สวัสดีครับ เรื่องที่ผมจะมาเล่าในวันนี้จะเรียกว่าเป็น เรื่องผี ก็ได้ หรือจะเป็นเรื่องของความเชื่อก็คงจะได้เช่นกันเพราะทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ให้คนอ่านได้กระจ่างใจ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้จะเล่าในสองแง่มุมคือส่วนที่ผม ได้ฟัง โดยมีคนเล่ามาต่อหนึ่ง และสิ่งที่ผมได้ประสบเองอีกต่อหนึ่ง
และไม่ว่าเรื่องราวต่อไปนี้จะจริงเท็จหรือน่าเชื่อถือเพียงใดสำหรับใจของท่าน ผมขออนุญาตดวงวิญญาณและผู้เกี่ยวข้องทุกคนที่ผมอาจมีการกล่าวอ้างถึงในครั้งนี้ ด้วยเจตนาดี ก่อนจะเข้าสู่เรื่องราว ผมขอเตือนไว้อีกครั้งว่า
‘เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และหากเรื่องราวเหล่านี้ กระทบใจท่านก็ขอเพียงอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น’
....................................................................................................
เรื่องนี้ผมคงต้องเล่าย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ผมมีเวลาว่างมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมยังแวะเวียนเข้าไปในวัดอยู่บ่อยครั้ง นอกจากจะนำเงินที่คนรอบข้างฝากมาทำบุญ และเงินที่ถูกยัดเยียดมาอย่างปฏิเสธไม่ได้หลังจากเอาตัวเองเข้าไปวุ่นวายในเรื่องต่างๆ แม้จะบอกจะปากเปื่อยว่า ‘ผมไม่รับเงิน’ แต่มันก็ฟังไม่ขึ้นเสียที
ผมไม่ได้มีวัดประจำที่ไป แต่เอาสะดวกเข้าว่าใกล้ที่ไหนก็ไปที่นั่น แต่ช่วงนั้นก็จะมีวัดหนึ่งที่ไปบ่อยกว่าที่อื่นเนื่องจากมันอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย
วันนั้นก็เหมือนกับทุกวัน ผมแวะไปไม่นานแต่พอดีวันนั้นผมได้เจอกับ พี่คนหนึ่ง อายุน่าจะ 40 ปลายๆเห็นจะได้ เธอนั่งอยู่ในวิหารของวัดกับหลวงพ่ออีกท่านหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ‘เธอคงมาปฏิบัติธรรม’
เธอในชุดขาวสะอาดท่าทางเรียบร้อยนั่งขัดสมาธิให้หลวงพ่อท่านแนะนำเรื่องการทำสมาธิ ผมที่เข้ามากราบพระประธานเฉยๆก็ได้แต่เลี่ยงๆออกไปอย่างเงียบๆไม่อยากรบกวนทั้งสองคน
และหลังจากนั้นอีกหลายครั้งที่ผมได้เจอกับเธอคนนี้ แต่ไม่ได้มีการพูดคุยกัน หลายครั้งที่เจอกันอาจทำให้เกิดความคุ้นเคยจนเริ่มยิ้มทักทายกันบ้าง
‘โยม พอจะมีเวลาไหม มานั่งนี่หน่อย’
หลวงพ่อเรียกผมให้มานั่งใกล้ๆ ผมทำตามแต่โดยดีและแน่นอนว่าหลวงพ่อท่าน รู้ และแนะนำให้ผมได้รู้จักกับ เธอคนนี้
พี่ณี ผมเรียกเธออย่างนั้น เธอมาที่วัดนี้ได้นานแล้วแต่เพิ่งจะได้เจอหลวงพ่อ ท่านเป็นพระธุดงถ์ผ่านมาจำวัดจึงเมตตาสั่งสอนผู้ที่จมอยู่ในความทุกข์จนเกิดจิตเมตตาเป็นห่วงว่า หลวงจากท่านจากไป เธอคนนี้จะพ้นทุกข์หรือยัง จึงอยากทำให้ทุกอย่างมันคลี่คลาย
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้ฟังเรื่องราวอันน่าพิศวงของเธอคนนี้ ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องเล่าที่ผมได้รับฟังมา และรวบรวมมาเล่าในแบบของผม อาจมีการขยายความบ้างเพื่อให้เห็นภาพ แต่ทั้งหมดคงต้องยกยอดให้พี่ณีผู้เป็นครูมานานทำให้การถ่ายทอดของเธอนั้น ไม่ต่างจากผมรับรู้มันด้วยตัวเอง
เรื่องมันเริ่มจากช่วงหนึ่งของชีวิตเธอ น่าจะเกือบ20ปีเห็นจะได้ บ้านเธอนั้นเป็นครอบครัวใหญ่มีญาติหลายสายที่ใกล้ชิดกันบ้างห่างกันไปบ้าง แต่ส่วนมากจะทำอาชีพเป็นชาวไร่ชาวนาเนื่องจากที่ดินมรดกที่มากพอจะเลี้ยงชีพให้อยู่สบายได้ ทำให้คนในแวดวงญาตินั้นไม่ขวนขวายจะมองหาอาชีพอื่น นอกจากตัวพี่ณี
ด้วยความชอบพี่ณีเลือกที่จะเรียนครูแม้ว่าคนรอบข้างจะไม่เห็นด้วยเพราะพวกเขาเคยชินกับวิถีชีวิตของตัวเองไปเสียแล้ว เธอใช้เวลาหลายปีในการเรียนตามหลักสูตร และอีกหลายปีสำหรับการวางรากฐานอาชีพของเธอ จนในที่สุดเธอก็ได้เป็น ข้าราชการ สมใจ และในสองสามปีต่อมาเธอก็สมารถย้ายกลับมาเป็นครูที่บ้านเกิดได้
แล้วทุกอย่างมันก็เริ่มจากตรงนั้น จากวันที่ตัวเองได้กลับมาอยู่ที่บ้านโดยหวังว่าจะวางรกรากอย่างถาวร เธอกลายเป็นคนเดียวในวงศ์ตระกูลที่เป็นข้าราชการ ทำให้ญาติๆที่เคยกร่นด่าหันมามองเธอย่างภูมิใจ และให้เกียรติ
เวลาผ่านไปได้ไม่นานญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้จากไปโดยทิ้งบ้านหลังเดิมไว้ให้คนข้างหลังดูแล แต่แทนที่ทุกคนจะยื้อแย่งกันอย่างในละครกลับกลายเป็นว่า ไม่มีใครอยากได้ เพราะมันเก่าแล้ว แถมยังอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งไม่มีป่าสวนเหมือนอย่างบ้านอื่นๆ เพราะบ้านหลังนั้นเคยเป็นบ้านสำหรับ อยู่อาศัยก่อนจะมีเงินไปซื้อที่ดินทำกินกัน
และด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ‘เธอเป็นข้าราชการ ก็เอาไปดูแลกู้ง่าย ซ่อมง่าย’ แม้ว่าเธอเองจะพยายามปฏิเสธเพราะบ้านตัวเองก็มีอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจะหนีจากภาระนี้ได้จนบ้านนี้กลายเป็นบ้านของเธอ โดยที่พ่อแม่ของเธอก็เห็นด้วย
‘เอาไปเถอะลูก ตอนนี้หนูก็อยู่กับพ่อแม่ เผื่อแต่งงานออกเรือนจะได้ไม่ต้องไปหาซื้อบ้านใหม่’
เหตุผลของคนเป็นพ่อแม่ก็ดูจะฟังขึ้นสำหรับเธอ ทำให้เธอรับเอาไว้ แม้ว่าบ้านหลังนี้ใครๆต่างก็เคยมาแต่ก็ใช่ว่าจะบ่อย เธอเดินทางมาที่บ้านหลังนี้ด้วยความคิดที่ว่า ‘แค่มาดูความเรียบร้อย เดี๋ยวก็กลับ’
หลายปีตั้งแต่ที่เธอไปเรียนจนมีอาชีพทำให้เธอไม่ได้มาบ้านหลังนี้เลย เจ้าของเดิมก่อนนี้ก็ป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลกับไปพักบ้านของคนที่เดินทางสะดวก เวลาไปเยี่ยมจึงมักจะเป็นโรงพยาบาลมากกว่า
เธอมองบ้านตรงหน้าที่ทางเข้าไม่สะดวกสำหรับรถยนต์เท่าไหร่นัก เวลาไม่กี่ปีก็สามารถทำให้บ้านที่เธอเคยมานอนเล่นตอนเด็กๆเปลี่ยนไปจนน่าตกใจ
บ้านไม้กึ่งปูนตั้งอยู่ในที่ดินกว้างๆ ที่มีเพื่อนบ้านอยู่ไกลๆ ท่าน้ำที่หาได้ยากในสมัยนี้ยังทอดยาวลงไปยังแม่น้ำสายเล็กๆที่แยกตัวมาจากสายใหญ่ บ้านโบราณที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น เรือนใหญ่ ของคนสมัยก่อนตกทอดมาสู่ลูกหลาน ไม้ผุเปื่อยไปตามกาลเวลาทำให้ต่อบูรณะกันอยู่หลายครั้ง
แต่ด้วยความเคยชินกับความคิดถึงจึงทำให้ทุกคนยังคงสภาพเดิมของบ้านไว้เสียส่วนมาก ทรงบ้านยังดูเป็นเรือนไม้ ไม้เก่ายังอยู่เกือบค่อนหลัง มีปูนมาเสริมมาเติมในบางส่วน ไม้ใหม่ถูกสอดแทรกเข้าไปแทนไม้เก่าบางส่วนที่เกินจะซ่อม เว้นเสียแต่เรือนเล็กที่เคยมีให้เห็นเค้าลางในยามเด็ก ตอนนี้กลายเป็นโรงจอดรถคอนกรีตด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เกินจะซ่อม’
เธอชื่นชมบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำในวัยเด็กก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน พี่ณีบอกกับผมว่า เธอรู้สึกดีอยากบอกไม่ถูก เธอประทับใจ และอยากอยู่ที่นี่เสียเดี๋ยวนั้น มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
เธอตัดสินใจว่าจะลองมาอาศัยอยู่สักพักหนึ่งโดยบอกกับพ่อแม่ว่าจะได้มาดูว่าควรซ่อมอะไรบ้าง แม้จริงๆแล้วเธอแค่ อยากมาอยู่ที่นี่ เท่านั้น
แล้วก็เหมือนเป็นเรื่องตลกเมื่อความรู้สึกแรกที่ได้เข้ามามันเปลี่ยนไปตั้งแต่คืนแรกที่ได้มานอนที่นี่
เธอเลือกนอนในห้องเล็กๆห้องหนึ่งที่สภาพดีและมีพร้อมทั้งเครื่องปรับอากาศและทีวี ส่วนตัวเธอเป็นคนชอบทำบุญจึงไม่ลืมที่จะไหว้พระก่อนนอนเป็นประจำ
บ้านหลังนี้มีห้องพระแยกอยู่บนเรือนโดยต้องเดินผ่านโถงกลางบ้านที่มีไม้ยกสูงเล็กน้อยไว้เป็นที่นั่งกว้างๆ เธอกราบพระอย่างตั้งใจพร้อมจุดธูปถวาย ระหว่างที่เธอสวดมนต์อยู่นั้นเธอบอกว่าเธอรู้สึกได้ถึง สายตา ที่มองมายังเธอ และความรู้สึกเหมือนใครผ่านไปมาอยู่หลายครั้ง ‘สงสัยจะเป็นเจ้าของบ้านที่เพิ่งเสีย’ เธอปลอบตัวเองอย่างนั้น
แต่แล้วมันก็เริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆเมื่อหลังจากที่เธอสวดมนต์เสร็จจะดับเทียนให้เรียบร้อย สายตาเธอเหลือบไปเห็นธูปที่ตนจุดถวายพระ เธอจุด 3 ดอกตามปกติและแน่ใจแล้วว่า มันติดดี จุดปักลงในกระถางและไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้มันเหลืออยู่ 2 ดอกที่แทบจะไม่ลดลงไปเลย มีแค่รอยไหม้ดำๆให้เห็น ต่างจาก อีกดอกหนึ่ง ที่เหลือไว้เพียงก้านสีแดงให้เห็น
‘ธูปดอกเดียวไว้ไหว้ผี ไหว้คนตาย’ พี่ณีบอกว่าตัวเองคิดอย่างนั้นเป็นความรู้สึกแรก เธอรีบกราบพระและเดินเข้าห้องนอนอย่างไว โดยไม่ได้หันกลับมามองแม้แต่น้อยด้วยความตกใจ
การมาอยู่คนเดียวในบ้านที่เพิ่งมีเจ้าของเสียไป มันสร้างความกังวลใจให้เจ้าตัวไม่น้อย เธอบอกว่าทำไมตอนแรกถึงไม่คิดอย่างนี้นะ จนได้เข้าไปอยู่ คืนนั้น เธอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการจัดข้าวของ แล้วเธอก็ตื่นข้นมากลางดึก
เธอบอกกับผมว่าเธอได้ยินเสียงกุกกัก เหมือนคนเดินไปมาในบ้าน และมันไม่ใช่คนเดียว เธอลืมตามาด้วยความกลัวว่าจะมีโจรหรือใครที่ได้ข่าวการเสียของเจ้าของบ้านและจะมาขโมยเอาอะไรไป เธอแง้มประตูดูจากห้องนอนก็ไม่เห็นใคร ไม่มีแม้แต่เงา
เธอมองกวาดไปรอบๆผ่านช่องแคบของประตู แล้วเธอก็พบกับเงาร่างของใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้กับบันไดทางลงไปข้างล่างของชานบ้าน เธอแน่ใจว่า นั่นไม่ใช่โจร จากการแต่งตัว
หญิงสาวที่ยากจะบอกว่าอายุเท่าใดเพราะเห็นไม่ชัด แต่สิ่งที่แปลกคือ เธออยู่ในชุดผ้าโบราณ เป็นผ้าที่รัดไว้รอบออกกับ ผ้าถกมัดไว้คล้ายโจงกระเบน สีนั้นเป็นสีกลักจากเปลือกไม้ ที่เข้มตามธรรมชาติต่างจากที่เราเคยเห็นในละคร และมันก็ไม่ได้สวยเสมอกันมากนัก
หญิงสาวผมยาวคนนั้นยืนมองออกไปนอกตัวบ้าน เธอตกใจจึงรีบปิดประตูและกลับมานอนที่เตียงพร้อมกับคลุมโปงอย่างมิดชิด เธอพยายามหลับตาลงให้เร็วที่สุด พยายามบอกให้ตัวเองหลับ จนก่อนที่จะหลับไปก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ไหนไม่รู้
‘กลับมาแล้วสินะ’
พี่ณีตื่นมาในตอนเช้าตรู่ตามนิสัยของเธอ เธอยังจำเรื่องเมื่อคืนได้ดีจึงรีบออกจากบ้านไปตักบาตร จนกลับมาถึงบ้านในยามสว่าง ก่อนที่เธอจะออกไปทำงานเธอสะดุดใจกับ เศษดิน ที่กองอยู่ตรงหน้าบันไดบนเรือน และมันก็ตรงกับตำแหน่งที่เธอเห็น หญิงสาวคนนั้น เมื่อคืน
มันดูเหมือนทุกอย่างจะเกี่ยวกันไปเสียหมด เธอมองดูที่เท้าตัวเองก็ไม่มีเศษดินติดอยู่ และแน่ใจว่าเธอไม่เคยเดินเท้าเปล่าลงไปข้างล่างแน่ๆ เธอเดินไปกราบพระก่อนจะออกไปทำงานตามนิสัยที่พ่อแม่สอนไว้ และธูป 2 ดอกนั้นยังคงตั้งตระหง่านตอกย้ำในเรื่องที่เกิดขึ้น
ด้วยความไม่สบายใจเธอจึงบอกพ่อกับแม่ว่าจะกลับไปนอนบ้านเดิม แต่พ่อแม่กลับไม่ยอมและบอกว่า จะขอมานอนด้วย อยากไปนอนบ้านนั้นเหมือนกันคิดถึงวันเก่าๆ
พี่ณีไม่เคยขัดใจพ่อแม่นอกจากเรื่องเรียน จึงจำต้องไปรับทั้งสองคนมานอนที่บ้านหลังนี้ และทุกอย่างก็ไม่ได้ดีขึ้น เธอยังได้ยินเสียง และยังคงเห็น เธอคนนั้น อยู่หลายครั้ง แต่มันดูจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
จนในคืนหนึ่ง... เธอนอนอยู่ในห้องของตัวเองแล้วเธอก็ฝัน เธอฝันเห็นตัวเองนั้นออกมาเดินอยู่ในบ้านตรงห้องโถง เธอค่อยๆเดินไปยังห้องนอนของตัวเอง เมื่อเปิดประตูเข้าไปเธอก็เห็น เธอ นอนอยู่บนเตียงอย่างเดิม เธอตกใจ แต่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมา
แล้วเธอก็สังเกตเห็น ใครอีกคน ที่อยู่ในห้องของเธอ หญิงสาวคนนั้น คนที่เธอเห็นมาโดยตลอด เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้ตัวเก่าของบ้าน นั่งมองกระจกอย่างพินิจ พร้อมกับหวีในมือที่ละไปตามเส้นผมยาวสลวยของเธอ
พี่ณีมองอย่างกังวลและไม่รู้จะทำอย่างไร จนเธอคนนั้นรู้ตัวหันมามองเธอ แต่ไม่ใช่ด้วยรอยยิ้ม สายตานั้นแข็งกร้าว เธอลุกขึ้นจากโต๊ะเดินตรงไปยัง พี่ณีที่นอนอยู่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆโน้มตัวลงเข้าไปใกล้ร่างนั้น ใกล้จนแทบจะสนิทกัน
พี่ณีสะดุ้งตื่นจากฝัน โดยพบว่าฟ้ายังไม่สว่าง เธอรีบหยิบนาฬิกามาดูก็เห็นว่าเวลาเพิ่งจะไม่เท่าไหร่เอง แต่เธอไม่กล้าจะหลับลงไปอีกแล้ว เธอจึงเดินเข้าห้องพระและคิดว่าจะรอจนกว่าแม่จะตื่นมาทำกับข้าว
...................................
กำลังลงเรื่อยๆนะครับ
จะกี่ชาติ... เขาจะรอ
และไม่ว่าเรื่องราวต่อไปนี้จะจริงเท็จหรือน่าเชื่อถือเพียงใดสำหรับใจของท่าน ผมขออนุญาตดวงวิญญาณและผู้เกี่ยวข้องทุกคนที่ผมอาจมีการกล่าวอ้างถึงในครั้งนี้ ด้วยเจตนาดี ก่อนจะเข้าสู่เรื่องราว ผมขอเตือนไว้อีกครั้งว่า
เรื่องนี้ผมคงต้องเล่าย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ผมมีเวลาว่างมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมยังแวะเวียนเข้าไปในวัดอยู่บ่อยครั้ง นอกจากจะนำเงินที่คนรอบข้างฝากมาทำบุญ และเงินที่ถูกยัดเยียดมาอย่างปฏิเสธไม่ได้หลังจากเอาตัวเองเข้าไปวุ่นวายในเรื่องต่างๆ แม้จะบอกจะปากเปื่อยว่า ‘ผมไม่รับเงิน’ แต่มันก็ฟังไม่ขึ้นเสียที
ผมไม่ได้มีวัดประจำที่ไป แต่เอาสะดวกเข้าว่าใกล้ที่ไหนก็ไปที่นั่น แต่ช่วงนั้นก็จะมีวัดหนึ่งที่ไปบ่อยกว่าที่อื่นเนื่องจากมันอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย
วันนั้นก็เหมือนกับทุกวัน ผมแวะไปไม่นานแต่พอดีวันนั้นผมได้เจอกับ พี่คนหนึ่ง อายุน่าจะ 40 ปลายๆเห็นจะได้ เธอนั่งอยู่ในวิหารของวัดกับหลวงพ่ออีกท่านหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ‘เธอคงมาปฏิบัติธรรม’
เธอในชุดขาวสะอาดท่าทางเรียบร้อยนั่งขัดสมาธิให้หลวงพ่อท่านแนะนำเรื่องการทำสมาธิ ผมที่เข้ามากราบพระประธานเฉยๆก็ได้แต่เลี่ยงๆออกไปอย่างเงียบๆไม่อยากรบกวนทั้งสองคน
และหลังจากนั้นอีกหลายครั้งที่ผมได้เจอกับเธอคนนี้ แต่ไม่ได้มีการพูดคุยกัน หลายครั้งที่เจอกันอาจทำให้เกิดความคุ้นเคยจนเริ่มยิ้มทักทายกันบ้าง
‘โยม พอจะมีเวลาไหม มานั่งนี่หน่อย’
หลวงพ่อเรียกผมให้มานั่งใกล้ๆ ผมทำตามแต่โดยดีและแน่นอนว่าหลวงพ่อท่าน รู้ และแนะนำให้ผมได้รู้จักกับ เธอคนนี้
พี่ณี ผมเรียกเธออย่างนั้น เธอมาที่วัดนี้ได้นานแล้วแต่เพิ่งจะได้เจอหลวงพ่อ ท่านเป็นพระธุดงถ์ผ่านมาจำวัดจึงเมตตาสั่งสอนผู้ที่จมอยู่ในความทุกข์จนเกิดจิตเมตตาเป็นห่วงว่า หลวงจากท่านจากไป เธอคนนี้จะพ้นทุกข์หรือยัง จึงอยากทำให้ทุกอย่างมันคลี่คลาย
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้ฟังเรื่องราวอันน่าพิศวงของเธอคนนี้ ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องเล่าที่ผมได้รับฟังมา และรวบรวมมาเล่าในแบบของผม อาจมีการขยายความบ้างเพื่อให้เห็นภาพ แต่ทั้งหมดคงต้องยกยอดให้พี่ณีผู้เป็นครูมานานทำให้การถ่ายทอดของเธอนั้น ไม่ต่างจากผมรับรู้มันด้วยตัวเอง
เรื่องมันเริ่มจากช่วงหนึ่งของชีวิตเธอ น่าจะเกือบ20ปีเห็นจะได้ บ้านเธอนั้นเป็นครอบครัวใหญ่มีญาติหลายสายที่ใกล้ชิดกันบ้างห่างกันไปบ้าง แต่ส่วนมากจะทำอาชีพเป็นชาวไร่ชาวนาเนื่องจากที่ดินมรดกที่มากพอจะเลี้ยงชีพให้อยู่สบายได้ ทำให้คนในแวดวงญาตินั้นไม่ขวนขวายจะมองหาอาชีพอื่น นอกจากตัวพี่ณี
ด้วยความชอบพี่ณีเลือกที่จะเรียนครูแม้ว่าคนรอบข้างจะไม่เห็นด้วยเพราะพวกเขาเคยชินกับวิถีชีวิตของตัวเองไปเสียแล้ว เธอใช้เวลาหลายปีในการเรียนตามหลักสูตร และอีกหลายปีสำหรับการวางรากฐานอาชีพของเธอ จนในที่สุดเธอก็ได้เป็น ข้าราชการ สมใจ และในสองสามปีต่อมาเธอก็สมารถย้ายกลับมาเป็นครูที่บ้านเกิดได้
แล้วทุกอย่างมันก็เริ่มจากตรงนั้น จากวันที่ตัวเองได้กลับมาอยู่ที่บ้านโดยหวังว่าจะวางรกรากอย่างถาวร เธอกลายเป็นคนเดียวในวงศ์ตระกูลที่เป็นข้าราชการ ทำให้ญาติๆที่เคยกร่นด่าหันมามองเธอย่างภูมิใจ และให้เกียรติ
เวลาผ่านไปได้ไม่นานญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้จากไปโดยทิ้งบ้านหลังเดิมไว้ให้คนข้างหลังดูแล แต่แทนที่ทุกคนจะยื้อแย่งกันอย่างในละครกลับกลายเป็นว่า ไม่มีใครอยากได้ เพราะมันเก่าแล้ว แถมยังอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งไม่มีป่าสวนเหมือนอย่างบ้านอื่นๆ เพราะบ้านหลังนั้นเคยเป็นบ้านสำหรับ อยู่อาศัยก่อนจะมีเงินไปซื้อที่ดินทำกินกัน
และด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ‘เธอเป็นข้าราชการ ก็เอาไปดูแลกู้ง่าย ซ่อมง่าย’ แม้ว่าเธอเองจะพยายามปฏิเสธเพราะบ้านตัวเองก็มีอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจะหนีจากภาระนี้ได้จนบ้านนี้กลายเป็นบ้านของเธอ โดยที่พ่อแม่ของเธอก็เห็นด้วย
‘เอาไปเถอะลูก ตอนนี้หนูก็อยู่กับพ่อแม่ เผื่อแต่งงานออกเรือนจะได้ไม่ต้องไปหาซื้อบ้านใหม่’
เหตุผลของคนเป็นพ่อแม่ก็ดูจะฟังขึ้นสำหรับเธอ ทำให้เธอรับเอาไว้ แม้ว่าบ้านหลังนี้ใครๆต่างก็เคยมาแต่ก็ใช่ว่าจะบ่อย เธอเดินทางมาที่บ้านหลังนี้ด้วยความคิดที่ว่า ‘แค่มาดูความเรียบร้อย เดี๋ยวก็กลับ’
หลายปีตั้งแต่ที่เธอไปเรียนจนมีอาชีพทำให้เธอไม่ได้มาบ้านหลังนี้เลย เจ้าของเดิมก่อนนี้ก็ป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลกับไปพักบ้านของคนที่เดินทางสะดวก เวลาไปเยี่ยมจึงมักจะเป็นโรงพยาบาลมากกว่า
เธอมองบ้านตรงหน้าที่ทางเข้าไม่สะดวกสำหรับรถยนต์เท่าไหร่นัก เวลาไม่กี่ปีก็สามารถทำให้บ้านที่เธอเคยมานอนเล่นตอนเด็กๆเปลี่ยนไปจนน่าตกใจ
บ้านไม้กึ่งปูนตั้งอยู่ในที่ดินกว้างๆ ที่มีเพื่อนบ้านอยู่ไกลๆ ท่าน้ำที่หาได้ยากในสมัยนี้ยังทอดยาวลงไปยังแม่น้ำสายเล็กๆที่แยกตัวมาจากสายใหญ่ บ้านโบราณที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น เรือนใหญ่ ของคนสมัยก่อนตกทอดมาสู่ลูกหลาน ไม้ผุเปื่อยไปตามกาลเวลาทำให้ต่อบูรณะกันอยู่หลายครั้ง
แต่ด้วยความเคยชินกับความคิดถึงจึงทำให้ทุกคนยังคงสภาพเดิมของบ้านไว้เสียส่วนมาก ทรงบ้านยังดูเป็นเรือนไม้ ไม้เก่ายังอยู่เกือบค่อนหลัง มีปูนมาเสริมมาเติมในบางส่วน ไม้ใหม่ถูกสอดแทรกเข้าไปแทนไม้เก่าบางส่วนที่เกินจะซ่อม เว้นเสียแต่เรือนเล็กที่เคยมีให้เห็นเค้าลางในยามเด็ก ตอนนี้กลายเป็นโรงจอดรถคอนกรีตด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เกินจะซ่อม’
เธอชื่นชมบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำในวัยเด็กก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน พี่ณีบอกกับผมว่า เธอรู้สึกดีอยากบอกไม่ถูก เธอประทับใจ และอยากอยู่ที่นี่เสียเดี๋ยวนั้น มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
เธอตัดสินใจว่าจะลองมาอาศัยอยู่สักพักหนึ่งโดยบอกกับพ่อแม่ว่าจะได้มาดูว่าควรซ่อมอะไรบ้าง แม้จริงๆแล้วเธอแค่ อยากมาอยู่ที่นี่ เท่านั้น
แล้วก็เหมือนเป็นเรื่องตลกเมื่อความรู้สึกแรกที่ได้เข้ามามันเปลี่ยนไปตั้งแต่คืนแรกที่ได้มานอนที่นี่
เธอเลือกนอนในห้องเล็กๆห้องหนึ่งที่สภาพดีและมีพร้อมทั้งเครื่องปรับอากาศและทีวี ส่วนตัวเธอเป็นคนชอบทำบุญจึงไม่ลืมที่จะไหว้พระก่อนนอนเป็นประจำ
บ้านหลังนี้มีห้องพระแยกอยู่บนเรือนโดยต้องเดินผ่านโถงกลางบ้านที่มีไม้ยกสูงเล็กน้อยไว้เป็นที่นั่งกว้างๆ เธอกราบพระอย่างตั้งใจพร้อมจุดธูปถวาย ระหว่างที่เธอสวดมนต์อยู่นั้นเธอบอกว่าเธอรู้สึกได้ถึง สายตา ที่มองมายังเธอ และความรู้สึกเหมือนใครผ่านไปมาอยู่หลายครั้ง ‘สงสัยจะเป็นเจ้าของบ้านที่เพิ่งเสีย’ เธอปลอบตัวเองอย่างนั้น
แต่แล้วมันก็เริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆเมื่อหลังจากที่เธอสวดมนต์เสร็จจะดับเทียนให้เรียบร้อย สายตาเธอเหลือบไปเห็นธูปที่ตนจุดถวายพระ เธอจุด 3 ดอกตามปกติและแน่ใจแล้วว่า มันติดดี จุดปักลงในกระถางและไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้มันเหลืออยู่ 2 ดอกที่แทบจะไม่ลดลงไปเลย มีแค่รอยไหม้ดำๆให้เห็น ต่างจาก อีกดอกหนึ่ง ที่เหลือไว้เพียงก้านสีแดงให้เห็น
‘ธูปดอกเดียวไว้ไหว้ผี ไหว้คนตาย’ พี่ณีบอกว่าตัวเองคิดอย่างนั้นเป็นความรู้สึกแรก เธอรีบกราบพระและเดินเข้าห้องนอนอย่างไว โดยไม่ได้หันกลับมามองแม้แต่น้อยด้วยความตกใจ
การมาอยู่คนเดียวในบ้านที่เพิ่งมีเจ้าของเสียไป มันสร้างความกังวลใจให้เจ้าตัวไม่น้อย เธอบอกว่าทำไมตอนแรกถึงไม่คิดอย่างนี้นะ จนได้เข้าไปอยู่ คืนนั้น เธอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการจัดข้าวของ แล้วเธอก็ตื่นข้นมากลางดึก
เธอบอกกับผมว่าเธอได้ยินเสียงกุกกัก เหมือนคนเดินไปมาในบ้าน และมันไม่ใช่คนเดียว เธอลืมตามาด้วยความกลัวว่าจะมีโจรหรือใครที่ได้ข่าวการเสียของเจ้าของบ้านและจะมาขโมยเอาอะไรไป เธอแง้มประตูดูจากห้องนอนก็ไม่เห็นใคร ไม่มีแม้แต่เงา
เธอมองกวาดไปรอบๆผ่านช่องแคบของประตู แล้วเธอก็พบกับเงาร่างของใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้กับบันไดทางลงไปข้างล่างของชานบ้าน เธอแน่ใจว่า นั่นไม่ใช่โจร จากการแต่งตัว
หญิงสาวที่ยากจะบอกว่าอายุเท่าใดเพราะเห็นไม่ชัด แต่สิ่งที่แปลกคือ เธออยู่ในชุดผ้าโบราณ เป็นผ้าที่รัดไว้รอบออกกับ ผ้าถกมัดไว้คล้ายโจงกระเบน สีนั้นเป็นสีกลักจากเปลือกไม้ ที่เข้มตามธรรมชาติต่างจากที่เราเคยเห็นในละคร และมันก็ไม่ได้สวยเสมอกันมากนัก
หญิงสาวผมยาวคนนั้นยืนมองออกไปนอกตัวบ้าน เธอตกใจจึงรีบปิดประตูและกลับมานอนที่เตียงพร้อมกับคลุมโปงอย่างมิดชิด เธอพยายามหลับตาลงให้เร็วที่สุด พยายามบอกให้ตัวเองหลับ จนก่อนที่จะหลับไปก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ไหนไม่รู้
‘กลับมาแล้วสินะ’
พี่ณีตื่นมาในตอนเช้าตรู่ตามนิสัยของเธอ เธอยังจำเรื่องเมื่อคืนได้ดีจึงรีบออกจากบ้านไปตักบาตร จนกลับมาถึงบ้านในยามสว่าง ก่อนที่เธอจะออกไปทำงานเธอสะดุดใจกับ เศษดิน ที่กองอยู่ตรงหน้าบันไดบนเรือน และมันก็ตรงกับตำแหน่งที่เธอเห็น หญิงสาวคนนั้น เมื่อคืน
มันดูเหมือนทุกอย่างจะเกี่ยวกันไปเสียหมด เธอมองดูที่เท้าตัวเองก็ไม่มีเศษดินติดอยู่ และแน่ใจว่าเธอไม่เคยเดินเท้าเปล่าลงไปข้างล่างแน่ๆ เธอเดินไปกราบพระก่อนจะออกไปทำงานตามนิสัยที่พ่อแม่สอนไว้ และธูป 2 ดอกนั้นยังคงตั้งตระหง่านตอกย้ำในเรื่องที่เกิดขึ้น
ด้วยความไม่สบายใจเธอจึงบอกพ่อกับแม่ว่าจะกลับไปนอนบ้านเดิม แต่พ่อแม่กลับไม่ยอมและบอกว่า จะขอมานอนด้วย อยากไปนอนบ้านนั้นเหมือนกันคิดถึงวันเก่าๆ
พี่ณีไม่เคยขัดใจพ่อแม่นอกจากเรื่องเรียน จึงจำต้องไปรับทั้งสองคนมานอนที่บ้านหลังนี้ และทุกอย่างก็ไม่ได้ดีขึ้น เธอยังได้ยินเสียง และยังคงเห็น เธอคนนั้น อยู่หลายครั้ง แต่มันดูจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
จนในคืนหนึ่ง... เธอนอนอยู่ในห้องของตัวเองแล้วเธอก็ฝัน เธอฝันเห็นตัวเองนั้นออกมาเดินอยู่ในบ้านตรงห้องโถง เธอค่อยๆเดินไปยังห้องนอนของตัวเอง เมื่อเปิดประตูเข้าไปเธอก็เห็น เธอ นอนอยู่บนเตียงอย่างเดิม เธอตกใจ แต่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมา
แล้วเธอก็สังเกตเห็น ใครอีกคน ที่อยู่ในห้องของเธอ หญิงสาวคนนั้น คนที่เธอเห็นมาโดยตลอด เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้ตัวเก่าของบ้าน นั่งมองกระจกอย่างพินิจ พร้อมกับหวีในมือที่ละไปตามเส้นผมยาวสลวยของเธอ
พี่ณีมองอย่างกังวลและไม่รู้จะทำอย่างไร จนเธอคนนั้นรู้ตัวหันมามองเธอ แต่ไม่ใช่ด้วยรอยยิ้ม สายตานั้นแข็งกร้าว เธอลุกขึ้นจากโต๊ะเดินตรงไปยัง พี่ณีที่นอนอยู่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆโน้มตัวลงเข้าไปใกล้ร่างนั้น ใกล้จนแทบจะสนิทกัน
พี่ณีสะดุ้งตื่นจากฝัน โดยพบว่าฟ้ายังไม่สว่าง เธอรีบหยิบนาฬิกามาดูก็เห็นว่าเวลาเพิ่งจะไม่เท่าไหร่เอง แต่เธอไม่กล้าจะหลับลงไปอีกแล้ว เธอจึงเดินเข้าห้องพระและคิดว่าจะรอจนกว่าแม่จะตื่นมาทำกับข้าว
...................................
กำลังลงเรื่อยๆนะครับ