พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒ พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี

กระทู้คำถาม
พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี
             [๑๐๔๕]     ดูกรผุสดีผู้มีรัศมีแห่งผิวพรรณอันประเสริฐ ผู้มีอวัยวะส่วนเบื้องหน้า
                          งาม  เธอจงเลือกเอาพร ๑๐ ประการในปฐพีซึ่งเป็นที่รักแห่งหฤทัยของ
                          เธอ.
             [๑๐๔๖]     ข้าแต่ท้าวเทวราช ข้าพระบาทขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าพระบาทได้ทำ
                          บาปกรรมอะไรไว้หรือ ฝ่าพระบาทจึงให้ข้าพระบาทจุติจากทิพยสถานที่น่า
                          รื่นรมย์ ดุจลมอัดต้นไม้ใหญ่ให้หักไป ฉะนั้น.
             [๑๐๔๗]     บาปกรรมเธอมิได้ทำไว้เลย และเธอไม่เป็นที่รักของเราก็หาไม่ แต่บุญ
                          ของเธอสิ้นแล้วเหตุนั้น เราจึงกล่าวกะเธออย่างนี้ ความตายใกล้เธอ
                          เธอจักต้องพลัดพรากจากไปจงเลือกรับเอาพร ๑๐ ประการนี้แต่เราผู้จะให้.
             [๑๐๔๘]     ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าสัตว์ทั้งปวง ถ้าฝ่าพระบาทจะประทานพร
                          แก่ข้าพระบาทไซร้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ข้าพระบาทพึงเกิดใน
                          พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสีวิราช ข้าแต่ท้าวบุรินททะ ขอให้ข้าพระบาท
                          (๑) พึงเป็นผู้มีจักษุดำเหมือนตาลูกมฤคี (มีอายุ ๑ ขวบปี) ซึ่งมีดวงตา
                          ดำ  (๒) พึงมีขนคิ้วดำ  (๓) พึงเกิดในราชนิเวศน์นั้นมีนามว่าผุสดี
                          (๔) พึงได้พระราชโอรสผู้ให้สิ่งอันประเสริฐ ผู้ประกอบเกื้อกูลในยาจก
                          มิได้ตระหนี่ ผู้อันพระราชาทุกประเทศบูชา  มีเกียรติยศ  (๕) เมื่อ
                          ข้าพระบาททรงครรภ์ขออย่าให้อุทรนูนขึ้น พึงมีอุทรไม่นูน เสมอดัง
                          คันศรที่นายช่างเหลาเกลี้ยงเกลา  (๖) ถันทั้งคู่ของข้าพระบาทอย่าย้อยยาน
                          ข้าแต่ท้าววาสวะ  (๗) ผมหงอกก็อย่าได้มี  (๘) ธุลีก็อย่าได้ติดในกาย
                          (๙) ข้าพระบาทพึงปล่อยนักโทษที่ถึงประหารได้  (๑๐) ข้าแต่พระองค์
                          ผู้เจริญ ขอข้าพระบาทพึงได้เป็นอัครมเหสีที่โปรดปรานของพระราชาใน
                          แว่นแคว้นสีวี  ในพระราชนิเวศน์อันกึกก้องด้วยเสียงร้องของนกยูง
                          และนกกระเรียน พรั่งพร้อมด้วยหมู่วรนารี เกลื่อนกล่นไปด้วยคนเตี้ย
                          และคนค่อม อันพ่อครัวชาวมคธเลี้ยงดูกึกก้องไปด้วยเสียงกลอน และ
                          เสียงบานประตูอันวิจิตร มีคนเชิญให้ดื่มสุราและกินกับแกล้ม.
             [๑๐๔๙]     ดูกรนางผู้งามทั่วสรรพางค์กาย พร ๑๐ ประการ เหล่าใดที่เราให้แก่เธอ
                          เธอจักได้พร ๑๐ ประการเหล่านั้น ในแว่นแคว้นของพระเจ้าสีวิราช.
             [๑๐๕๐]     ครั้นท้าววาสวะมฆวาสุชัมบดีเทวราชตรัสอย่างนี้แล้ว ก็โปรดประทานพร
                          แก่พระนางผุสดีเทพอัปสร.
(นี้) ชื่อว่าทสพรคาถา
             [๑๐๕๑]     พระนางผุสดีเทพอัปสรจุติจากดาวดึงสเทวโลกนั้น  มาบังเกิดในสกุล
                          กษัตริย์  ได้ทรงอยู่ร่วมกับพระเจ้าสญชัยในพระนครเชตุดร  พระนาง
                          ผุสดีทรงครรภ์ถ้วนทสมาส เมื่อทรงทำประทักษิณพระนคร ประสูติเรา
                          ที่ท่ามกลางถนนของพวกพ่อค้า ชื่อของเรามิได้เนื่องแต่พระมารดา และ
                          มิได้เกิดแต่พระบิดา เราเกิดที่ถนนแห่งพ่อค้า เพราะฉะนั้น เราจึงชื่อ
                          ว่า  เวสสันดร เมื่อใด เรายังเป็นทารก มีอายุ ๔ ขวบแต่เกิดมา
                          เมื่อนั้น  เรานั่งอยู่ในปราสาทคิดจะบริจาคทานว่า  เราจะพึงให้หทัย
                          ดวงตา  เนื้อ  เลือด และร่างกาย  เมื่อใครมาขอเรา เราก็ยินดีให้
                          เมื่อเราคิดถึงการบริจาคทานอันเป็นความจริง หฤทัยก็ไม่หวั่นไหวมุ่งมั่น
                          อยู่ในกาลนั้น ปฐพีมีสิเนรุบรรพตและหมู่ไม้เป็นเครื่องประดับ ได้หวั่น
                          ไหว.
             [๑๐๕๒]     พราหมณ์ทั้งหลาย ผู้มีขนรักแร้ดกและมีเล็บยาว  ฟันเขลอะ มีธุลีบน
                          ศีรษะ เหยียดแขนข้างขวาจะขออะไรฉันหรือ.
             [๑๐๕๓]     ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทั้งหลายทูลขอรัตนะเครื่องให้แว่นแคว้น
                          ของชาวสีพีเจริญ ขอได้โปรดพระราชทานช้างตัวประเสริฐ ซึ่งมีงาดุจ
                          งอนไถอันมีกำลังสามารถเถิด พระเจ้าข้า.
             [๑๐๕๔]     เราจะให้ช้างพลายซับมันตัวประเสริฐ ซึ่งเป็นช้างราชพาหนะอันสูงสุด
                          ที่พราหมณ์ทั้งหลายขอเรา เรามิได้หวั่นไหว.
             [๑๐๕๕]     พระราชาผู้ผดุงรัฐสีพีให้เจริญรุ่งเรือง มีพระหฤทัยน้อมไปในการบริจาค
                          เสด็จลงจากคอช้างพระราชทานแก่พราหมณ์ทั้งหลาย.
             [๑๐๕๖]     เมื่อบรมกษัตริย์พระราชทานช้างตัวประเสริฐ (แก่พราหมณ์ทั้ง ๘) แล้ว
                          ในกาลนั้น ความน่าสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้าได้เกิดมี  เมทนีดลก็
                          หวั่นไหว  เมื่อบรมกษัตริย์พระราชทานช้างตัวประเสริฐ  ในกาลนั้น
                          ได้เกิดมีความน่าสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้า ชาวพระนครกำเริบ ในเมื่อ
                          พระเวสสันดรผู้ยังแว่นแคว้นของชาวสีพีให้เจริญพระราชทานช้างตัวประ
                          เสริฐ ชาวบุรีก็เกลื่อนกล่น เสียงอันกึกก้องก็แผ่ไปมากมาย.
             [๑๐๕๗]     ครั้งนั้น เมื่อพระเวสสันดรพระราชทานช้างตัวประเสริฐแล้ว เสียงอื้ออึง
                          น่ากลัวเป็นอันมากก็เป็นไปในนครนั้น  ในกาลนั้นชาวนครก็กำเริบ
                          ครั้งนั้น  ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญรุ่งเรืองพระราชทาน
                          ช้างตัวประเสริฐแล้ว เสียงอื้ออึงน่ากลัวเป็นอันมากก็เป็นไปในนครนั้น.
             [๑๐๕๘]     พวกคนที่มีชื่อเสียง  พระราชบุตร พวกพ่อค้าชาวนา พวกพราหมณ์
                          กองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ ชาวนิคม ชาวสีพีทั้งสิ้นมาประชุม
                          พร้อมกัน พวกเหล่านั้นเห็นพวกพราหมณ์นำพระยาช้างไป ก็กราบทูล
                          แด่พระเจ้ากรุงสัญชัยว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ แว่นแคว้นของ
                          พระองค์ถูกกำจัดแล้ว  เหตุไรพระเวสสันดรของพระองค์ จึงพระราชทาน
                          ช้างตัวประเสริฐของชาวเราทั้งหลาย  อันชาวแว่นแคว้นสักการะบูชา
                          ไฉนพระเวสสันดรราชโอรสจึงพระราชทานพระยากุญชรของชาวเราทั้ง
                          หลายอันมีงางอนงามแกล้วกล้า  สามารถรู้จักเขตแห่งยุทธวิธีทุกอย่าง
                          เป็นช้างเผือกขาวผ่อง  ประเสริฐสุด ปกคลุมด้วยผ้ากัมพลเหลือง
                          กำลังซับมัน  สามารถย่ำยีศัตรูได้ ฝึกดีแล้ว พร้อมทั้งวาลวิชนีมีสีขาว
                          เช่นดังเขาไกรลาศ ไฉนพระเวสสันดรราชโอรสจึงพระราชทานพระยา
                          ช้างราชพาหนะซึ่งเป็นยานชั้นเลิศ เป็นทรัพย์อย่างประเสริฐ พร้อมทั้ง
                          ฉัตรขาว เครื่องลาด หมอช้าง และคนเลี้ยงช้างแก่พวกพราหมณ์.
             [๑๐๕๙]     พระเวสสันดรราชโอรสนั้นควรจะพระราชทาน ข้าว น้ำ ผ้านุ่งผ้าห่ม
                          และที่นั่งที่นอน  สิ่งของเช่นนี้แลสมควรจะพระราชทาน สมควรแก่
                          พวกพราหมณ์ ข้าแต่พระเจ้าสัญชัย ไฉนพระเวสสันดรราชโอรส ผู้
                          เป็นพระราชาโดยสืบพระวงศ์ของพระองค์  ผู้ผดุงสีพีรัฐ จึงทรงพระ
                          ราชทานพระยาคชสารไป ถ้าพระองค์จักไม่ทรงทำตามถ้อยคำของชนชาว
                          สีพี  ชนชาวสีพีก็เห็นจักทำพระองค์พร้อมด้วยพระราชโอรสไว้ในเงื้อม
                          มือ.
             [๑๐๖๐]     ถึงชนบทจะไม่มี และแม้แว่นแคว้นจะพินาศไปก็ตามเถิด เราก็ไม่พึง
                          ขับไล่พระราชบุตรผู้ไม่มีโทษจากแว่นแคว้นของตนตามคำของชาวสีพี
                          เพราะพระราชบุตรเกิดจากอกของเรา ถึงชนบทจะไม่มี  และแม้
                          แว่นแคว้นจะพินาศไปก็ตามเถิด เราก็ไม่พึงขับไล่พระราชบุตรผู้ไม่มีโทษ
                          จากแว่นแคว้นของตน ตามคำของชาวสีพี เพราะพระราชบุตรเกิดแต่
                          ตัวเรา อนึ่ง เราไม่พึงประทุษร้ายในพระราชบุตรนั้น เพราะเธอมีศีล
                          และวัตรอันประเสริฐ แม้คำติเตียนจะพึงมีแก่เรา และเราจะพึงประสบ
                          บาปเป็นอันมาก เราจะให้ฆ่าพระเวสสันดรบุตรของเราด้วยศาตราอย่างไร
                          ได้.
             [๑๐๖๑]     พระองค์อย่าได้รับสั่งให้ฆ่าพระเวสสันดรนั้นด้วยท่อนไม้หรือศาตราเลย
                          ทั้งพระเวสสันดรนั้นก็ไม่ควรแก่เครื่องพันธนาการ  แต่จงทรงขับไล่
                          พระเวสสันดรนั้นเสียจากแว่นแคว้น จงไปอยู่ที่เขาวงกตเถิด.
             [๑๐๖๒]     ถ้าความพอใจของชาวสีพีเช่นนี้  เราก็ไม่ขัด  ขอเธอจงได้อยู่และ
                          บริโภคกามทั้งหลาย ตลอดคืนนี้ ต่อเมื่อสิ้นราตรีแล้ว พระอาทิตย์ขึ้น
                          แล้ว  ชาวสีพีจงพร้อมเพรียงกันขับไล่เธอเสียจากแว่นแคว้นเถิด.
             [๑๐๖๓]     ดูกรนายนักการ ท่านจงลุกขึ้น จงรีบไปทูลพระเวสสันดรว่า ขอเดชะ
                          ชาวสีพี ชาวนิคม พวกคนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร พ่อค้า ชาวนา
                          พราหมณาจารย์ พากันโกรธเคืองมาประชุมกันอยู่แล้ว  กองช้าง กองม้า
                          กองรถ กองเดินเท้า ทั้งชาวนิคมและชาวสีพีทั้งสิ้นมาประชุมกันแล้ว
                          เมื่อสิ้นราตรีนี้ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว  ชาวสีพีจะพรักพร้อมกันขับไล่
                          พระองค์จากแว่นแคว้น.
             [๑๐๖๔]     นายนักการนั้น เมื่อได้รับพระราชดำรัสสั่ง จึงสวมสอดเครื่องประดับมือ
                          นุ่งห่มเรียบร้อย ประพรมด้วยจุรณจันทน์ ล้างศีรษะในน้ำ สวมกุณฑล
                          แก้วมณีแล้ว รีบเข้าไปยังบุรีอันน่ารื่นรมย์ เป็นที่ประทับอยู่ของพระ-
                          เวสสันดร  ได้เห็นพระเวสสันดรทรงพระสำราญอยู่ในพระราชวังของ
                          พระองค์อันเกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่อำมาตย์ ปานประหนึ่งท้าววาสวะแห่ง
                          ไตรทศ.
                       ...........................
                   http://www.84000.org/tipitaka/atita/s.php?B=28&A=6511


ที่วิจารณ์กันนี้อ่านจบยัง  อ่านให้จบก่อน ก่อนวิพากษ์ไม่ดีกว่าหรือ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่