างคะ
สิ่งที่เรารู้ตอนนี้คือ
1.แรงงานต่างด้าวในร้านของนางเยอะมาก
2.ภายในร้านสกปรกมาก
(เราเจอแมลงสาปวิ่งผ่านขาลูกค้า เรารีบบอกให้เขาจัดการ เขาตอบกลับมาว่า ปล่อยมัน มันก็วิ่งทั่วร้านนั่นแหละ)
3.ทำเค้กออกจำหน่ายโดยไม่มี อย.
4.พท.ที่นางเช่า โกงภาษี
อาจจะมีเยอะกว่านี้ แต่เราขอเล่าแค่นี้นะคะ
รบกวนช่วยแชร์ให้เราด้วยนะคะ เรายอมรับว่าเราแค้นนางมากๆที่ทำแบบนี้ ตอนแรกว่าจะปล่อย แต่พอโดนแซะหนักเข้า เราเลยต้องมาขอระบายและขอคำปรึกษาในนี้
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกความคิดเห็นค่ะ
หากแท็กผิดห้องต้องขออภัยด้วยค่ะ