เพิ่งได้มีโอกาสดูรายการนี้ ฮาคลายเครียดดี แฝงแง่คิด ได้สาระ และเป็นชาวท่าแซะๆ กันเล็กๆ พอเป็นอรรถรส
คลิปนี้ได้แง่คิด ตรงที่ว่า พฤติกรรม "หนี" อาจมองดูได้ว่า "ขี้ขลาด" แต่ผู้ดำเนินรายการคนหนึ่ง ได้ให้แง่คิดไว้ว่า
ในเวลาศึกสงคราม เมื่อจนตรอก มี 3 ทางเลือก
1.ยอมแพ้
2.เจรจา เท่ากับยังแพ้ครึ่งหนึ่ง
3.การหนี ถ้าหนีไปแล้ว ตั้งหลักได้ ที่พ่ายแพ้ ศิโรราบ อาจกลับมาชนะได้
ซึ่งผมก็คิดๆ แล้ว เห็นด้วย เพราะโดยทั่วไป คนเรามักเชิดชู คนที่กล้าเผชิญหน้า อยู่แถวหน้า และนำหน้า บุกทะลวงข้าศึกศัตรูแบบไม่กลัวตาย เป็น "ความกล้าหาญ" และมักจะมองว่า คนที่อยู่ข้างหลัง คนที่หนี เป็น "ความขี้ขลาด" โดยอาจลืมนึกไปว่า "ความขี้ขลาด" ก็สามารถแสดงพลังของความกล้าหาญได้อย่างหนึ่ง เช่น หลบหนีไปเพื่อไปส่งข้อมูลความลับและจุดอ่อนของข้าศึกศัตรู หลบหนีเพื่อล่อให้ศํตรูก้าวเข้ามาสู่กับดัก เป็นต้น
"รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง รู้หนีเป็นชินวัตร" สุดยอดกลยุทธ์ซุนวู ข้อที่36 "การหนี" จากรายการ "เล่าให้รู้เรื่อง"
เพิ่งได้มีโอกาสดูรายการนี้ ฮาคลายเครียดดี แฝงแง่คิด ได้สาระ และเป็นชาวท่าแซะๆ กันเล็กๆ พอเป็นอรรถรส
คลิปนี้ได้แง่คิด ตรงที่ว่า พฤติกรรม "หนี" อาจมองดูได้ว่า "ขี้ขลาด" แต่ผู้ดำเนินรายการคนหนึ่ง ได้ให้แง่คิดไว้ว่า
ในเวลาศึกสงคราม เมื่อจนตรอก มี 3 ทางเลือก
1.ยอมแพ้
2.เจรจา เท่ากับยังแพ้ครึ่งหนึ่ง
3.การหนี ถ้าหนีไปแล้ว ตั้งหลักได้ ที่พ่ายแพ้ ศิโรราบ อาจกลับมาชนะได้
ซึ่งผมก็คิดๆ แล้ว เห็นด้วย เพราะโดยทั่วไป คนเรามักเชิดชู คนที่กล้าเผชิญหน้า อยู่แถวหน้า และนำหน้า บุกทะลวงข้าศึกศัตรูแบบไม่กลัวตาย เป็น "ความกล้าหาญ" และมักจะมองว่า คนที่อยู่ข้างหลัง คนที่หนี เป็น "ความขี้ขลาด" โดยอาจลืมนึกไปว่า "ความขี้ขลาด" ก็สามารถแสดงพลังของความกล้าหาญได้อย่างหนึ่ง เช่น หลบหนีไปเพื่อไปส่งข้อมูลความลับและจุดอ่อนของข้าศึกศัตรู หลบหนีเพื่อล่อให้ศํตรูก้าวเข้ามาสู่กับดัก เป็นต้น