ตอนที่เรายังทำงานในหน่วยงานเอกชน เราก็ไม่ค่อยเข้าใจจริงๆหรอกว่าทำไมหลายคนถึงอยากทำงานในหน่วยงานรัฐ ทั้งๆที่หลายคนชอบพูดว่า คนทำงานในหน่วยงานรัฐนั้นเป็นพวกเช้าชามเย็นชาม เงินเดือนน้อย การเมืองภายในรุนแรง ไม่ก้าวหน้าเหมือนหน่วยงานเอกชน ฯลฯ แต่เวลามีหน่วยงานรัฐเปิดรับสมัครสอบทีไร ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้างชั่วคราวก็ตาม ก็จะมีคนแห่ไปสมัครกันเป็นพัน-แสนคน ต้องผ่านการสอบแข่งขันทั้งภาค ก. - ภาค ค.(บางที่ก็ไม่ได้สอบตามนี้) แถมมีค่าสมัครอีกหลายร้อยบาท แม้ว่าหน่วยงานนั้นจะรับไม่ถึง 10 คนก็ตาม แม้แต่คนที่สอบได้แล้ว ก็ต้องมาลุ้นอีกว่าตัวเองจะได้ทำงานในพื้นที่ที่ตัวเองเลือกไว้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ทำอยู่ในพื้นที่ๆตัวเองเลือก แล้วเมื่อไหร่จะได้ย้ายมาอยู่ในที่ๆตัวเองเลือก(ถ้าหน่วยงานนั้นมีสำนักงานอยู่หลายเขต หลายพื้นที่)
แต่คนส่วนใหญ่ที่อยากทำงานในหน่วยงานรัฐ จะให้เหตุผลว่า เพราะความมั่นคง และมีสวัสดิการที่ดีกว่างานเอกชน เราก็เป็นคนหนึ่งที่อยากทำงานในหน่วยงานรัฐเหมือนกัน(ความฝันรองลงมาจากการเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว) เราอยากเป็นข้าราชการเพราะอยากใส่เครื่องแบบข้าราชการ มันดูดีมีเกียรติ ใส่แล้วคงรู้สึกภูมิใจ และก็จะดูเหมือนว่าเราทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อทำกำไรให้เจ้าของบริษัทเหมือนอย่างเอกชน เหตุผลของเราไม่เกี่ยวกับเรื่องสวัสดิการหรือความมั่นคงเลย เพราะเราเป็นคนเปลี่ยนงานบ่อย เรียนจบมา 5 ปีก็เปลี่ยนงานไปแล้ว 5 ที่ เป็นหน่วยงานเอกชนทั้งหมด เราทำงานอยู่แต่ละที่ไม่ถึงปีก็ลาออกแล้ว เราจึงไม่คาดหวังเรื่องความมั่นคงจากหน่วยงานใดๆ(เพราะถึงหน่วยงานจะมั่นคง แต่ถ้าเราอยู่ไม่ทน มันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเรา)
ตอนนี้เรามีโอกาสได้เข้าไปทำงานในหน่วยงานของรัฐ แม้จะไม่ได้เข้าไปในฐานะข้าราชการ(เพราะหน่วยงานนี้ออกนอกระบบราชการไปแล้ว แต่สภาพการทำงานก็ยังเหมือนระบบราชการอยู่) และในความรู้สึกเรา ที่อาจแตกต่างจากคนอื่น คือเราคิดว่าหน่วยงานเอกชนก็ใช่ว่าจะให้ค่าจ้างสูงกว่าหน่วยงานรัฐ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะตั้งแต่เราทำงานมาจนถึงบัดนี้ หน่วยงานที่ให้ค่าจ้างเราสูงที่สุด และให้สวัสดิการมากที่สุด ก็คือหน่วยงานรัฐ ที่เรามีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในตอนนี้นี่เอง(ขอไม่ลงรายละเอียดเรื่องชื่อหน่วยงาน เงินเดือน และสวัสดิการนะ) ตอนที่เราได้งานนี้ เราได้งานเอกชนที่อื่นก่อนแล้ว และกำลังจะเริ่มงานในอีก 2-3 วัน แต่เราตัดสินใจสละทิ้งหน่วยงานเอกชนนั้นไป เพื่อมารับงานของหน่วยงานรัฐแห่งนี้ เราต้องรอทางหน่วยงานทำสัญญาต่างๆให้เราอยู่ตั้ง 1-2 เดือนกว่าจะได้เริ่มเข้าทำงาน แต่พอเราได้เริ่มงานแล้ว ก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับการเลือก และคุ้มค่ากับการรอจริงๆ เพราะบรรยากาศการทำงานมันดีแบบที่เราไม่ได้เจอมานานแล้ว
เราไม่ปฏิเสธหรอกว่าคนทำงานระบบราชการนั้นดูเหมือนจะเช้าชามเย็นชาม แต่จริงๆก็ขึ้นอยู่กับลักษณะงานด้วย บางตำแหน่ง บางแผนกก็ทำงานกันหนักมาก และต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้านด้วย แต่สำหรับงานของเรานั้นอยู่ในฝ่ายสนับสนุน ค่อนข้างสบาย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เป็นงานที่มีเข้ามาเรื่อยๆทุกวัน และก็ทำให้เสร็จในวันนั้นไป ไม่ต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้านหรือที่หอ(แต่เงินเดือนเริ่มต้นของเราก็เท่าๆกับของคนที่ทำงานหนัก) เวลาเข้า-เลิกงานก็เหมือนกับราชการ บางวันอาจต้องกลับช้ากว่าปกติบ้าง แต่ก็ไม่ได้ช้ามาก อีกอย่างนะ แค่ฝ่ายเราฝ่ายเดียวก็มีพนักงานเป็นร้อยๆคนแล้ว และฝ่ายเรายังแบ่งออกเป็นส่วนงานย่อยต่างๆอีก(ไม่ต้องคิดหรอกว่าทั้งหน่วยงานจะมีบุคลากรทั้งหมดกี่คน)
พนักงานและหัวหน้าในฝ่ายเราก็มีนิสัยชิวๆ เป็นกันเอง(พนักงานบางคนก็อายุมากกว่าหัวหน้า บางคนก็อยู่มานานกว่าหัวหน้า) ทุกคนปฏิบัติดีต่อเรา เราเชื่อว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะพนักงานไม่ค่อยมีความเครียดกับงาน จึงดูมีความสุขและเป็นกันเองต่อกัน(เราสังเกตจากตัวเอง เวลาเราเครียด เราก็จะไม่อยากเข้าหาใคร) แถมพวกรุ่นพี่ยังบอกให้เรา 'ทำตัวตามสบาย ไม่ต้องซีเรียส อยู่ให้มีความสุข' เพราะเราเป็นคนไม่ค่อยพูด ออกแนวเด็กเรียน เวลาทำงานก็จะจริงจัง แทบไม่ลุกออกไปไหน และตอนเข้าไปทำงานแรกๆ ก็จะเกร็งๆ แต่ที่นี่รุ่นพี่ใจดี คุยง่าย อยู่ด้วยแล้วค่อนข้างสบายใจ ประกอบกับที่เรามีความรู้สึกรักและภาคภูมิใจในตัวองค์กรอยู่แล้ว ทำให้เราสามารถพูดคุยและร่าเริงกับคนอื่นได้มากขึ้น และเราก็มีความคิดที่จะพัฒนาบุคลิกตัวเองให้เป็นเหมือนพวกรุ่นพี่ในนั้นด้วย(ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนเราทำงานที่อื่น มีคนมากดดันว่าเราต้องเป็นคนบุคลิกอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น เราก็จะเกิดความรู้สึกต่อต้าน คิดว่าทำไมเราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย ในเมื่อเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด และก็ไม่เคยไปขอให้ใครเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย)
-----------------------
เมื่อเทียบกับบรรยากาศในหน่วยงานรัฐดังกล่าว กับบรรดาหน่วยงานเอกชนที่เราเคยทำๆมา ถือว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว ไหนๆแล้วเราก็ขอเล่าถึงหน่วยงานเอกชนทั้งหลายแหล่ที่เราเคยทำงานมาละกัน ว่ามีสภาพการทำงาน สภาพแวดล้อม เงินเดือน สวัสดิการเป็นยังไงบ้าง(ใครขี้เกียจอ่านก็ข้ามได้เลย)
1. งานขายของ ในแผงลอย : นี่เป็นงานแรกเลยตั้งแต่เรียนจบ(เรียนจบปี 56) หลายๆคนก็คงรู้อยู่แล้วว่างานในที่แบบนี้มันไม่เป็นระบบระเบียบ(ใครนึกไม่ออกว่าแผงลอยเป็นยังไง ก็ให้นึกถึงเวลาคุณไปเดินตลาดพลาซ่า แล้วจะเห็นว่าในอาคารมีร้านเล็กๆ หลายร้านตั้งเรียงติดกันอยู่เป็นล็อกๆ) เราได้เงินเดือน 7,000 กว่าๆ สวัสดิการไม่มีอะไรสักอย่าง วันไหนไม่มาทำงานก็ไม่ได้เงิน พอถึงต้นเดือนถัดไปเจ้านายก็จ่ายค่าจ้างให้เป็นเงินสด เจ้านาย 1 คนอายุคราวป้า กับลูกน้องอีก 1-3 คน วันนึงยืนกันเกือบทั้งวัน แทบไม่ได้นั่ง ถ้าลูกน้องทำของในร้านหายก็ต้องชดใช้ มีวันหยุดเดือนละ 1 วัน วันไหนเจ้านายหยุดงานไปเที่ยว ลูกน้องก็ยังต้องมาทำงาน เราทำงานที่นี่ได้ 4 เดือน(จริงๆเราไม่ควรเข้าไปทำตั้งแต่แรกแล้ว งานนี้ไม่เหมาะกับนักศึกษา ป.ตรี เกียรตินิยมเลย แต่เราไปทำเพราะตอนนั้นว่างงาน เพิ่งปิดเทอมได้ 2-3 วันเอง)
2. งานบริการลูกค้า ในห้างสรรพสินค้า : งานนี้ก็ไม่ได้สบายสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่หนักเท่ากับที่แรก เพื่อนร่วมงานใจดี อายุไม่ห่างกันมาก คุยกันง่าย เจ้านายก็ดีบ้างดุบ้าง แต่เขาไม่ค่อยมายุ่งกับเรา เราได้เงินเดือน 9,000 กว่าๆ สวัสดิการก็มีประกันสังคม โอที และวันหยุดชดเชยวันนักขัตฤกษ์(เพราะพนักงานจะไม่ได้หยุดในวันนักขัตฤกษ์) มีวันหยุดสัปดาห์ละ 1 วัน วันหยุดตรงกับวันธรรมดา เราจึงรู้สึกว่าทำงานที่นี่แล้วสบายขึ้น ไม่น่าเบื่อเพราะได้เห็นบรรดาลูกค้าเดินไปเดินมาในห้าง บางทีเราก็ได้เจอเพื่อนและครูบาอาจารย์สมัยเรียนของเรา แต่ข้อเสียคือมันเป็นงานกะ แล้วคนจัดกะก็งี่เง่า โดยการให้พนักงานมาเข้ากะดึกวันนี้ แล้วเข้ากะเช้าพรุ่งนี้(ทำให้พนักงานมีเวลาพักผ่อนน้อย) ห้ามพกโทรศัพท์เข้าที่ทำงาน จะออกไปกินข้าวข้างนอกก็ยาก ต้องไปทำเรื่องต่างๆกับฝ่ายบุคคลอีก(ในห้างมีโรงอาหารพนักงาน แต่บางทีก็อยากออกไปกินข้างนอกบ้าง) บางทีก็เจอลูกค้าเจ้าอารมณ์ไร้เหตุผล พนักงานจะโต้กลับก็ไม่ได้ ผิดกฎ ลูกค้าบางคนพอรู้ว่าเราเรียนจบอะไรมา เขาก็จะพูดประมาณว่าทำไมเรามาทำงานแบบนี้ ทำไมไม่ทำงานที่ดีกว่านี้(ประมาณนี้) เราทำงานนี้ได้ 1 ปีก็ลาออก
3. งานฝ่ายบุคคล ในบริษัทขนาดกลาง : งานที่นี่ไม่ต้องเข้ากะ วันหยุดสัปดาห์ละ 1 วัน วันหยุดตรงกับวันอาทิตย์ เงินเดือน 9,000 กว่าๆเหมือนกัน สวัสดิการก็ปกติ มีประกันสังคม โอที วันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันลา เจ้านายใจดี เพื่อนที่เราคบๆอยู่ก็นิสัยดี งานที่นี่มีทั้งง่ายและยาก ส่วนที่ยากก็จะเกี่ยวกับกฎระเบียบควบคุมพนักงาน เพราะเมื่อก่อนกฎระเบียบที่นี่หละหลวมมาก พนักงานหลายคนก็ละเลยกฎจนชินแล้ว พวกหัวหน้าก็ไม่ได้จัดการอะไร แต่พอเราเข้ามาทำงานนี้ ผู้จัดการบริษัทเกิดอยากจะทำกฎระเบียบให้เข้มงวด เวลาพนักงานทำผิดกฎอะไร ก็โยนให้ฝ่ายบุคคลจัดการหมด แล้วทั้งบริษัทก็มีเราคนเดียวที่เป็นฝ่ายบุคคล บางทีผู้จัดการนึกอยากเปลี่ยนระเบียบการแต่งกายของพนักงานใหม่ ก็เปลี่ยนเลย กลายเป็นเราต้องมาคอยจุกจิกกับพนักงานทั้งๆที่เราไม่อยากทำ เดี๋ยวก็ต้องไปตรวจว่าพนักงานแต่งกายเรียบร้อยไหม ใครทำผิดกฎอะไร หัวหน้าแผนกต่างๆก็เที่ยวมาบอกให้เราออกใบเตือนให้ลูกน้องตัวเอง(ทั้งที่ไม่รู้ว่าหัวหน้าได้มีการคุยกับลูกน้องตัวเองก่อนหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้เป็นคนเห็นพนักงานทำผิด) แล้วเราก็ต้องไปลุยกับพนักงานเองเดี่ยวๆเลย พนักงานพวกนั้นก็จะดื้อ ต่อต้าน และไม่ยอมร่วมมือ(เพราะความเคยตัวไง เมื่อก่อนเคยอยู่สบาย เดี๋ยวนี้มาโดนจู้จี้หยุมหยิม) พวกหัวหน้าและผู้จัดการก็ช่วยอะไรเราไม่ได้เลย แถมยังพยายามยัดงานอื่นเพิ่มให้เราอีก เราเบื่อและเครียดมาก จึงลาออกหลังจากทำงานนี้ได้ 7 เดือน
4. งานธุรการ+โอเปอเรเตอร์ ในบริษัทที่มีโรงงาน : พอย้ายงานมาอยู่แถวๆ กทม. ก็เลยได้เงินเดือนเยอะขึ้นกว่าเดิม คือ 12,000 บาท สวัสดิการก็พอๆกับที่ก่อน วันหยุดคือวันอาทิตย์ และก็เพิ่มวันเสาร์เว้นเสาร์(ใน 1 เดือนจะได้หยุด 2 วัน 2 สัปดาห์) งานดูเหมือนจะง่าย แต่จริงๆจุกจิกมาก แต่ละวันมีคนโทรเข้าบริษัทไม่รู้กี่สาย บนโต๊ะเรามีโทรศัพท์ 2 เครื่อง เราต้องคอยรับสายทั้ง 2 เครื่องเลย เพราะโอเปอเรเตอร์มีเราคนเดียว ต้องพยายามจำเบอร์โทรภายในของทุกๆคนในบริษัท(บอกเลยว่าเราจำไม่ค่อยได้หรอก) และก็ทำงานธุรการไปด้วย บางทีก็ช่วยงานของคนอื่นอีก เจ้านายเป็นผุ้หญิงใจร้อน อารมณ์เสียง่าย พนักงานบางคนก็ชอบทำตัวกร่าง ถือว่าตัวเองอายุมากกว่าและรู้อะไรมากกว่าเรา ตอนพักเที่ยงเราก็ต้องกินข้าวคนเดียวในโรงอาหาร(ไปไหนไม่ได้ เพราะไม่มีรถ และบริษัทก็ตั้งอยู่ในทำเลเปลี่ยวๆ ถ้าจะเดินออกจากบริษัทไปหาอะไรกินแถวชุมชน ก็ต้องใช้เวลาเดินนาน เราต้องเตรียมข้าวไปเองตั้งแต่เช้า) เราต้องกินข้าวตอน 11 โมง ในขณะที่คนอื่นๆไปกินกันตอน 12 โมง เพราะเวลาที่คนอื่นกินข้าว เราจะต้องอยู่ที่โต๊ะทำงาน และเวลาบริษัทมีกิจกรรม เช่น อบรม หรือร่วมสดุดีวันพ่อ/วันแม่ ที่ด้านหน้าบริษัท เราก็ไม่ได้ไปร่วมกับเขา เพราะต้องอยู่ประจำโต๊ะตัวเอง) แบบนี้ทำให้เรารู้สึกแปลกแยกจากคนอื่น และเรารู้สึกว่าตัวเองอาจไม่ผ่านโปร(เพราะเรามีลางานด้วย ญาติเราเสียพอดี) พอเราทำงานได้ 2 เดือน เราก็ลาออกเลย
5. งาน Payroll ในบริษัทขนาดใหญ่ : บริษัทเราเป็นเอาท์ซอร์สให้แก่บริษัทอื่นๆ เงินเดือน 15,000 บาท วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ สวัสดิการดีกว่าที่ก่อนๆ พนักงานที่นี่ต้องอยู่เลยเวลากันบ่อย เพราะงานหนัก และก็เป็นงานที่ต้องเร่งรีบทำ แต่บริษัทไม่มีเงินค่าโอทีให้พนักงาน มีแต่เบี้ยขยัน(ให้แทนโอที แต่ไม่มากเท่าโอที และเบี้ยขยันจะเริ่มนับเวลาตั้งแต่ 20:30 น. ทั้งที่เวลาเลิกงานปกติคือ 17:30 น.) ค่าอาหาร และค่ารถแท็กซี่(เฉพาะสำหรับคนที่กลับรถแท็กซี่ แต่เราไม่ค่อยกลับรถแท็กซี่ เพราะรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย) งานไม่ได้ยุ่งทั้งเดือน ของเราจะยุ่งในช่วงครึ่งเดือนหลัง เพราะเราได้รับผิดชอบแต่บริษัทที่จ่ายเงินเดือนพนักงานช่วงปลายเดือนทั้งนั้นเลย หลายบริษัทด้วย งานโอเวอร์โหลดสุดๆ งานที่ต้องตรวจสอบจำนวนเงิน มีเวลาให้ทำก็น้อยนิด เราเครียดมาก ต้องมาเร่งทำ ก็มีทำผิดบ้างเหมือนกัน ทำแล้วไม่ถูกใจคนตรวจ(คนตรวจก็คือคนในทีมเรานั่นแหละ) เราโดนบ่น โดนใส่อารมณ์ตลอดเลย วันนึงมีช่วงเวลาดีๆเฉพาะตอนออกไปพักเที่ยงเท่านั้น(เพราะไปกับเพื่อนที่เข้ากันได้ดี) ส่วนช่วงครึ่งเดือนแรกเราจะว่างมาก แต่ว่างแล้วก็ใช่ว่าจะดี เพราะบริษัทบังคับให้พนักงานบันทึก time sheet ว่าในแต่ละวันทำอะไรไปบ้าง ต้องบันทึกให้ครบ 8 ชั่วโมง แต่ตอนเราว่างงานก็ไม่รู้จะบันทึกอะไร ก็จำเป็นต้องเฟคไป บันทึกเสร็จแล้วต้องส่งให้รุ่นพี่ตรวจ รุ่นพี่ก็คอยจับผิดตลอด บางทีก็บ่นเราว่าทำไมไม่ไปช่วยงานคนอื่น(ช่วงที่เรางานยุ่ง เราก็ยุ่งแทบตาย ไม่มีใครมาช่วยเหมือนกัน และคนอื่นก็ไม่ได้ขอให้เราช่วยงานด้วย) แถมที่นี่ประเมินผลการทำงานพนักงานได้โหด ใครเป็นคนเงียบๆ พูดไม่เก่ง จะอยู่ยาก เพราะที่นี่ทำงานเป็นทีม เราทำงานที่นี่ได้ 11 เดือนก็ลาออก และต้องไปพบจิตแพทย์เลย
-----------------------
พอแค่นี้ล่ะ เต็มโควต้าพิมพ์กระทู้แล้ว เราหวังแค่ว่าเราจะมีความสุขกับงานปัจจุบันได้ตลอดไป
เข้าใจแล้ว ว่าทำไมหลายคนถึงอยากทำงานในหน่วยงานรัฐ มันดีอย่างนี้นี่เอง
แต่คนส่วนใหญ่ที่อยากทำงานในหน่วยงานรัฐ จะให้เหตุผลว่า เพราะความมั่นคง และมีสวัสดิการที่ดีกว่างานเอกชน เราก็เป็นคนหนึ่งที่อยากทำงานในหน่วยงานรัฐเหมือนกัน(ความฝันรองลงมาจากการเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว) เราอยากเป็นข้าราชการเพราะอยากใส่เครื่องแบบข้าราชการ มันดูดีมีเกียรติ ใส่แล้วคงรู้สึกภูมิใจ และก็จะดูเหมือนว่าเราทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อทำกำไรให้เจ้าของบริษัทเหมือนอย่างเอกชน เหตุผลของเราไม่เกี่ยวกับเรื่องสวัสดิการหรือความมั่นคงเลย เพราะเราเป็นคนเปลี่ยนงานบ่อย เรียนจบมา 5 ปีก็เปลี่ยนงานไปแล้ว 5 ที่ เป็นหน่วยงานเอกชนทั้งหมด เราทำงานอยู่แต่ละที่ไม่ถึงปีก็ลาออกแล้ว เราจึงไม่คาดหวังเรื่องความมั่นคงจากหน่วยงานใดๆ(เพราะถึงหน่วยงานจะมั่นคง แต่ถ้าเราอยู่ไม่ทน มันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเรา)
ตอนนี้เรามีโอกาสได้เข้าไปทำงานในหน่วยงานของรัฐ แม้จะไม่ได้เข้าไปในฐานะข้าราชการ(เพราะหน่วยงานนี้ออกนอกระบบราชการไปแล้ว แต่สภาพการทำงานก็ยังเหมือนระบบราชการอยู่) และในความรู้สึกเรา ที่อาจแตกต่างจากคนอื่น คือเราคิดว่าหน่วยงานเอกชนก็ใช่ว่าจะให้ค่าจ้างสูงกว่าหน่วยงานรัฐ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะตั้งแต่เราทำงานมาจนถึงบัดนี้ หน่วยงานที่ให้ค่าจ้างเราสูงที่สุด และให้สวัสดิการมากที่สุด ก็คือหน่วยงานรัฐ ที่เรามีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในตอนนี้นี่เอง(ขอไม่ลงรายละเอียดเรื่องชื่อหน่วยงาน เงินเดือน และสวัสดิการนะ) ตอนที่เราได้งานนี้ เราได้งานเอกชนที่อื่นก่อนแล้ว และกำลังจะเริ่มงานในอีก 2-3 วัน แต่เราตัดสินใจสละทิ้งหน่วยงานเอกชนนั้นไป เพื่อมารับงานของหน่วยงานรัฐแห่งนี้ เราต้องรอทางหน่วยงานทำสัญญาต่างๆให้เราอยู่ตั้ง 1-2 เดือนกว่าจะได้เริ่มเข้าทำงาน แต่พอเราได้เริ่มงานแล้ว ก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับการเลือก และคุ้มค่ากับการรอจริงๆ เพราะบรรยากาศการทำงานมันดีแบบที่เราไม่ได้เจอมานานแล้ว
เราไม่ปฏิเสธหรอกว่าคนทำงานระบบราชการนั้นดูเหมือนจะเช้าชามเย็นชาม แต่จริงๆก็ขึ้นอยู่กับลักษณะงานด้วย บางตำแหน่ง บางแผนกก็ทำงานกันหนักมาก และต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้านด้วย แต่สำหรับงานของเรานั้นอยู่ในฝ่ายสนับสนุน ค่อนข้างสบาย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เป็นงานที่มีเข้ามาเรื่อยๆทุกวัน และก็ทำให้เสร็จในวันนั้นไป ไม่ต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้านหรือที่หอ(แต่เงินเดือนเริ่มต้นของเราก็เท่าๆกับของคนที่ทำงานหนัก) เวลาเข้า-เลิกงานก็เหมือนกับราชการ บางวันอาจต้องกลับช้ากว่าปกติบ้าง แต่ก็ไม่ได้ช้ามาก อีกอย่างนะ แค่ฝ่ายเราฝ่ายเดียวก็มีพนักงานเป็นร้อยๆคนแล้ว และฝ่ายเรายังแบ่งออกเป็นส่วนงานย่อยต่างๆอีก(ไม่ต้องคิดหรอกว่าทั้งหน่วยงานจะมีบุคลากรทั้งหมดกี่คน)
พนักงานและหัวหน้าในฝ่ายเราก็มีนิสัยชิวๆ เป็นกันเอง(พนักงานบางคนก็อายุมากกว่าหัวหน้า บางคนก็อยู่มานานกว่าหัวหน้า) ทุกคนปฏิบัติดีต่อเรา เราเชื่อว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะพนักงานไม่ค่อยมีความเครียดกับงาน จึงดูมีความสุขและเป็นกันเองต่อกัน(เราสังเกตจากตัวเอง เวลาเราเครียด เราก็จะไม่อยากเข้าหาใคร) แถมพวกรุ่นพี่ยังบอกให้เรา 'ทำตัวตามสบาย ไม่ต้องซีเรียส อยู่ให้มีความสุข' เพราะเราเป็นคนไม่ค่อยพูด ออกแนวเด็กเรียน เวลาทำงานก็จะจริงจัง แทบไม่ลุกออกไปไหน และตอนเข้าไปทำงานแรกๆ ก็จะเกร็งๆ แต่ที่นี่รุ่นพี่ใจดี คุยง่าย อยู่ด้วยแล้วค่อนข้างสบายใจ ประกอบกับที่เรามีความรู้สึกรักและภาคภูมิใจในตัวองค์กรอยู่แล้ว ทำให้เราสามารถพูดคุยและร่าเริงกับคนอื่นได้มากขึ้น และเราก็มีความคิดที่จะพัฒนาบุคลิกตัวเองให้เป็นเหมือนพวกรุ่นพี่ในนั้นด้วย(ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนเราทำงานที่อื่น มีคนมากดดันว่าเราต้องเป็นคนบุคลิกอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น เราก็จะเกิดความรู้สึกต่อต้าน คิดว่าทำไมเราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย ในเมื่อเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด และก็ไม่เคยไปขอให้ใครเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย)
-----------------------
เมื่อเทียบกับบรรยากาศในหน่วยงานรัฐดังกล่าว กับบรรดาหน่วยงานเอกชนที่เราเคยทำๆมา ถือว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว ไหนๆแล้วเราก็ขอเล่าถึงหน่วยงานเอกชนทั้งหลายแหล่ที่เราเคยทำงานมาละกัน ว่ามีสภาพการทำงาน สภาพแวดล้อม เงินเดือน สวัสดิการเป็นยังไงบ้าง(ใครขี้เกียจอ่านก็ข้ามได้เลย)
1. งานขายของ ในแผงลอย : นี่เป็นงานแรกเลยตั้งแต่เรียนจบ(เรียนจบปี 56) หลายๆคนก็คงรู้อยู่แล้วว่างานในที่แบบนี้มันไม่เป็นระบบระเบียบ(ใครนึกไม่ออกว่าแผงลอยเป็นยังไง ก็ให้นึกถึงเวลาคุณไปเดินตลาดพลาซ่า แล้วจะเห็นว่าในอาคารมีร้านเล็กๆ หลายร้านตั้งเรียงติดกันอยู่เป็นล็อกๆ) เราได้เงินเดือน 7,000 กว่าๆ สวัสดิการไม่มีอะไรสักอย่าง วันไหนไม่มาทำงานก็ไม่ได้เงิน พอถึงต้นเดือนถัดไปเจ้านายก็จ่ายค่าจ้างให้เป็นเงินสด เจ้านาย 1 คนอายุคราวป้า กับลูกน้องอีก 1-3 คน วันนึงยืนกันเกือบทั้งวัน แทบไม่ได้นั่ง ถ้าลูกน้องทำของในร้านหายก็ต้องชดใช้ มีวันหยุดเดือนละ 1 วัน วันไหนเจ้านายหยุดงานไปเที่ยว ลูกน้องก็ยังต้องมาทำงาน เราทำงานที่นี่ได้ 4 เดือน(จริงๆเราไม่ควรเข้าไปทำตั้งแต่แรกแล้ว งานนี้ไม่เหมาะกับนักศึกษา ป.ตรี เกียรตินิยมเลย แต่เราไปทำเพราะตอนนั้นว่างงาน เพิ่งปิดเทอมได้ 2-3 วันเอง)
2. งานบริการลูกค้า ในห้างสรรพสินค้า : งานนี้ก็ไม่ได้สบายสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่หนักเท่ากับที่แรก เพื่อนร่วมงานใจดี อายุไม่ห่างกันมาก คุยกันง่าย เจ้านายก็ดีบ้างดุบ้าง แต่เขาไม่ค่อยมายุ่งกับเรา เราได้เงินเดือน 9,000 กว่าๆ สวัสดิการก็มีประกันสังคม โอที และวันหยุดชดเชยวันนักขัตฤกษ์(เพราะพนักงานจะไม่ได้หยุดในวันนักขัตฤกษ์) มีวันหยุดสัปดาห์ละ 1 วัน วันหยุดตรงกับวันธรรมดา เราจึงรู้สึกว่าทำงานที่นี่แล้วสบายขึ้น ไม่น่าเบื่อเพราะได้เห็นบรรดาลูกค้าเดินไปเดินมาในห้าง บางทีเราก็ได้เจอเพื่อนและครูบาอาจารย์สมัยเรียนของเรา แต่ข้อเสียคือมันเป็นงานกะ แล้วคนจัดกะก็งี่เง่า โดยการให้พนักงานมาเข้ากะดึกวันนี้ แล้วเข้ากะเช้าพรุ่งนี้(ทำให้พนักงานมีเวลาพักผ่อนน้อย) ห้ามพกโทรศัพท์เข้าที่ทำงาน จะออกไปกินข้าวข้างนอกก็ยาก ต้องไปทำเรื่องต่างๆกับฝ่ายบุคคลอีก(ในห้างมีโรงอาหารพนักงาน แต่บางทีก็อยากออกไปกินข้างนอกบ้าง) บางทีก็เจอลูกค้าเจ้าอารมณ์ไร้เหตุผล พนักงานจะโต้กลับก็ไม่ได้ ผิดกฎ ลูกค้าบางคนพอรู้ว่าเราเรียนจบอะไรมา เขาก็จะพูดประมาณว่าทำไมเรามาทำงานแบบนี้ ทำไมไม่ทำงานที่ดีกว่านี้(ประมาณนี้) เราทำงานนี้ได้ 1 ปีก็ลาออก
3. งานฝ่ายบุคคล ในบริษัทขนาดกลาง : งานที่นี่ไม่ต้องเข้ากะ วันหยุดสัปดาห์ละ 1 วัน วันหยุดตรงกับวันอาทิตย์ เงินเดือน 9,000 กว่าๆเหมือนกัน สวัสดิการก็ปกติ มีประกันสังคม โอที วันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันลา เจ้านายใจดี เพื่อนที่เราคบๆอยู่ก็นิสัยดี งานที่นี่มีทั้งง่ายและยาก ส่วนที่ยากก็จะเกี่ยวกับกฎระเบียบควบคุมพนักงาน เพราะเมื่อก่อนกฎระเบียบที่นี่หละหลวมมาก พนักงานหลายคนก็ละเลยกฎจนชินแล้ว พวกหัวหน้าก็ไม่ได้จัดการอะไร แต่พอเราเข้ามาทำงานนี้ ผู้จัดการบริษัทเกิดอยากจะทำกฎระเบียบให้เข้มงวด เวลาพนักงานทำผิดกฎอะไร ก็โยนให้ฝ่ายบุคคลจัดการหมด แล้วทั้งบริษัทก็มีเราคนเดียวที่เป็นฝ่ายบุคคล บางทีผู้จัดการนึกอยากเปลี่ยนระเบียบการแต่งกายของพนักงานใหม่ ก็เปลี่ยนเลย กลายเป็นเราต้องมาคอยจุกจิกกับพนักงานทั้งๆที่เราไม่อยากทำ เดี๋ยวก็ต้องไปตรวจว่าพนักงานแต่งกายเรียบร้อยไหม ใครทำผิดกฎอะไร หัวหน้าแผนกต่างๆก็เที่ยวมาบอกให้เราออกใบเตือนให้ลูกน้องตัวเอง(ทั้งที่ไม่รู้ว่าหัวหน้าได้มีการคุยกับลูกน้องตัวเองก่อนหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้เป็นคนเห็นพนักงานทำผิด) แล้วเราก็ต้องไปลุยกับพนักงานเองเดี่ยวๆเลย พนักงานพวกนั้นก็จะดื้อ ต่อต้าน และไม่ยอมร่วมมือ(เพราะความเคยตัวไง เมื่อก่อนเคยอยู่สบาย เดี๋ยวนี้มาโดนจู้จี้หยุมหยิม) พวกหัวหน้าและผู้จัดการก็ช่วยอะไรเราไม่ได้เลย แถมยังพยายามยัดงานอื่นเพิ่มให้เราอีก เราเบื่อและเครียดมาก จึงลาออกหลังจากทำงานนี้ได้ 7 เดือน
4. งานธุรการ+โอเปอเรเตอร์ ในบริษัทที่มีโรงงาน : พอย้ายงานมาอยู่แถวๆ กทม. ก็เลยได้เงินเดือนเยอะขึ้นกว่าเดิม คือ 12,000 บาท สวัสดิการก็พอๆกับที่ก่อน วันหยุดคือวันอาทิตย์ และก็เพิ่มวันเสาร์เว้นเสาร์(ใน 1 เดือนจะได้หยุด 2 วัน 2 สัปดาห์) งานดูเหมือนจะง่าย แต่จริงๆจุกจิกมาก แต่ละวันมีคนโทรเข้าบริษัทไม่รู้กี่สาย บนโต๊ะเรามีโทรศัพท์ 2 เครื่อง เราต้องคอยรับสายทั้ง 2 เครื่องเลย เพราะโอเปอเรเตอร์มีเราคนเดียว ต้องพยายามจำเบอร์โทรภายในของทุกๆคนในบริษัท(บอกเลยว่าเราจำไม่ค่อยได้หรอก) และก็ทำงานธุรการไปด้วย บางทีก็ช่วยงานของคนอื่นอีก เจ้านายเป็นผุ้หญิงใจร้อน อารมณ์เสียง่าย พนักงานบางคนก็ชอบทำตัวกร่าง ถือว่าตัวเองอายุมากกว่าและรู้อะไรมากกว่าเรา ตอนพักเที่ยงเราก็ต้องกินข้าวคนเดียวในโรงอาหาร(ไปไหนไม่ได้ เพราะไม่มีรถ และบริษัทก็ตั้งอยู่ในทำเลเปลี่ยวๆ ถ้าจะเดินออกจากบริษัทไปหาอะไรกินแถวชุมชน ก็ต้องใช้เวลาเดินนาน เราต้องเตรียมข้าวไปเองตั้งแต่เช้า) เราต้องกินข้าวตอน 11 โมง ในขณะที่คนอื่นๆไปกินกันตอน 12 โมง เพราะเวลาที่คนอื่นกินข้าว เราจะต้องอยู่ที่โต๊ะทำงาน และเวลาบริษัทมีกิจกรรม เช่น อบรม หรือร่วมสดุดีวันพ่อ/วันแม่ ที่ด้านหน้าบริษัท เราก็ไม่ได้ไปร่วมกับเขา เพราะต้องอยู่ประจำโต๊ะตัวเอง) แบบนี้ทำให้เรารู้สึกแปลกแยกจากคนอื่น และเรารู้สึกว่าตัวเองอาจไม่ผ่านโปร(เพราะเรามีลางานด้วย ญาติเราเสียพอดี) พอเราทำงานได้ 2 เดือน เราก็ลาออกเลย
5. งาน Payroll ในบริษัทขนาดใหญ่ : บริษัทเราเป็นเอาท์ซอร์สให้แก่บริษัทอื่นๆ เงินเดือน 15,000 บาท วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ สวัสดิการดีกว่าที่ก่อนๆ พนักงานที่นี่ต้องอยู่เลยเวลากันบ่อย เพราะงานหนัก และก็เป็นงานที่ต้องเร่งรีบทำ แต่บริษัทไม่มีเงินค่าโอทีให้พนักงาน มีแต่เบี้ยขยัน(ให้แทนโอที แต่ไม่มากเท่าโอที และเบี้ยขยันจะเริ่มนับเวลาตั้งแต่ 20:30 น. ทั้งที่เวลาเลิกงานปกติคือ 17:30 น.) ค่าอาหาร และค่ารถแท็กซี่(เฉพาะสำหรับคนที่กลับรถแท็กซี่ แต่เราไม่ค่อยกลับรถแท็กซี่ เพราะรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย) งานไม่ได้ยุ่งทั้งเดือน ของเราจะยุ่งในช่วงครึ่งเดือนหลัง เพราะเราได้รับผิดชอบแต่บริษัทที่จ่ายเงินเดือนพนักงานช่วงปลายเดือนทั้งนั้นเลย หลายบริษัทด้วย งานโอเวอร์โหลดสุดๆ งานที่ต้องตรวจสอบจำนวนเงิน มีเวลาให้ทำก็น้อยนิด เราเครียดมาก ต้องมาเร่งทำ ก็มีทำผิดบ้างเหมือนกัน ทำแล้วไม่ถูกใจคนตรวจ(คนตรวจก็คือคนในทีมเรานั่นแหละ) เราโดนบ่น โดนใส่อารมณ์ตลอดเลย วันนึงมีช่วงเวลาดีๆเฉพาะตอนออกไปพักเที่ยงเท่านั้น(เพราะไปกับเพื่อนที่เข้ากันได้ดี) ส่วนช่วงครึ่งเดือนแรกเราจะว่างมาก แต่ว่างแล้วก็ใช่ว่าจะดี เพราะบริษัทบังคับให้พนักงานบันทึก time sheet ว่าในแต่ละวันทำอะไรไปบ้าง ต้องบันทึกให้ครบ 8 ชั่วโมง แต่ตอนเราว่างงานก็ไม่รู้จะบันทึกอะไร ก็จำเป็นต้องเฟคไป บันทึกเสร็จแล้วต้องส่งให้รุ่นพี่ตรวจ รุ่นพี่ก็คอยจับผิดตลอด บางทีก็บ่นเราว่าทำไมไม่ไปช่วยงานคนอื่น(ช่วงที่เรางานยุ่ง เราก็ยุ่งแทบตาย ไม่มีใครมาช่วยเหมือนกัน และคนอื่นก็ไม่ได้ขอให้เราช่วยงานด้วย) แถมที่นี่ประเมินผลการทำงานพนักงานได้โหด ใครเป็นคนเงียบๆ พูดไม่เก่ง จะอยู่ยาก เพราะที่นี่ทำงานเป็นทีม เราทำงานที่นี่ได้ 11 เดือนก็ลาออก และต้องไปพบจิตแพทย์เลย
-----------------------
พอแค่นี้ล่ะ เต็มโควต้าพิมพ์กระทู้แล้ว เราหวังแค่ว่าเราจะมีความสุขกับงานปัจจุบันได้ตลอดไป