อยากฟังประสบการณ์คนที่ชีวิตต้องดิ้นรนไม่มีเงินเหลือ แต่ยังมีหนี้ที่ต้องใช้อยู่ แล้วสู้จนชีวิตผ่านมาได้ เข้ามาแชร์กันคับ

กระทู้คำถาม
สวัสดีครับ ผมอยากฟังประสบการณ์ชีวิตจริงของแต่ละท่าน ที่ช่วงชีวิตนึงนั้นพวกท่านได้สัมผัวกับชะตาชีวิตที่ตกต่ำสุดขีด แล้วพวกท่านผ่านมาได้อย่างไรครับ

ผมคือคนนึงที่ตอนนี้ผมมีหนี้มากมายมหาศาล และ ตอนนี้เงินในบัญชีก็แทบไม่เหลือ แต่หนี้สินนั้นมากมาย จนผมจะคิดฆ่าตัวตายหลายครั้งมาก ในวันนี่ผมจึงอยากฟังประสบการณ์ของแต่ละท่านเพื่อจะได้เป็นกำลังใจให้ตัวผมเอง และเป็นวิทยาทาน ให้กับคนอื่นๆหากพรุ่งนี้หรืออีก10 ปีข้างหน้ามีคนที่กำลังท้อ กำลังพ่ายแพ้ต่อชะตาชีวิตแล้วเสิร์ทกูเกิ้ลในยามที่ท้อ แล้วเจอบทความนี้ ประสบการณ์ของทุกท่านอาจเป็นแรงใจให้พวกเค้าสู้ต่อไปครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
เด็ก ๆ ผมโตมามีความพร้อมหมด ตอนใกล้ ๆ จะจบปวสพ่อเรียกผมไปคุย ( ผมจำทุกคำพูดฝังใจ )
"บ้านเรากำลังจะมีคนมาซื้อน่ะ เราต้องออกจากบ้านแล้วเช่าบ้านอยู่ พร้อมน้ำตาลูกผู้ชายอาบแก้ม"
ผมตื้อไปหมดพ่อทำธุรกิจแล้วติดลบบ้านถูกขาย เราออกไปเช่าบ้าน แม่ไม่ต้องพูดถึงน้ำตาแกจะเป็นสายเลือดแล้ว
ตอนนั้นบรรยากาศในบ้าน แทบไม่มีเสียงคุยกันเลยทุกอย่างเศร้ามาก ผมต้องทำงานตอนเลิกเรียนช่วยครอบครัว
พ่อขายล๊อตเตอร์รี่โดยการปั่นจักรยาน เพราะบ้านที่ขายนั้นพอจ่ายแค่หนี้ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังเหลือหนี้อีกเยอะที่ตอนนั้น
ยังไม่รู้จะหาเงินจากไหน  วันดีคืนดีเจ้าหนี้จะมาทวงพร้อมด้วยเสียงด่า ผมได้ยินประจำ ข้าวปลาอาหารแกง 1 ถุงกิน 3 คน
เป็นแบบนี้จนผมเรียนจบ ปวส ก็โชคดีที่ฝึกงานเก่ารับเข้าทำงานเลย ได้เงินเดือนสมัยนั้น 6,500 โชคดีที่มีโอทีตลอด
ช่วยเบาบางเจ้าหนี้ที่มาที่บ้านบ้าง ทำงานอยู่หลายปีหนี้แทบไม่ลดเลย ผมสมัครบัตรช่วยจ่ายไปอีก ที่นี้หนี้ผมหนี้เก่าปนไปหมด
ใช้เวลาเป็น 10 ปีมันถึงหมดลง ( ซึ่งเจ้าหนี้ลดให้บ้างบางส่วนจากการจ่ายแบบไม่หนี ) พอหนี้หมดปัญหาเกิดโรงงานที่อยู่ปิดตัวลง
ได้เงินมาก้อนหนึ่งผมตัดสินใจทำธุรกิจ แรกๆก็ดีครับช่วงหลังรายได้หาย เครดิตดีกู้ธนาคารมายื้อ สุดท้ายหมดตัวครับ หลับไม่ได้
กินเหล้าทุกวัน ไม่กินไม่ได้ครับนอนไม่หลับเลย หนี้ธนาคารไม่มีให้ ผมได้งานจากธุรกิจเดิมมาทำที่บ้าน ( จากลูกค้าที่ไว้ใจกัน)
แต่พอแค่จ่ายค่าเช่าบ้านกับค่ากินเท่านั้น หนี้ธนาคารผมเข้าไปคุยขอส่งแบบน้อยสุดธนาคารใจดีให้จ่ายขึ้นต่ำพร้อมดอกเบี้ยที่มากขึ้น
สภาพตอนนั้นก็ไม่ต่างกับคุณตอนนี้ แต่ผมไม่เคยคิดฆ่าตัวตายเลยเพราะหันไปก็เจอพ่อกับแม่ที่อายุมากขึ้น ผมทำตัวเองไม่ลงจริง ๆ
ทำที่บ้านอยู่เกือบ 5 ปี โชคดีลูกค้าที่เคยส่งงานให้ผมแกเปิดโรงงานใหม่ ชวนผมไปทำโรงงานเล็ก ๆ พนักงานไม่เกิน 20 คน
ได้ลืมตาอ้าปากหน่อยพอเลี้ยงตัวเองแล้ว จ่ายหนี้ธนาคารได้ ทำอยู่ได้สักพักตัดสินใจออกครับ ทำธุรกิจอีกโดยใช้เงินทุนอันน้อยนิด
เดินอย่างปลอดภัยเพราะมีประสบการณ์แล้ว ผมทำจนมันอยู่ด้วยตัวเองได้ ตอนนั้นอยากมีเมียครับชอบผู้หญิงคุยกันแล้วโอเค
จะสร้างอนาคตด้วยกัน โดยผมบอกกับเธอว่าผมจะขอซื้อบ้านให้พ่อแม่ก่อน จากนั้นผมจะเก็บเงินไปขอและทำบ้านพ่อแม่เธอที่ต่างจังหวัดให้
มันนานเกินมั้งครับเธอไม่รอด้วยเหตุผลไรช่างมันข้ามไป ทั้งที่ผมซื้อบ้านให้พ่อแม่แล้ว เก็บเงินได้ตั้ง 300,000 พร้อมไปขอแล้วครับ
เอาอีกแล้วชิวิตหันหาขวดเหล้าอีกไม่กินนอนไม่ได้ครับ กินจน 2-3 กลมไม่เมานั่งนิ่ง ๆ เลย เป็นปีครับกว่าจะกลับมาได้

ผมอยากจะบอกคุณว่าหนี้มันต้องใช้ตามสภาพครับ เงินไม่มีก็ไปหามันคิดฆ่าตัวตายมันง่ายเกินไปสำหรับลูกผู้ชาย ทุกวันนี้ผมมองตัวเอง
เรามันก็แน่เหมือนกันผ่านยิ้มทุกอย่างแล้วในชิวิต ฟ้าหลังฝนแบบที่เค้าพูดกันมันก็มีจริงครับ อยู่ที่จะใช้เวลาเท่าไรกว่าฟ้าจะเปิด
ผมเป็นกำลังให้ครับ คุณคิดลองคิดดูถ้าวันหนึ่งคุณผ่านไปได้แล้วไปนั่งกินข้าวกับพ่อแม่ ตอนแกยิ้มแล้วหัวเราะ มันจะมีความสุขแค่ไหน
ความคิดเห็นที่ 40
ขอแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองนะคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับ จขกท. และทุกคนที่ได้อ่าน ทำให้คนที่กำลังฝ่าฝันกับอุปสรรคในชีวิตพอมีกำลังใจขึ้นมาได้บ้าง
ไม่เคยมีใครบนโลกใบนี้ที่ไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยมีใครบนโลกใบนี้ที่ไม่เคยประสบปัญหา ขอแค่ให้เรามีสติปัญญาพาชีวิตก้าวผ่านมันไป

เราเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจน ถูกเอาไปฝากไว้บ้านญาติฝั่งพ่อบ้าง ฝั่งแม่บ้าง เพราะพ่อกับแม่ต้องทำงานไม่มีเวลามาดูแล ได้มาอยู่กับพ่อแม่ก็ตอนประถมปลายแล้ว พอมาอยู่เป็นครอบครัว สิ่งที่เจอคือเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน ตบตีกัน หลักๆ มาจากเรื่องเงิน
เราทำงานตั้งแต่จำความได้ รับจ้างขายขนม, ถอนผมหงอก, แกะเม็ดมะม่วง ฯลฯ อายุครบ 15 ปีปุ๊บ ก็มีบัตรประกันสังคมปั๊บ ทำมาแล้วเกือบทุกร้านทั้งร้านสะดวกซื้อ และร้านฟ๊าดฟู๊ดต่างๆ สาเหตุที่ทำหลายร้าน เพราะ อยากกินอะไรก็ไปสมัครทำงานร้านนั้น ร้านไหนผู้จัดการร้านใจดี เวลาเลิกร้านก็จะได้กินของ wasted (ของหมดอายุ) แบบไม่ต้องเสียเงิน แต่บางร้านก็นำสินค้ามาจำหน่ายให้ในราคาพนักงานซึ่งถูกกว่าราคาปกติค่อนข้างมาก
เงินที่ได้มาให้ที่บ้านหมด เพื่อช่วยค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในบ้าน
ตอนเรียนต้องทำผลการเรียนให้ดี และทำตัวให้ไม่มีประวัติเสียหาย เพราะเอาไว้เป็นใบเบิกทางสำหรับสมัครทุนฟรี (ไม่ต้องจ่ายคืน)
ถ้าทางโรงเรียนมีประกาศเรื่องทุนเมื่อไหร่ ไม่เคยพลาด สมัครหมด เพื่อนำเงินที่ได้มาเอาไว้เป็นทุนเรียนในชั้นต่อไป (แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่เคยเหลือทันจ่ายค่าเทอม หมดไปกับภาระค่าใช้จ่ายในบ้านไปก่อน)
ทางโรงเรียนมีประกวดชิงรางวัลอะไร ไม่ว่าจะร้องเพลง วาดรูป แต่งกลอน เขียนเรียงความ คัดลายมือ สมัครแข่งกับเค้าหมด
เพราะหวังว่าถ้าชนะก็จะได้เงินรางวัล แต่ถ้าไม่ชนะก็ไม่เป็นไรเพราะถือว่าเราพยายามเต็มที่แล้ว
บอร์ดประกาศงานของโรงเรียน และมหาวิทยาลัยฯ กับเราเป็นเพื่อนกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่มีประกาศงานพิเศษ อย่าง สอนหนังสือ พิมพ์งาน ฯลฯ
เรารับทำทั้งหมดเท่าที่สังขารจะทำได้ เวลารับงานพิมพ์ หรือมีคนจ้างทำรายงาน เราไม่มีเงินซื้อคอมพิวเตอร์ ต้องอาศัยไปต่อคิวรอในห้องสมุด เพื่อไปทำงานที่รับมา (เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว คอมพิวเตอร์ในมหาวิทยาลัยฯ ขาดแคลนมาก จะมีเฉพาะในห้องสมุด ซึ่งมีกำหนดเวลาให้ใช้
พอครบเวลา งานยังไม่เสร็จ ก็ไปลงคิวต่อใช้ใหม่)

แต่การที่เราทำงานหนัก ก็ใช่ว่าจะทำให้เรารู้จักการบริหารเงิน เพราะตอนเด็กๆ หามาได้เท่าไหร่ก็ให้ที่บ้านหมด ที่โรงเรียนก็ไม่มีวิชาสอนให้บริหารจัดการด้านการเงินในชีวิตประจำวัน พอเรียนจบทำงาน มันก็มีกิเลส เริ่มอยากได้ อยากมีเหมือนคนอื่นๆ ไปสมัครบัตรเครดิต บัตรกดเงินสดต่างๆ สุดท้ายรายจ่ายมากเกินกว่ารายได้ มีหนี้สินหลักแสน ล้มเหลวทางการเงินโดยสิ้นเชิง


ที่พีคสุดคือการตัดสินใจเปลี่ยนงานใหม่ เพราะหวังผลตอบแทนที่ดีกว่า เพื่อเอาเงินมาปลดหนี้ แล้วเหมือนฟ้าผ่าลงกลางกบาล
ไม่ผ่านการประเมินให้เป็นพนักงานประจำ (ตั้งแต่ทำงานมาหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่ผ่านโปร)
แต่ตอนนั้นเราเปิดรับซัก-รีดช่วงหลังเลิกงาน และวันหยุดด้วย พอมีฐานลูกค้าอยู่บ้าง เลยตัดสินใจนำเงินทั้งหมดที่มี ประมาณ 4 หมื่น
มาลงทุนเปิดร้านซักรีด แต่เพราะขาดประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจ หลังจากเปิดไปได้ 2 เดือน รายรับมันไม่พอกับรายจ่าย
ถ้าจะทำต่อก็ต้องไปกู้หนี้นอกระบบ ซึ่งเรามองแล้วว่า หนี้ที่เรามีอยู่ (บัตรเครดิตต่างๆ) ก็ยังมีอยู่ แล้วไหนจะเงินกู้ กยศ. ที่กู้มาตอนเรียนอีก
เราเลยตัดสินใจเลิกกิจการ ขายทุกอย่างที่พอจะขายได้ ทำให้มีเงินเหลือประมาณ 1 หมื่นบาท
ตอนนั้นคือเป็นคนว่างงานโดยสมบูรณ์ แต่เวลาเป็นเงินเป็นทอง ไหนจะปากท้อง และภาระของตัวเอง ไหนจะภาระทางบ้าน จะมามัวรองานไม่ได้ เลยเอาเงิน 1 หมื่นบาทไปลงทุนขายของ จากพนักงานกินเงินเดือน มีรายได้แน่นอน เดือนละ 2-3 หมื่นบาท ต้องมาเป็นแม่ค้า รายได้ไม่แน่นอน เหลือรายได้ประมาณ 8-9 พันบาทต่อเดือน และการเป็นแม่ค้า คือประสบการณ์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตเรา  

การที่เราเป็นแม่ค้าขายปลาย่างข้างทาง ทำให้เราได้รู้ว่า...
> การอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่น ทำให้บ่อยครั้งมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วยความเต็มใจโดยที่เราไม่ต้องร้องขอ
> ไม่ว่าจะมีมาก หรือมีน้อย ให้รู้จักแบ่งปันต่อผู้ที่มีน้อยกว่า
> ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง และต่อผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ
> เวลาเป็นของมีค่า เพราะถ้าเราพลาดช่วงเวลาที่สำคัญ นั่นหมายถึงเราได้ทำให้โอกาสหลุดลอยไป
> จะถือเงินร้อย หรือถือเงินพัน สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การหา แต่คือการบริหารเงินที่มีอยู่ไปในทางที่มีประโยชน์ และคุ้มค่ามากที่สุด
> เป้าหมายที่วางเอาไว้จะสำเร็จได้ช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับการมีวินัยในตัวเองเป็นหลัก

ตอนนี้เรากลับมาทำงานกินเงินเดือนเป็นพนักงานประจำได้เกือบ 3 ปีแล้ว (ตอนนี้เงินเดือนสองหมื่นต้นๆ) หนี้สินยังมีอยู่ แต่รู้จักวางแผน มีสติในการใช้ชีวิต มีวินัยกับทุกๆ เรื่องที่ทำ โดยเฉพาะการใช้เงิน
ถึงเงินเดือนที่ทำอยู่ตอนนี้จะได้ไม่มากเท่ากับก่อนที่เราตกงาน แต่เราสามารถมีเงินใช้ในชีวิตประจำวัน, ช่วยที่บ้าน, ผ่อนจ่ายหนี้สิน (ซึ่งตอนนี้ยังเหลืออยู่บางส่วน), มีเงินเก็บส่วนนึงเผื่อไว้ในยามจำเป็น, สามารถไปเที่ยว/กินข้าวนอกบ้านบ้างในบางครั้ง โดยที่ไม่เดือดร้อน ทุกอย่างล้วนมาจาก การที่เรารู้จักบริหารสิ่งต่างๆ ที่ได้มาให้เหมาะสมกับชีวิตเรา ไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่ไม่จำเป็นในชีวิต (เสื้อผ้า, กระเป๋า, รองเท้า, เครื่องสำอาง, เครื่องประดับ พวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของสิ้นเปลือง ซื้อมามากไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เราจะซื้อแต่ที่จำเป็น และเน้นของที่มีคุณภาพ ถึงจะราคาสูงหน่อย แต่เราสามารถใช้ไปได้อีกหลายปี)
ที่สำคัญคือต้องรู้จักแบ่งปันสิ่งที่มีอยู่ให้กับผู้อื่น (ให้อภัย, บริจาคสิ่งของ, ทำบุญ ฯลฯ) เพื่อตัดลดกิเลสในใจเรา และทำให้ใจเราสงบลงได้ด้วยค่ะ


เราทุกคนล้วนเคยพบกับความทุกข์ยาก ไม่ว่าจะทางร่างกาย หรือทางจิตใจ เมื่อไหร่ที่เราถูกผลักกลับไปให้อยู่ที่จุดเริ่มต้น ให้เราตั้งสติและเดินต่อไปในหนทางใหม่ ไม่มีประโยชน์ที่เราจะนั่งจมดิ่งอยู่กับความทุกข์ในที่เดิมๆ
ในวันที่เราไม่รู้ว่าจะทำสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร และทำไปเพื่อใคร ให้เราคิดแค่ว่า ร่างกายของเราไม่ได้มาฟรีๆ พ่อแม่เราต้องแบ่งเลือดเนื้อ และเสียเงินเลี้ยงดูจนเราเติบโตมาได้ทุกวันนี้ เรามีภาระที่ต้องจ่าย นั่นคือทำชีวิตที่ได้รับมาให้เดินบนหนทางที่ถูกที่ควรที่สุด
ช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจในการทำอะไรบางอย่าง ทั้งที่ยังสับสนว่าควรทำหรือไม่ควรทำ เราจะถามตัวเองเสมอว่าสิ่งที่กำลังจะทำอยู่เดือดร้อนผู้อื่น และเดือดร้อนตนเองหรือไม่ ถ้าคำตอบคือไม่เดือนร้อนทั้งผู้อื่นและตนเอง เราจะทำถึงจะไม่รู้ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร


ขอให้ จขกท. และคนที่ได้อ่านข้อความมาจนถึงบรรทัดนี้ จะมีสติและปัญญานำพาชีวิตก้าวผ่านปัญหาไปได้นะคะ
ความคิดเห็นที่ 7
ชีวิตผมไม่ได้เป็นหนี้น๊ะ แต่ขอแนะนำหลักคำสอนทางพุทธศาสนา ซึ่งนำมาปรับใช้ได้ ก็คือหลักของการทำบุญทำทาน เพื่อความสละออก
ตรงนี้ให้หมั่นทำ ตามกำลัง มีน้อยทำน้อย มีมากก็ทำได้ตามสมควร และตั้งใจรักษาศิล5ให้ดีๆ และหมั่นฟังธรรมคำสอนต่างๆให้มากๆและ
สวดมนต์ และเจริญสติสัมปชัญญะภาวนา เพื่อให้เกิดปัญญา นี้เมื้อจิตเราสงบก็จะเกิดปัญญาพิจารณาสิ่งต่างๆได้รอบคอบยิ่งขึ้น

ถ้าทำได้ ทุกๆอย่างก็จะค่อยๆดีขึ้นเอง แต่อย่าไปทำบุญทำทาน แล้วขอให้รวยขอปลดหนี้ นี้อย่าไปทำไม่จำเป็น ให้ทำบุญทำทานโดยวาง
จิตเพื่อความสละออกอย่างเดียว หรือเพื่อมรรคผลนิพพาน ก็คือการสละออกเช่นกัน นี้เป็นการฝึกจาคะหรือการสละ  นี้จะทำให้เรารู้สึกมี
ความเบาใจ นี้เป็นการฝึกสละเพื่อปล่อยวางสิ่งที่ยึด แต่อานิสงค์ของการทำบุญ รักษาศิล และภาวนา นี้มีอานิสงค์ส่งถึงเราได้ แต่อย่าไป
คาดหวังหรือรอผล แต่ชีวิตจะค่อยๆปรับดีขึ้นได้แน่นอน

งานต่างๆก็ต้องอาศัย สติสัมปชัญญะ คือมีการพิจารณาในงาน การแก้ปัญหา การตัดสินใจ และโอกาสเนื่องจากกรรมที่เราทำ ก็เป็นส่วน
ที่ชักนำให้เราไปตามผลแห่งบุญกรรมได้ นี้เราจะค่อยๆเห็นทางออก หรือมีทางแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น มีโอกาสให้เราได้เดินได้มากขึ้น
ยังงัยก็ทดลองทำดูน๊ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่