สี่หูห้าตา เราได้ยินคำนี้เมื่อสักสองปีก่อน พอคำนี้เข้ามาในชีวิตก็มีเรื่องราวสนุกๆ แบบไม่น่าจะเป็นไปได้เข้ามาร้อยเรียงเรื่องราวให้ได้เจออะไรๆ มากมายในวิถีของชาวล้านนาและชาวไทยใหญ่
“วันเกิดปีนี้อยากได้ไร จะได้ซื้อถูก เดี๋ยวไม่ถูกใจอีก” เราโทรถามเพื่อน ซึ่งอีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดนาง
“ซื้อให้จริงป่าวววว แก” ปลายสายเสียงดูมีความสดใส
“ทำเสียงแบบนี้ อย่าบอกว่าจะเอาไรที่มันหายากและประหลาดล้ำนะ หาให้ไม่ได้น้า” เราแหย่ไป
“แกรู้จัก ตัวสี่หูห้าตามะ กินไฟถ่ายเป็นทอง นั่นอ่ะจะเอาตัวนั้น” เพื่อนกล่าว
“เฮ้ยจะไปหาที่ไหนตัวอะไรไม่เคยได้ยิน” เราก็บอกไป
“ไม่ต้องหาเราไปดูไว้แล้วไปจ่ายตังค์พอ เป็นของครูบาออ ดังมว้ากก ท่านเก่งสุดๆ เลยแก” เพื่อนรีบแจ้งทันที “เออ จ้าาาา ดีงามมีความพร้อมฝุดๆ ได้ๆ ให้มาส่งละกันเดี๋ยวจัดการให้” เราตอบไป
นั่นคือครั้งแรกที่รู้จักตัวสี่หูห้าตา แล้วก็มีเรื่องราวเยอะแยะที่ทำให้ได้ผจญภัยจนได้พบครูบาออ อริยแห่งลุ่มน้ำสาละวินตัวจริงเสียงจริง ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ จากไทยใหญ่ และได้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นมากมายจากการที่ได้รู้จักเจ้าตัวนี้
ที่นี้เรามาดูตำนานบางส่วนของเจ้าแมงสี่หูห้าตาเครื่องรางที่ชาวเหนือนับถือกันในด้านเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย กันไฟไหม้ ฟ้าผ่า อันตรายต่างๆ นาๆ ชนะภัยร้ายทั้งปวง บรรเทาทุกข์จากการเจ็บป่วย และเป็นมหาโชค มหาลาภ แก่ผู้ที่บูชากราบไหว้
แมงสี่หูห้าตา เป็นชื่อสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งในตำนานว่าด้วยวัดพระธาตุดอยเขาควายแก้ว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย จะมีลักษณะเหมือนหมีสีดำตัวอ้วน มีหูสองคู่และตาห้าดวง กินถ่านไฟร้อนเป็นอาหาร และถ่ายมูลออกมาเป็นทองคำ
ตำนานฉบับวัดดอยเขาควายแก้วของจังหวัดเชียงราย จะเป็นเรื่องราวของ “อ้ายทุกคตะ” มีความว่า
ในอดีตกาล ประมาณ 1,000 กว่าปี มาแล้ว มีเมืองหนึ่งที่ชื่อ นครพันธุมติ มีพระเจ้าพันธุมติราชปกครองอย่างร่มเย็นเป็นสุข และพระเจ้าพันธุมติราชนั้นมีพระมเหสีเจ็ดพระองค์
ในเมืองนี้ มีครอบครัวคนจนอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีกัน 3 คน พ่อแม่ลูก มีลูกชายชื่อว่า “อ้ายทุกคตะ” อาชีพออกขอทานหาช้าวกินค่ำ เมื่ออ้ายทุกคตะอายุได้แค่เพียง 4 ขวบ แม่ก็มาด่วนจากเสียชีวิตไป
การออกขอทานของอ้ายทุกคตะนั้น ก็มีทั้งชาวบ้านที่ใจดีที่ยอมให้ทาน และชาวบ้านที่ไม่ชอบหน้าได้ขับไล่ไปก็มี แต่ก็ทำอาชีพนี้เรื่อยมา จนเมื่ออ้ายทุกคตะมีอายุได้ 12 ปี พ่อก็ให้ลูกไปรับจ้างเลี้ยงวัวเลี้ยงควายของผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองนี้
แต่ทำได้ไม่กี่ปี พ่อก็มาป่วยหนัก คิดแล้วว่าจะไม่รอด จึงได้อบรมและสั่งเสียให้อ้ายทุกคตะเป็นคนดีมีศีลธรรม เชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ เมื่อพ่อเสียชีวิตแล้ว ให้ฝังศพไว้ที่ป่า จนกว่าหัวกะโหลกของพ่อจะหลุด แล้วให้นำมาไหว้สักการะบูชาที่บ้าน
หากเมื่อเจ้าอายุได้ 17 ปี ก็ให้ลากหัวขึ้นดอย ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถ้าหัวติดที่ตรงไหน ก็ให้ฝั่ง แล้วทำบ่วงแร้วดักจับสัตว์ตรงนั้น ถ้าสัตว์ตัวใดมาติดบ่วงแร้ว ให้จับมาเลี้ยงไว้ เมื่อพ่อได้สั่งเสียอ้ายทุกคตะเป็นที่เรียบร้อย
หลังจากนั้นพ่อก็เสียชีวิตลง อ้ายทุกคตะได้ทำตามคำสั่งเสียของพ่อทุกอย่าง รอเวลาจนกระทั่งเมื่อมาดูศพของพ่ออีกครั้ง แล้วหัวกระโหลกหลุดตามที่พ่อบอก จึงทำตามคำสั่งเสียของพ่อก่อนตาย และเมื่อถึงเวลาอ้ายทุกคตะก็ได้ลากหัวกระโหลกของพ่อไปจนติดที่หน้าถ้ำแห่งหนึ่ง จึงได้ทำบ่วงแร้วดักจับสัตว์ที่นั่น ตามคำสั่งเสีย
หลังจากนั้น 2-3 วัน เมื่ออ้ายทุกคตะมาดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามีสัตว์หน้าตาประหลาดมาติดบ่วงแร้วที่ดักไว้ ลักษณะตัวดำ ต่ำอ้วนเหมือนหมี ขนยาวสีดำ มีหู 4 หู และ มีตา 5 ตา จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก แมงสี่หูห้าตา นั่นเอง
พออ้ายทุกคตะได้เห็นแมงสี่หูห้าตามาติดบ่วงแร้วนั้น ก็ไหว้บอกกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า สัตว์ประหลาดตัวนี้ ทำให้ตนเข้าใจว่า เป็นพ่อได้กลับมาเกิดเป็นแมงตัวประหลาดตัวนี้ขอนำกลับไปเลี้ยงดู ตามที่พ่อได้สั่งเสียไว้
หลังจากนั้น ก็ได้นำแมงสี่หูห้าตาไปเลี้ยงที่บ้าน และล้อมคอกไว้โดยไม่ให้ใครเห็น เอาข้าวเอาน้ำให้มันกิน แต่มันก็ไม่ยอมกินอะไรที่เขาให้เลย และเขาก็ไม่มีเวลามาดูแลหรือให้ความสนใจกับแมงสี่หูห้าตามากนัก เพราะต้องออกไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายทุกวัน ครั้นจะเอาไปด้วยก็กลัวจะหนีหายไปเสีย
เมื่อถึงช่วงฤดูหนาว วันหนึ่งเมื่ออ้ายทุกคตะกลับมาบ้าน ก็เอาไม้มาจุดไฟเพื่อก่อกองไฟกันหนาว จุดไปจนกระทั่งถ่านมอดเหลือเป็นถ่านแดงๆ พอดีมีลมพัดมาวูบหนึ่ง ทำให้มีถ่านก่อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งกระเด็นออกมา แต่ดันกระเด็นไปทางแมงสี่หูห้าตา อาจจะด้วยความหิวกระหายของมันหรือไฟนั้นเป็นอาหารของมันที่เขาไม่รู้อยู่แล้วก็เป็นได้ เขาเห็นมันกินถ่านไฟแดงตรงนั้นจนหมด
อ้ายทุกคตะเกิดความแปลกใจ เลยลองก่อกองไฟและเขี่ยถ่านให้แมงสี่หูห้าตากินไปเรื่อยๆ มันก็กินจนหมดเกลี้ยง พอวันต่อมา เขาได้ออกมาดูแมงสี่หูห้าตาว่ามันอยู่ดีหรือกินไฟจนตายไปแล้ว ก็ปรากฎว่าแมงสี่หูห้าตานั้นได้ถ่ายขี้ออกมาเป็นทองคำจำนวนมาก เป็นที่อัศจรรย์ใจของอ้ายทุกคตะเป็นที่สุด จนคิดไปว่าพ่อมาช่วยเขาให้พ้นจากความลำบากแล้วเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ในแต่ละวันอ้ายทุกคตะจึงก่อกองไฟแล้วนำถ่านไฟแดงร้อนๆ มาให้แมงสี่หูห้าตากินอย่างไม่ขาด และมันก็ขี้ออกมาเป็นทองคำทุกวัน อ้ายทุกคตะก็ขุดดินฝังทองคำที่แมงสี่หูห้าตาถ่ายออกมานั้นจนเต็มไร่เต็มสวน
ต่อมา ได้มีข่าวการเผยโฉมของ “พระนางสีมา” พระราชธิดาของพระเจ้าพันธุมติราช ซึ่งเป็นพระราชธิดาที่มีรูปโฉมสวยงามยิ่งนัก จนเหล่าบรรดาเจ้าเมืองต่างๆ จากหลายร้อยเมือง มาขอไปเป็นมเหสี (ขอแต่งงาน) พระเจ้าพันธุมติราชจึงตัดสินใจว่า ถ้าหากต้องการพระนางสีมาไปเป็นมเหสีแล้วล่ะก็ ให้สร้างรางรับน้ำฝนทองคำจากบ้านเมืองท่านมายังปราสาทให้สำเร็จ แล้วจะยกพระธิดาให้กับผู้นั้น
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย จึงทำให้เรื่องนี้เงียบหายไป แต่พออ้ายทุกคตะได้ยินข่าวนี้ ก็ได้รีบไปจ้างช่างทำรางรับน้ำฝนทันที โดยให้สร้างจากทองคำที่ฝังไว้ และช่างก็เริ่มสร้างรางน้ำฝนทองคำขึ้นจากบ้านอ้ายทุกคตะไปยังปราสาทของพระธิดา
หลังจากนั้นไม่นาน ชาวบ้านในเมืองได้เห็นสิ่งที่น่าประหลาดยิ่ง นั้นคือ รางน้ำฝนทองคำ ก่ายพาดตามทางยาวจนสุดลูกหูลูกตา เมื่อพระเจ้าพันธุมติราชทรงทราบว่ามีรางน้ำฝนทองคำเกิดขึ้นในเมือง จึงให้เสนาอำมาตย์ ไปติดตามดูว่ามาจากไหนกันแน่
เมื่อพบว่ารางน้ำนั้นมาจากบ้านของอ้ายทุกคตะ พระเจ้าพันธุมติราชจึงสั่งการให้ทำถนนเป็นอย่างดีไปจนถึงบ้านของอ้ายทุกคตะ เมื่อได้ฤกษ์ยามที่ดีแล้วอ้ายทุกคตะจึงได้อภิเษกสมรสกับพระนางสีมา ตามที่พระเจ้าพันธุมติราชได้ให้คำมั่นไว้
หลังจากที่อ้ายทุกคตะได้อภิเษกสมรสเข้ามาเป็นราชบุตรเขยแล้ว พระเจ้าพันธุมติราชจึงถามเรื่องทองคำว่าได้มาจากไหน เขาก็ตอบว่าได้มาจากแมงสี่หูห้าตาที่เลี้ยงไว้ มันถ่ายเป็นทองแล้วก็ฝั่งไว้ในที่หลังบ้าน พระราชาเกิดความโลภขึ้นในใจ จึงได้สั่งให้ทหารไปขุดทองที่บ้านอ้ายทุกคตะทั้งหมดมาไว้ที่วัง แต่ต้องใช้เวลาถึง 7 วัน 7 คืนกว่าจะขุดทองได้หมด
และเมื่อพระเจ้าพันธุมติราชรู้เรื่องตัวของแมงสี่หูห้าตาแล้ว จึงออกอุบายขอให้อ้ายทุกคตะไปเอาตัวมันมาเลี้ยงที่วังจะดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งอ้ายทุกคตะก็ยินดีเพราะเชื่อลึกๆ ว่าเป็นพ่อกลับชาติมาช่วยตน แต่พอเอามามันกลับกลัวพระเจ้าพันธุมติราช จึงหนีหายออกไป พระราชาจึงสั่งให้เสนาอำมาตย์ไปตามจับมาให้ได้ ซึ่งมันหนีได้ถึง 2 ครั้ง แต่พอครั้งที่ 3 โดนจับได้จึงถูกใส่กรงขังไว้อย่างแน่นหนา
วันหนึ่ง เมื่อพระเจ้าพันธุมติราชต้องการจะสัมผัสตัวแมงสี่หูห้าตาสักครั้ง จึงให้ทหารเปิดกรงที่ขังไว้ออก มันจึงหนีออกไปโดยเร็ว
พระเจ้าพันธุมติราชเห็นดังนั้น จึงวิ่งตามไปเรื่อยๆ คิดว่าจะจับให้ได้ด้วยตนเอง จนกระทั่งมาถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง พระเจ้าพันธุมติราชคิดว่าแมงสี่หูห้าตาวิ่งหนีเข้าไปในถ้ำนี้ จึงได้ตามเข้าไป แต่พอเข้าไปปรากฎว่าอยู่ๆ แผ่นดินก็สั่นสะเทือนจนทำให้ถ้ำเกิดดินถล่มลงมาปิดปากทางออก ทำให้พระเจ้าพันธุมติราชถูกขังอยู่ในถ้ำแห่งนั้นทันที
พวกเสนาอำมาตย์เห็นพระราชาหายไปนานก็เที่ยวออกตามหาจนทั่ว แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ แต่ก็ยังคงตามหาไปเรื่อยๆ จนรู้ว่ามาติดอยู่ในถ้ำที่ถูกดินถล่มปิดทางเข้าไว้ จึงค่อยๆ พากันขุดดินที่ถล่มออกแต่ด้วยความที่ทั้งดินและหิน ถล่มลงมาเยอะมาก ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะเปิดช่องได้
ส่วนพระเจ้าพันธุมติราชที่ถูกขังอยู่ในถ้ำนั้น ก็ได้แต่โทษตัวเองว่า ด้วยความโลภแท้ๆ เพราะอยากได้แมงสี่หูห้าตามาเป็นของตน เลยต้องมาถูกกักขังไว้ในถ้ำแห่งนี้ คงออกไปไหนไม่ได้อีกแล้ว ได้แต่เฝ้ารอคนมาช่วย นานวันเข้าก็คาดว่าตัวเองจะสวรรคตในนี้แน่ๆ
ด้านทหารที่ขุดก็ไม่ย่อท้อ ขุดจนพอมีช่องอากาศได้ ก็รีบตะโกนหาพระเจ้าพันธุมติราช แต่พระเจ้าพันธุมติราชก็หมดอาลัยตายอยากกับชีวิตไปเสียแล้ว บอกไปว่าคงไม่รอดแล้ว
ทหารทั้งหลายที่ขุดเมื่อถ้ำแตกออกเป็นรูเล็ก ๆ พอได้ยินดังนั้น จึงได้เรียนพวกเสนาอำมาตย์ถึงสิ่งที่ได้ยินให้ฟัง เสนาอำมาตย์ทั้งหลายเป็นห่วงพระราชาของตนยิ่งนัก จึงสั่งให้ม้าเร็วไปตามพระมเหสีทั้ง 7 มา และขอให้ทั้ง 7 คนพากันสละความอายด้วยการเปิดผ้าถุง ให้เห็นเรือนร่างอันงดงามของมเหสีทั้ง 7 ให้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสวรรคต แต่พระมเหสีของพระเจ้าพันธุมติราชต่างเกี่ยงกันไปเกียงกันมาด้วยความอาย ไม่กล้าเปิดผ้าถุง แต่แล้วพระมเหสีคนที่ 7 ได้ตัดสละความอาย เปิดผ้าถุงให้ดูพระราชาดูเป็นครั้งสุดท้าย
แล้วก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น อยู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะจากถ้ำทำให้ปากถ้ำเปิดกว้างออกเอง ทำพระเจ้าพันธุมติราชหนีรอดออกมาได้ และสวมกอดมเหสีคนที่ 7 แล้วตรัสว่าต่อไปนี้พี่จะรักเจ้ามากกว่าเมียคนไหนๆ
ด้วยเหตุการณ์นี้ ทำให้มีความเชื่อเกี่ยวกับแมงสี่หูห้าตาที่ว่า ถ้าผู้ชายได้ครอบครองจะหลงรักเมียน้อยมากกว่าเมียหลวงนั่นเอง
เมื่อทั้งหมดกลับมาที่เมือง ก็มีความสงบสุขเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ลืมเรื่องแมงสี่หูห้าตาที่ตามจับในคราวนั้นไปสิ้น จนกระทั่งพระเจ้าพันธุมติราชได้สละราชสมบัติให้กับอ้ายทุกคตะซึ่งเป็นราชบุตรเขยได้สืบราชวงค์ต่อไป และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “พระยาธรรมมิกราช” ที่ไดเชื่อนี้เพราะอ้ายทุกคตะ เป็นคนที่ยึดถือคุณธรรมและศีลธรรมตามที่พ่อเคยได้อบรมสั่งเสียไว้ และทำตามมาตลอด ในกาลนั้นมีการเฉลิมฉลอง 7 วัน 7 คืน มีพระสงฆ์มาเผยแพร่พระพุทธศาสนา แล้วนำพระบรมพุทธสารีริกธาตุนิ้วก้อยข้างซ้ายของพระพุทธเจ้ามาถวาย ในฐานะที่เป็นเจ้าเมือง พระยาธรรมมิกราช จึงโปรดให้สร้างวัดวาอารามต่างๆ เพิ่มขึ้น และได้สร้างวัดตรงถ้ำที่แมงสี่หูห้าตามาติดบ่วงแร้วในครั้งแรก โดยนำเอาพระบรมพุทธสารีริกธาตุก้อยข้างซ้ายของพระพุทธเจ้าบรรจุใส่ไว้ในเจดีย์ของวัดนั้นอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบัน คือ วัดพระธาตุดอยเขาควายแก้ว จังหวัดเชียงราย และมีรูปปั้นของแมงสี่หูห้าตาอยู่ที่วัดด้วย
อีกความหมายของแมงสี่หูห้าตา ตามตำนานแมงสี่หูห้าตาฉบับครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนาอธิบายว่า จำนวนสี่หูและห้าตานั้นแสดงถึงหลักธรรมทางพุทธศาสนาคือ พรหมวิหาร 4 และศีล 5 ตามลำดับ เป็นการให้คติแก่พุทธศาสนิกให้พึงรักษาและปฏิบัติหลักธรรมดังกล่าว
ตามตำนานแมงสี่หูห้าตาที่ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนาแห่งจังหวัดลำพูนเขียนถึงลักษณะของแมงสี่หูห้าตาไว้อีกในอีกแบบหนึ่ง คือ มีลักษณะคล้ายลิง และเรียกว่า “พญาวานรสี่หูห้าตา” มีรูปปั้นของพญาวานรนี้ในจังหวัดลำพูน และเป็นความเชื่อที่แพร่หลายในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรูปวัตถุมงคลที่ผลิตขึ้นโดย พระโต ฐิตวิริโย เช่นกัน
คำบูชาแมงสี่หูห้าตา
“สาธุ อะหัง นะมามิ พระอินทร์ อากาเสจะ พุทธทิปังกะโร นะโมพุทธายะอิอะระณัง อะระหัง กุสะลาธัมมา สัมมาสัมพุทโธ ทุสะนะโส นะโมพุทธายะ พระโสนามะ ยักโข เมตตามหาลาภา ปิ
แมงสี่หูห้าตา
“วันเกิดปีนี้อยากได้ไร จะได้ซื้อถูก เดี๋ยวไม่ถูกใจอีก” เราโทรถามเพื่อน ซึ่งอีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดนาง
“ซื้อให้จริงป่าวววว แก” ปลายสายเสียงดูมีความสดใส
“ทำเสียงแบบนี้ อย่าบอกว่าจะเอาไรที่มันหายากและประหลาดล้ำนะ หาให้ไม่ได้น้า” เราแหย่ไป
“แกรู้จัก ตัวสี่หูห้าตามะ กินไฟถ่ายเป็นทอง นั่นอ่ะจะเอาตัวนั้น” เพื่อนกล่าว
“เฮ้ยจะไปหาที่ไหนตัวอะไรไม่เคยได้ยิน” เราก็บอกไป
“ไม่ต้องหาเราไปดูไว้แล้วไปจ่ายตังค์พอ เป็นของครูบาออ ดังมว้ากก ท่านเก่งสุดๆ เลยแก” เพื่อนรีบแจ้งทันที “เออ จ้าาาา ดีงามมีความพร้อมฝุดๆ ได้ๆ ให้มาส่งละกันเดี๋ยวจัดการให้” เราตอบไป
นั่นคือครั้งแรกที่รู้จักตัวสี่หูห้าตา แล้วก็มีเรื่องราวเยอะแยะที่ทำให้ได้ผจญภัยจนได้พบครูบาออ อริยแห่งลุ่มน้ำสาละวินตัวจริงเสียงจริง ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ จากไทยใหญ่ และได้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นมากมายจากการที่ได้รู้จักเจ้าตัวนี้
ที่นี้เรามาดูตำนานบางส่วนของเจ้าแมงสี่หูห้าตาเครื่องรางที่ชาวเหนือนับถือกันในด้านเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย กันไฟไหม้ ฟ้าผ่า อันตรายต่างๆ นาๆ ชนะภัยร้ายทั้งปวง บรรเทาทุกข์จากการเจ็บป่วย และเป็นมหาโชค มหาลาภ แก่ผู้ที่บูชากราบไหว้
แมงสี่หูห้าตา เป็นชื่อสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งในตำนานว่าด้วยวัดพระธาตุดอยเขาควายแก้ว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย จะมีลักษณะเหมือนหมีสีดำตัวอ้วน มีหูสองคู่และตาห้าดวง กินถ่านไฟร้อนเป็นอาหาร และถ่ายมูลออกมาเป็นทองคำ
ตำนานฉบับวัดดอยเขาควายแก้วของจังหวัดเชียงราย จะเป็นเรื่องราวของ “อ้ายทุกคตะ” มีความว่า
ในอดีตกาล ประมาณ 1,000 กว่าปี มาแล้ว มีเมืองหนึ่งที่ชื่อ นครพันธุมติ มีพระเจ้าพันธุมติราชปกครองอย่างร่มเย็นเป็นสุข และพระเจ้าพันธุมติราชนั้นมีพระมเหสีเจ็ดพระองค์
ในเมืองนี้ มีครอบครัวคนจนอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีกัน 3 คน พ่อแม่ลูก มีลูกชายชื่อว่า “อ้ายทุกคตะ” อาชีพออกขอทานหาช้าวกินค่ำ เมื่ออ้ายทุกคตะอายุได้แค่เพียง 4 ขวบ แม่ก็มาด่วนจากเสียชีวิตไป
การออกขอทานของอ้ายทุกคตะนั้น ก็มีทั้งชาวบ้านที่ใจดีที่ยอมให้ทาน และชาวบ้านที่ไม่ชอบหน้าได้ขับไล่ไปก็มี แต่ก็ทำอาชีพนี้เรื่อยมา จนเมื่ออ้ายทุกคตะมีอายุได้ 12 ปี พ่อก็ให้ลูกไปรับจ้างเลี้ยงวัวเลี้ยงควายของผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองนี้
แต่ทำได้ไม่กี่ปี พ่อก็มาป่วยหนัก คิดแล้วว่าจะไม่รอด จึงได้อบรมและสั่งเสียให้อ้ายทุกคตะเป็นคนดีมีศีลธรรม เชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ เมื่อพ่อเสียชีวิตแล้ว ให้ฝังศพไว้ที่ป่า จนกว่าหัวกะโหลกของพ่อจะหลุด แล้วให้นำมาไหว้สักการะบูชาที่บ้าน
หากเมื่อเจ้าอายุได้ 17 ปี ก็ให้ลากหัวขึ้นดอย ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถ้าหัวติดที่ตรงไหน ก็ให้ฝั่ง แล้วทำบ่วงแร้วดักจับสัตว์ตรงนั้น ถ้าสัตว์ตัวใดมาติดบ่วงแร้ว ให้จับมาเลี้ยงไว้ เมื่อพ่อได้สั่งเสียอ้ายทุกคตะเป็นที่เรียบร้อย
หลังจากนั้นพ่อก็เสียชีวิตลง อ้ายทุกคตะได้ทำตามคำสั่งเสียของพ่อทุกอย่าง รอเวลาจนกระทั่งเมื่อมาดูศพของพ่ออีกครั้ง แล้วหัวกระโหลกหลุดตามที่พ่อบอก จึงทำตามคำสั่งเสียของพ่อก่อนตาย และเมื่อถึงเวลาอ้ายทุกคตะก็ได้ลากหัวกระโหลกของพ่อไปจนติดที่หน้าถ้ำแห่งหนึ่ง จึงได้ทำบ่วงแร้วดักจับสัตว์ที่นั่น ตามคำสั่งเสีย
หลังจากนั้น 2-3 วัน เมื่ออ้ายทุกคตะมาดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามีสัตว์หน้าตาประหลาดมาติดบ่วงแร้วที่ดักไว้ ลักษณะตัวดำ ต่ำอ้วนเหมือนหมี ขนยาวสีดำ มีหู 4 หู และ มีตา 5 ตา จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก แมงสี่หูห้าตา นั่นเอง
พออ้ายทุกคตะได้เห็นแมงสี่หูห้าตามาติดบ่วงแร้วนั้น ก็ไหว้บอกกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า สัตว์ประหลาดตัวนี้ ทำให้ตนเข้าใจว่า เป็นพ่อได้กลับมาเกิดเป็นแมงตัวประหลาดตัวนี้ขอนำกลับไปเลี้ยงดู ตามที่พ่อได้สั่งเสียไว้
หลังจากนั้น ก็ได้นำแมงสี่หูห้าตาไปเลี้ยงที่บ้าน และล้อมคอกไว้โดยไม่ให้ใครเห็น เอาข้าวเอาน้ำให้มันกิน แต่มันก็ไม่ยอมกินอะไรที่เขาให้เลย และเขาก็ไม่มีเวลามาดูแลหรือให้ความสนใจกับแมงสี่หูห้าตามากนัก เพราะต้องออกไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายทุกวัน ครั้นจะเอาไปด้วยก็กลัวจะหนีหายไปเสีย
เมื่อถึงช่วงฤดูหนาว วันหนึ่งเมื่ออ้ายทุกคตะกลับมาบ้าน ก็เอาไม้มาจุดไฟเพื่อก่อกองไฟกันหนาว จุดไปจนกระทั่งถ่านมอดเหลือเป็นถ่านแดงๆ พอดีมีลมพัดมาวูบหนึ่ง ทำให้มีถ่านก่อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งกระเด็นออกมา แต่ดันกระเด็นไปทางแมงสี่หูห้าตา อาจจะด้วยความหิวกระหายของมันหรือไฟนั้นเป็นอาหารของมันที่เขาไม่รู้อยู่แล้วก็เป็นได้ เขาเห็นมันกินถ่านไฟแดงตรงนั้นจนหมด
อ้ายทุกคตะเกิดความแปลกใจ เลยลองก่อกองไฟและเขี่ยถ่านให้แมงสี่หูห้าตากินไปเรื่อยๆ มันก็กินจนหมดเกลี้ยง พอวันต่อมา เขาได้ออกมาดูแมงสี่หูห้าตาว่ามันอยู่ดีหรือกินไฟจนตายไปแล้ว ก็ปรากฎว่าแมงสี่หูห้าตานั้นได้ถ่ายขี้ออกมาเป็นทองคำจำนวนมาก เป็นที่อัศจรรย์ใจของอ้ายทุกคตะเป็นที่สุด จนคิดไปว่าพ่อมาช่วยเขาให้พ้นจากความลำบากแล้วเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ในแต่ละวันอ้ายทุกคตะจึงก่อกองไฟแล้วนำถ่านไฟแดงร้อนๆ มาให้แมงสี่หูห้าตากินอย่างไม่ขาด และมันก็ขี้ออกมาเป็นทองคำทุกวัน อ้ายทุกคตะก็ขุดดินฝังทองคำที่แมงสี่หูห้าตาถ่ายออกมานั้นจนเต็มไร่เต็มสวน
ต่อมา ได้มีข่าวการเผยโฉมของ “พระนางสีมา” พระราชธิดาของพระเจ้าพันธุมติราช ซึ่งเป็นพระราชธิดาที่มีรูปโฉมสวยงามยิ่งนัก จนเหล่าบรรดาเจ้าเมืองต่างๆ จากหลายร้อยเมือง มาขอไปเป็นมเหสี (ขอแต่งงาน) พระเจ้าพันธุมติราชจึงตัดสินใจว่า ถ้าหากต้องการพระนางสีมาไปเป็นมเหสีแล้วล่ะก็ ให้สร้างรางรับน้ำฝนทองคำจากบ้านเมืองท่านมายังปราสาทให้สำเร็จ แล้วจะยกพระธิดาให้กับผู้นั้น
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย จึงทำให้เรื่องนี้เงียบหายไป แต่พออ้ายทุกคตะได้ยินข่าวนี้ ก็ได้รีบไปจ้างช่างทำรางรับน้ำฝนทันที โดยให้สร้างจากทองคำที่ฝังไว้ และช่างก็เริ่มสร้างรางน้ำฝนทองคำขึ้นจากบ้านอ้ายทุกคตะไปยังปราสาทของพระธิดา
หลังจากนั้นไม่นาน ชาวบ้านในเมืองได้เห็นสิ่งที่น่าประหลาดยิ่ง นั้นคือ รางน้ำฝนทองคำ ก่ายพาดตามทางยาวจนสุดลูกหูลูกตา เมื่อพระเจ้าพันธุมติราชทรงทราบว่ามีรางน้ำฝนทองคำเกิดขึ้นในเมือง จึงให้เสนาอำมาตย์ ไปติดตามดูว่ามาจากไหนกันแน่
เมื่อพบว่ารางน้ำนั้นมาจากบ้านของอ้ายทุกคตะ พระเจ้าพันธุมติราชจึงสั่งการให้ทำถนนเป็นอย่างดีไปจนถึงบ้านของอ้ายทุกคตะ เมื่อได้ฤกษ์ยามที่ดีแล้วอ้ายทุกคตะจึงได้อภิเษกสมรสกับพระนางสีมา ตามที่พระเจ้าพันธุมติราชได้ให้คำมั่นไว้
หลังจากที่อ้ายทุกคตะได้อภิเษกสมรสเข้ามาเป็นราชบุตรเขยแล้ว พระเจ้าพันธุมติราชจึงถามเรื่องทองคำว่าได้มาจากไหน เขาก็ตอบว่าได้มาจากแมงสี่หูห้าตาที่เลี้ยงไว้ มันถ่ายเป็นทองแล้วก็ฝั่งไว้ในที่หลังบ้าน พระราชาเกิดความโลภขึ้นในใจ จึงได้สั่งให้ทหารไปขุดทองที่บ้านอ้ายทุกคตะทั้งหมดมาไว้ที่วัง แต่ต้องใช้เวลาถึง 7 วัน 7 คืนกว่าจะขุดทองได้หมด
และเมื่อพระเจ้าพันธุมติราชรู้เรื่องตัวของแมงสี่หูห้าตาแล้ว จึงออกอุบายขอให้อ้ายทุกคตะไปเอาตัวมันมาเลี้ยงที่วังจะดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งอ้ายทุกคตะก็ยินดีเพราะเชื่อลึกๆ ว่าเป็นพ่อกลับชาติมาช่วยตน แต่พอเอามามันกลับกลัวพระเจ้าพันธุมติราช จึงหนีหายออกไป พระราชาจึงสั่งให้เสนาอำมาตย์ไปตามจับมาให้ได้ ซึ่งมันหนีได้ถึง 2 ครั้ง แต่พอครั้งที่ 3 โดนจับได้จึงถูกใส่กรงขังไว้อย่างแน่นหนา
วันหนึ่ง เมื่อพระเจ้าพันธุมติราชต้องการจะสัมผัสตัวแมงสี่หูห้าตาสักครั้ง จึงให้ทหารเปิดกรงที่ขังไว้ออก มันจึงหนีออกไปโดยเร็ว
พระเจ้าพันธุมติราชเห็นดังนั้น จึงวิ่งตามไปเรื่อยๆ คิดว่าจะจับให้ได้ด้วยตนเอง จนกระทั่งมาถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง พระเจ้าพันธุมติราชคิดว่าแมงสี่หูห้าตาวิ่งหนีเข้าไปในถ้ำนี้ จึงได้ตามเข้าไป แต่พอเข้าไปปรากฎว่าอยู่ๆ แผ่นดินก็สั่นสะเทือนจนทำให้ถ้ำเกิดดินถล่มลงมาปิดปากทางออก ทำให้พระเจ้าพันธุมติราชถูกขังอยู่ในถ้ำแห่งนั้นทันที
พวกเสนาอำมาตย์เห็นพระราชาหายไปนานก็เที่ยวออกตามหาจนทั่ว แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ แต่ก็ยังคงตามหาไปเรื่อยๆ จนรู้ว่ามาติดอยู่ในถ้ำที่ถูกดินถล่มปิดทางเข้าไว้ จึงค่อยๆ พากันขุดดินที่ถล่มออกแต่ด้วยความที่ทั้งดินและหิน ถล่มลงมาเยอะมาก ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะเปิดช่องได้
ส่วนพระเจ้าพันธุมติราชที่ถูกขังอยู่ในถ้ำนั้น ก็ได้แต่โทษตัวเองว่า ด้วยความโลภแท้ๆ เพราะอยากได้แมงสี่หูห้าตามาเป็นของตน เลยต้องมาถูกกักขังไว้ในถ้ำแห่งนี้ คงออกไปไหนไม่ได้อีกแล้ว ได้แต่เฝ้ารอคนมาช่วย นานวันเข้าก็คาดว่าตัวเองจะสวรรคตในนี้แน่ๆ
ด้านทหารที่ขุดก็ไม่ย่อท้อ ขุดจนพอมีช่องอากาศได้ ก็รีบตะโกนหาพระเจ้าพันธุมติราช แต่พระเจ้าพันธุมติราชก็หมดอาลัยตายอยากกับชีวิตไปเสียแล้ว บอกไปว่าคงไม่รอดแล้ว
ทหารทั้งหลายที่ขุดเมื่อถ้ำแตกออกเป็นรูเล็ก ๆ พอได้ยินดังนั้น จึงได้เรียนพวกเสนาอำมาตย์ถึงสิ่งที่ได้ยินให้ฟัง เสนาอำมาตย์ทั้งหลายเป็นห่วงพระราชาของตนยิ่งนัก จึงสั่งให้ม้าเร็วไปตามพระมเหสีทั้ง 7 มา และขอให้ทั้ง 7 คนพากันสละความอายด้วยการเปิดผ้าถุง ให้เห็นเรือนร่างอันงดงามของมเหสีทั้ง 7 ให้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสวรรคต แต่พระมเหสีของพระเจ้าพันธุมติราชต่างเกี่ยงกันไปเกียงกันมาด้วยความอาย ไม่กล้าเปิดผ้าถุง แต่แล้วพระมเหสีคนที่ 7 ได้ตัดสละความอาย เปิดผ้าถุงให้ดูพระราชาดูเป็นครั้งสุดท้าย
แล้วก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น อยู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะจากถ้ำทำให้ปากถ้ำเปิดกว้างออกเอง ทำพระเจ้าพันธุมติราชหนีรอดออกมาได้ และสวมกอดมเหสีคนที่ 7 แล้วตรัสว่าต่อไปนี้พี่จะรักเจ้ามากกว่าเมียคนไหนๆ
ด้วยเหตุการณ์นี้ ทำให้มีความเชื่อเกี่ยวกับแมงสี่หูห้าตาที่ว่า ถ้าผู้ชายได้ครอบครองจะหลงรักเมียน้อยมากกว่าเมียหลวงนั่นเอง
เมื่อทั้งหมดกลับมาที่เมือง ก็มีความสงบสุขเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ลืมเรื่องแมงสี่หูห้าตาที่ตามจับในคราวนั้นไปสิ้น จนกระทั่งพระเจ้าพันธุมติราชได้สละราชสมบัติให้กับอ้ายทุกคตะซึ่งเป็นราชบุตรเขยได้สืบราชวงค์ต่อไป และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “พระยาธรรมมิกราช” ที่ไดเชื่อนี้เพราะอ้ายทุกคตะ เป็นคนที่ยึดถือคุณธรรมและศีลธรรมตามที่พ่อเคยได้อบรมสั่งเสียไว้ และทำตามมาตลอด ในกาลนั้นมีการเฉลิมฉลอง 7 วัน 7 คืน มีพระสงฆ์มาเผยแพร่พระพุทธศาสนา แล้วนำพระบรมพุทธสารีริกธาตุนิ้วก้อยข้างซ้ายของพระพุทธเจ้ามาถวาย ในฐานะที่เป็นเจ้าเมือง พระยาธรรมมิกราช จึงโปรดให้สร้างวัดวาอารามต่างๆ เพิ่มขึ้น และได้สร้างวัดตรงถ้ำที่แมงสี่หูห้าตามาติดบ่วงแร้วในครั้งแรก โดยนำเอาพระบรมพุทธสารีริกธาตุก้อยข้างซ้ายของพระพุทธเจ้าบรรจุใส่ไว้ในเจดีย์ของวัดนั้นอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบัน คือ วัดพระธาตุดอยเขาควายแก้ว จังหวัดเชียงราย และมีรูปปั้นของแมงสี่หูห้าตาอยู่ที่วัดด้วย
อีกความหมายของแมงสี่หูห้าตา ตามตำนานแมงสี่หูห้าตาฉบับครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนาอธิบายว่า จำนวนสี่หูและห้าตานั้นแสดงถึงหลักธรรมทางพุทธศาสนาคือ พรหมวิหาร 4 และศีล 5 ตามลำดับ เป็นการให้คติแก่พุทธศาสนิกให้พึงรักษาและปฏิบัติหลักธรรมดังกล่าว
ตามตำนานแมงสี่หูห้าตาที่ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนาแห่งจังหวัดลำพูนเขียนถึงลักษณะของแมงสี่หูห้าตาไว้อีกในอีกแบบหนึ่ง คือ มีลักษณะคล้ายลิง และเรียกว่า “พญาวานรสี่หูห้าตา” มีรูปปั้นของพญาวานรนี้ในจังหวัดลำพูน และเป็นความเชื่อที่แพร่หลายในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรูปวัตถุมงคลที่ผลิตขึ้นโดย พระโต ฐิตวิริโย เช่นกัน
คำบูชาแมงสี่หูห้าตา
“สาธุ อะหัง นะมามิ พระอินทร์ อากาเสจะ พุทธทิปังกะโร นะโมพุทธายะอิอะระณัง อะระหัง กุสะลาธัมมา สัมมาสัมพุทโธ ทุสะนะโส นะโมพุทธายะ พระโสนามะ ยักโข เมตตามหาลาภา ปิ