จุดเริ่มต้นการเป็นหนี้
เกิดจากกิเลสทั้งสิ้นค่ะ เรื่องนี้ไม่โทษใครเลยนอกจากตัวเองทำตัวเอง เราเป็นเด็กบ้านนอกยากจน ไม่เคยมี ไม่เคยได้ อะไรอย่างเด็กคนอื่นๆ ตอนเรียนขอทุนตลอด ตั้งแต่ ประถมถึงมัธยม ระหว่างนั้นก็รับลอกการบ้านเพื่อน ปักครอสติช ตลอด 5555 พ่อแม่แยกทางกัน เลยต้องทำให้หาเลี้ยงตัวเองมาตลอดตั้งแต่จบม.6 พอเรียนจบเริ่มทำงานจริง ก็าลงเอยด้วยการมี บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และ สินเชื่อ รายได้รวมตอนนั้น อยู่ที่ 22,000-25,000 ถือว่าโอเคเลยละ เด็กไม่เคยมีอะไรอะนะ เพื่อเป็นการชดเชยสิ่งที่ขาดไปในวัยเด็ก เราก็ทั้งกิน ทั้งเที่ยว ทั้งซื้อ รูดกระจาย มีบัตรอะนะ อะไรก็ง่าย และเราก็ผ่อนรถ ด้วยการกดเงินในบัตรมาดาวน์รถ 1แสน(หารู้ไม่ว่าชีวิตกำลังจะเปลี่ยนไป) กินเที่ยว สนุกสนานเฮฮาอยู่หลายปี เงินก็เริ่มไม่ค่อยคล่อง รถปีที่ 2 ก็เริ่ม ผ่อนประกันเอง จ่ายค่าบำรุงรักษาเริ่มแพงขึ้น จากหลักพัน ก็เริ่มเป็นหลายพันจนถึงหลักหมื่นในบางช่วง เราจึงหาช่องทางทำเงินต่อ ด้วยการไปขายของที่ตลาดนัด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ขายเครื่องสำอางค์ กู้เงินธนาคารมาดำเนินธุรกิจ 50,000 ซึ่งช่วงแรก บอกเลยขายดีมาก กำไรตกวันละ 5,000 บาท(ทั้งตลาดมีเราเจ้าเดียวตอนนั้น) เลยตัดสินใจลาออกมาขายของเต็มตัวเพราะกำไรยั่วยวนมาก ขายได้ดีอยู่สักพัก หลังๆ มา ยอดขายเริ่มตก ลดลง ลดลง จนบางวันขายไม่ได้เลย ซึ่งมารู้ว่า มีร้านอื่นมาเปิดขายแข่ง ตัดราคา อีกหลายสิบร้าน ทั้งใหญ่กว่า ของเยอะกว่า ทุนหนากว่า สุดท้ายเจ๊ง ด้วยขาดประสบการณ์ ทุนไม่หนา การตลาดไม่เป็น
พอร้านเจ๊ง เรามีรายจ่าย เลยต้องกลับมาหางานทำ ได้งานใหม่ เงินเดือน 18,000 บาท น้อยกว่าเดิม แต่เราเลือกไม่ได้ เราต้องมีรายได้ เพราะรายจ่ายเราสูง พอผ่านโปร ที่ทำงานใหม่ มีสวัสดิการให้พนักงานกู้ได้ 10 เท่าของเงินเดือน เราตัดสินใจกู้มาปิดบัตร(บางส่วน) เพื่อนที่จะได้ผ่อนที่เดียว สุดท้ายได้ปิด แต่ก็กลับไปใช้บัตรนั่นเหมือนเดิมจนวงเงินเต็มอีกรอบ จุดนี้อยากจะโบยหลังตัวเองสัก100ที ซึ่งมาถึงจุดหนี้ เรามีหนี้ทั้งสิ้น 11 รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ประมาณ 1 ล้านบาท เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการปล่อยหนี้ทุกอย่าง ยกเว้นรถกับสินเชื่อที่ทำงาน
หลังจากปล่อยทุกสิ่ง สิ่งที่ต้องเตรียมรับมือคือ การทวงหนี้จากทุกรูปแบบ โดยเฉพาะ บัตรกดเงินสด ที่ไม่ใช่ธนาคาร จะโทรหาคุณวันละ 3 รอบ คุณจะได้พัก แค่วันอาทิตย์ และสายจะลดลงหลังจากผ่าน 3 เดือนแรกไปแล้ว ช่วงนั้นเครียดมากค่ะ เพราะถ้าไม่รับมือถือ จะโทรเข้าที่ทำงาน ต่อไปคือที่บ้าน และเบอร์บุคคลอ้างอิง เรียกได้ว่าตามทุกช่องทาง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราก่อเอง เราไม่อยากให้ครอบครัวมารู้ แต่สุดท้ายเค้าก็รู้ เราก็เลยต้องบอกไปว่าเป็นหนี้ แต่ไม่ได้บอกจำนวนเงิน แม่ก็เข้าใจ แต่เราอ่ะเสียใจมาก ไม่อยากให้เค้าเครียด แต่แม่ก็ไม่กล้าว่าเรามาก เพราะเราหาเงินเอง ช่วงแรกๆ ก็ให้เงินแม่ หลังๆ ไม่ได้ให้เค้าเลย แต่แม่เข้าใจ เพราะเค้าแต่งงานมีครอบครัวใหม่ที่คอยเลี้ยงดู ผ่านเข้าเดือนที่ 2 มีเจ้าหนี้ 1 ราย เสนอลดจาก 120,000 เหลือ 50,000 เราตัดสินใจเอาเงินก้อนสุดท้ายที่กดจากบัตรก่อนหน้าที่จะปล่อย+โบนัส ปิดบัตรใบนั้นไป
ช่วงที่เลวร้ายที่สุดของชีวิตดำเนินมาถึง เมื่อเงินเดือนที่ออกมาถูกจ่ายออกไปหมด รถ 6,500 สินเชื่อ 5,300 บ้าน 1,200 ผ่อนญาติ 3,000 หักประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักภาษี หมดค่ะ ติดลบ ก่อนหน้าเราเป็นคนมีเพื่อนเยอะ เป็นคนสนุกสนาน แต่ตอนเป็นหนี้ เพื่อนหายหมดเลย หายหมดจริงๆ ยืมเงินใครไม่ได้ เหลือเพื่อนอยู่ 1 คนที่ก็ไม่ค่อยมีแถมมีลูก2คน มีสามีที่ต้องดูแล แต่แบ่งเงินให้เรา 2,000 เพื่อเป็นค่ากิน เราตัดทุกอย่างทิ้งทั้งหมด ปาร์ตี้ บุหรี่ กินเหล้า เลิกทั้งหมด เหลือเพียงแค่ ไป กลับ ที่ทำงานเท่านั้น โชคดีช่วงนั้น มีรถเมล์ รถไฟฟรี จากคนตื่นสาย กลายเป็นคนตื่นเช้า เพื่อมารอรถเมล์ฟรี ไปต่อรถไฟฟรี เงินที่หารใช้ได้ต่อวันคือ 40-60 บาท ซื้อข้าวกล่องร้านป้าที่กินจนเป็นลูกค้าประจำ ขอเพิ่มข้าวฟรี แบ่งออกกิน 2 ครั้ง เช้า กลางวัน บางครั้ง เช้า เย็น หลายครั้งเพื่อนที่ห่อข้าวมาด้วย แบ่งข้าวให้กินกลางวัน ยังซึ้งใจอยู่จนทุกวันนี้ น้ำชง น้ำหวานเลิก บุหรี่เลิก น้ำหอมเลิก ครีมใช้แบบซองตามเซเว่น โลชั่นเลิกทา ครีมอาบน้ำมาใช้สบู่แทน เรียกได้ว่าปลดทุกสิ่งออกหมด ดีที่ว่าเราเป็นคนง่ายๆ น้ำดื่มไม่แช่เย็นเราก็กินได้ ช่วงชีวิตนี้อยู่ 4-5 เดือน พอเงินออกคืนเพื่อน เพื่อนเอาไปจ่ายบัตร แล้วกดมาให้เราใหม่ คือสมเพชตัวเองมาก กลับห้องมานั่งร้องไห้ที่ห้องทุกวัน เครียดจนกลายเป็นคนนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท เป็นความดัน หลงลืมง่าย 4-5 เดือน ผ่านไป ที่ชีวิตเป็นอยู่อย่างงั้น จนวันนึงที่ทำงานมีงานเยอะขึ้นเลยแจกโอทีให้พนักงานทำ ทุกเย็น รวมถึงวันเสาร์ เราทำอย่างบ้าคลั่ง เรียกได้ว่าไม่ปล่อยให้หลุด ชีวิตดีขึ้นหน่อย เพราะไม่ต้องรบกวนเพื่อนแล้ว โอทีรับตกเดือนละ 4,000 +เงินเดือนขึ้นอีกนิดหน่อย พอได้หายใจบ้าง
เหมือนจะดีใช่มั๊ย ป่าวเลยค่ะ หลังจากผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้ ก็มีอะไรใหม่ๆเข้ามา นั่นคือ "หมายศาล" ของบัตรผ่อนของ ของธนาคารเมืองเก่า เรียกให้ไปเจรจา ไกล่เกลี่ยหลังจากหยุดไป 10 เดือน ซึ่งตอนแรกไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ฟ้องด้วยเงินต้น 4 หมื่นปลาย (จำยอดแน่นอนไม่ได้) จากยอดเงินต้น 37,000 ช็อคค่ะ เกิดมาไม่เคยได้รับหมาย ไม่เคยขึ้นศาล เครียด โทรไปปรึกษาเพื่อนที่เคยให้ยืมตัง เพื่อนบอกว่าอย่าไปเลย(เพื่อนเคยไปมาแล้ว)แต่ถ้าจะไปเดี๋ยวไปด้วย น้ำตาไหลเลย เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยเจอ วันไปศาล มีคนในห้องเดียวกันเยอะมาก ศาลเรียกไปคุย มีคนได้ยินเรื่องเราหมด ตอนนั้นอึนๆ มึนๆ อายๆ ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก สุดท้ายเราขอเลื่อน ไปประมาณ 3 เดือน โดยแจ้งว่าจะหาเงินมาปิด ซึ่งโชคดีมาก ศาลให้ ปกติศาลให้เลื่อนได้แค่ 2 เดือน พอครบ 3 เดือน ไปศาลอีกครั้ง เราทำยอม ผ่อนให้จบ 12 เดือน เดือนละ 2,000(จ่ายเท่าไหร่ก็ได้ขั้นต่ำ 2,000แต่ให้จบภานใน 1 ปี คือต้องปิดงวดสุดท้าย) เพราะเราไม่มีเงิน ครบ 1 ปี เจ้าหน้าที่โทรมาบอกให้ปืดยอด ต้องหาหยิบยืมเงินมาปิดให้วุ่นวายสุดท้ายก็จบ
ชีวิตเดินไปอย่างทุลักทุเล เงินพอบ้างไม่พอบ้าง ค่าผ่อนรถมาหยุดตรงที่ค้าง 3 งวด แล้วจ่ายดีดไป 1 งวดอยู่เป็นปี เพราะถ้าเลยนี่ รถโดนยึดแน่ ผ่อนแต่รถจอด เพราะไม่มีเงินเติมน้ำมัน พ่อเลี้ยงต้องแอบเอาเงินมาต่อค่าภาษีให้ เปลี่ยนแบทให้ ปกติไม่ค่อยคุยอะไรกันมาก แต่แบบนี้ซึ้งน้ำใจแกอยู่ โชคก็ยังเข้าข้างเราอยู่บ้าง ที่บริษัท มีการแจก เงินปันผล หากใครทำยอดถึงจะได้เงินปันผลทุก 3 เดือน แน่นอนสิค่ะ รออะไร ทำงานสุดทุ่มสุดตำ จนเป็นเหตุให้ปิดยอดใบที่ 3-4 ได้ เป็นบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด จากยอด 7หมื่นกว่า เหลือ 30,000 เรายังไม่กิน ไม่เที่ยว ไม่ดื่มอยู่นะคะ มีออกไปงานเลี้ยงส่งคนลาออกบ้าง นานๆที ดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ แบบไม่พอนี่แหละ พอโบนัสออก เราใช้หนี้ทันที กั๊กไว้ บางส่วน เพราะผู้ใหญ่ที่ทำงาน ไม่ค่อยชอบเรา เรามีผลงานเป็นที่ 1 แต่ประเมินผลงานเราต่ำกว่าคนที่รองเรากว่ามาก ให้รางวัลกับคนที่ 2 โดยอ้างเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น และงานตรงนี้ทำให้เราเครียดและกดดันมากด้วย เราเลยตัดสินใจขอหลบจากผู้คนออกไปมองโลกสักครั้งที่ ญี่ปุ่น ด้วยเงินที่กั๊กไว้ นี่เป็นครั้งแรก เราลางานทันที 11 วันเที่ยวจากโตเกียวไปจบที่โอซาก้า ระหว่างทริปขอโฮสที่ญี่ปุ่นนอน เพื่อประหยัดเงิน พกมาม่าไป จุดประสงค์เราแค่อยากมองโลกใหม่เท่านั้น ไม่ใช่ช็อปหรือไปกินเที่ยว สรุปทริปนั้นใช้เงินไป 25,000 รวมตั๋วเครื่องบิน ซึ่งมันได้ผล เพราะพลังในตัวเรากลับมากเต็มเปี่ยมอีกครั้ง พร้อมสู้ แต่หลังจากนั้นผ่านไป 2 เดือน เราทนไม่ไหว เลยลากออก ประจวบเหมาะกับเพื่อนชวนไปทำงาน เลยตัดสินใจทำทันที
ชีวิตเราตอนนี้ผ่านมา 4 ปีแล้วนับจากตอนที่เป็นหนี้หนักๆ ปลายปี 57 ดำเนินมาจนถึงจุดที่ ผ่อนรถหมดแล้ว สิ้นเชื่อปิดไป 10 ตัวแล้ว เหลือตัวสุดท้าย วงเงิน 24000 ยอดหนี้ 40000 ตอนนี้อยู่ในช่วงเจรจาขอลดหนี้อยู่ แต่ก็ขู่จะฟ้องอยู่ แต่เราไม่ได้กลัวอะไรแล้ว ผ่านมาหมดแล้ว เรายังคงใช้แผนการดำเนินชีวิตเหมือนเดิม ยังเลิกใช้น้ำหอม สูบบุหรี่ ครีมยังใช้แบบซองอยู่ เริ่มมีสังสรรได้ แต่ก็ไม่บ่อย ตอนนี้ชีวิตคือดีขึ้นมาก 4 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าที่สุดในชีวิต เราได้เพื่อนแท้ เราเสียเพื่อนเทียม ได้มิตรภาพใหม่ๆ ได้มุมมองใหม่ เราเป้นคนใหม่ เรากลัวการใช้เงิน เรายังคงเที่ยวแบบประหยัด แต่สุขภาพเรานี่สิแย่ตามไปด้วย เราเป็นทั้งความดัน โคเรสเตอรอล ผมหงอก ความจำสั้น หลงลืม สมองโดนทำลายหนัก ถึงแม้ว่าตอนนี้แทบจะไม่เครียดอะไรแล้วก็ตาม ยังคงเป็นผลพวงจากความเครียดและทำงานหนัก
วิธีปลดหนี้ของเรา
1.ตัดทุกสิ่งที่ฟุ่มเฟือยออกให้หมด อย่างเราเลิกใช้น้ำหอม เลิกซื้อเสื้อผ้า เปลี่ยนครีมอาบน้ำเป็นสบู่ บุหรี่ เหล้า
2.วางแผนงานเงิน อย่างเราจะทำค่าใช้จ่าย 3 เดือนล่วงหน้า ว่าเราจะต้องจ่ายออกเท่าไหร่ รับเท่าไหร่
3.มีแผน 2 เสมอ เราเข้าใจว่า การมีแผนสองสำหรับคนไม่มีเงินมันวางแผนยาก แต่เราต้องทำ เพราะเรื่องไม่คาดคิดมันจะเกิดเสมอ
4.พึงตัวเองให้ได้มากที่สุด ยืมคนอื่นให้น้อยที่สุด
5.อย่าเอาหนี้มาต่อหนี้ ที่ว่าดอกถูกมาปิดดอกแพงนะ บอกคำเดียวว่าหย่า
6.หาช่องทางทำเงินเพิ่ม ของเราอยาก แต่ไม่มีเวลา เพราะทำโอทีหนักมาก
7.เวลาเป็นสิ่งสำคัญ หนี้สะสมมาขนาดนี้ กว่าจะหมดต้องใช้เวลาแน่นอน
8.ตั้งสติ บางครั้งชีวิตเราจะร้ายกับเราจนทำให้เราเกือบเสียสติ แต่เราต้องตั้งสติ
9.ควรผ่อนคลายบ้าง ออกไปพบเพื่อน ร้านข้าว ร้านส้มตำ ไม่จำเป็นต้องแพง อย่าทำแบบเรา เพราะจะเครียดมาก
10.พยายามรับสายเจ้าหนี้ทุกสาย แม้มันจะยากในช่วงแรก แต่ขอให้รับ
11.เพื่อนแท้ ไม่ใช่ว่าเราจะไปขอความช่วยเหลือจากเค้า แต่เค้าจะอยู่ข้างเราเสมอ แม้จะช่วยอะไรเราไม่ได้ก็ตาม
12.การตกงานจะทำให้ชีวิตคุณติดลบ เพราะฉะนั้น ห้ามตกงานเด็กขาดค่ะ งานหนักต้องสู้ ต้องอดทนค่ะ
13.ต้องบอกครอบครัว เพราะวันที่หมายศาลมาเค้าจะส่งไปที่บ้าน
ที่พูดไปทั้งหมด คนที่ไม่เคยเป็นหนี้ก็คงไม่เข้าใจความทรมาณของการไม่มีเงิน และยืมใครไม่ได้ จะดุจะด่า จะว่าเราในความไม่มีวินัยทางการเงิน เรายินดี น้อมรับไว้ด้วยใจค่ะ ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดไม่ได้สนับสนุนให้คนเป็นหนี้แล้วมาขอลดแบบเรานะคะ เพราะคุณก็จะเสียประวัติไปถึง 3 ปีหลังจ่ายจบเหมือนกัน รักษาประวัติไว้ดีกว่าค่ะ รอบข้างเรา ร้อยละ 90 มีหนี้และเครียดกับปัญหานี้ ทุกวันนี้เราอายุ 30 กว่าแล้ว ยังไม่มีทรัพย์สินอะไรเลยค่ะ ไม่มีบ้าน ไม่มีเงินเก็บ มีแค่รถ ความฝันพังทลายหมดทุกสิ่ง แต่เราก็มีความสุขนะคะ ต้องขอบคุณจะอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มันทำให้เราเข้มแข็ง มันทำให้เราเลิกบุหรี่ได้ และเป็นประสบการณ์ที่ชีวิตนี้คงไม่มีวันลืม สำหรับใครก็แล้วแต่ที่เจอประสบการณ์แบบเดียวกันนี้อยู่ตอนนี้ สู้ๆนะคะ เรามาให้กำลังใจคุณ ตั้งสติค่ะ คุณจะผ่านมันไปได้แน่นอน เพียงแค่ต้องรอเวลาที่เป็นของคุณแค่นั้นเอ ส่วนเราไม่เอาแล้วนะคะ บัตร 55555 เงินสดอย่างเดียว ทุกวันนี้กลัวการใช้เงินมาก ถ้าจะมีอีกอย่างเดียวที่เราต้องการคือบ้านเล็กๆสักหลังแค่นั้นพอ อ้อ อย่าลืมคนที่เคยช่วยเหลือเราไว้ในยามที่เราลำบากนะคะ ส่วนเรา ปีใหม่ก็คงหมดหนี้ทุกอย่างแล้ว ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ เราจะกลับตอบแทนพระคุณคนที่เคยช่วยเราไว้แน่นอน ขอให้วันต่อจากนี้เป็นวันของพวกคุณค่ะ
แบ่งปันประสบการณ์ ปลดหนี้ล้านใน 4 ปี
เกิดจากกิเลสทั้งสิ้นค่ะ เรื่องนี้ไม่โทษใครเลยนอกจากตัวเองทำตัวเอง เราเป็นเด็กบ้านนอกยากจน ไม่เคยมี ไม่เคยได้ อะไรอย่างเด็กคนอื่นๆ ตอนเรียนขอทุนตลอด ตั้งแต่ ประถมถึงมัธยม ระหว่างนั้นก็รับลอกการบ้านเพื่อน ปักครอสติช ตลอด 5555 พ่อแม่แยกทางกัน เลยต้องทำให้หาเลี้ยงตัวเองมาตลอดตั้งแต่จบม.6 พอเรียนจบเริ่มทำงานจริง ก็าลงเอยด้วยการมี บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และ สินเชื่อ รายได้รวมตอนนั้น อยู่ที่ 22,000-25,000 ถือว่าโอเคเลยละ เด็กไม่เคยมีอะไรอะนะ เพื่อเป็นการชดเชยสิ่งที่ขาดไปในวัยเด็ก เราก็ทั้งกิน ทั้งเที่ยว ทั้งซื้อ รูดกระจาย มีบัตรอะนะ อะไรก็ง่าย และเราก็ผ่อนรถ ด้วยการกดเงินในบัตรมาดาวน์รถ 1แสน(หารู้ไม่ว่าชีวิตกำลังจะเปลี่ยนไป) กินเที่ยว สนุกสนานเฮฮาอยู่หลายปี เงินก็เริ่มไม่ค่อยคล่อง รถปีที่ 2 ก็เริ่ม ผ่อนประกันเอง จ่ายค่าบำรุงรักษาเริ่มแพงขึ้น จากหลักพัน ก็เริ่มเป็นหลายพันจนถึงหลักหมื่นในบางช่วง เราจึงหาช่องทางทำเงินต่อ ด้วยการไปขายของที่ตลาดนัด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ขายเครื่องสำอางค์ กู้เงินธนาคารมาดำเนินธุรกิจ 50,000 ซึ่งช่วงแรก บอกเลยขายดีมาก กำไรตกวันละ 5,000 บาท(ทั้งตลาดมีเราเจ้าเดียวตอนนั้น) เลยตัดสินใจลาออกมาขายของเต็มตัวเพราะกำไรยั่วยวนมาก ขายได้ดีอยู่สักพัก หลังๆ มา ยอดขายเริ่มตก ลดลง ลดลง จนบางวันขายไม่ได้เลย ซึ่งมารู้ว่า มีร้านอื่นมาเปิดขายแข่ง ตัดราคา อีกหลายสิบร้าน ทั้งใหญ่กว่า ของเยอะกว่า ทุนหนากว่า สุดท้ายเจ๊ง ด้วยขาดประสบการณ์ ทุนไม่หนา การตลาดไม่เป็น
พอร้านเจ๊ง เรามีรายจ่าย เลยต้องกลับมาหางานทำ ได้งานใหม่ เงินเดือน 18,000 บาท น้อยกว่าเดิม แต่เราเลือกไม่ได้ เราต้องมีรายได้ เพราะรายจ่ายเราสูง พอผ่านโปร ที่ทำงานใหม่ มีสวัสดิการให้พนักงานกู้ได้ 10 เท่าของเงินเดือน เราตัดสินใจกู้มาปิดบัตร(บางส่วน) เพื่อนที่จะได้ผ่อนที่เดียว สุดท้ายได้ปิด แต่ก็กลับไปใช้บัตรนั่นเหมือนเดิมจนวงเงินเต็มอีกรอบ จุดนี้อยากจะโบยหลังตัวเองสัก100ที ซึ่งมาถึงจุดหนี้ เรามีหนี้ทั้งสิ้น 11 รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ประมาณ 1 ล้านบาท เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการปล่อยหนี้ทุกอย่าง ยกเว้นรถกับสินเชื่อที่ทำงาน
หลังจากปล่อยทุกสิ่ง สิ่งที่ต้องเตรียมรับมือคือ การทวงหนี้จากทุกรูปแบบ โดยเฉพาะ บัตรกดเงินสด ที่ไม่ใช่ธนาคาร จะโทรหาคุณวันละ 3 รอบ คุณจะได้พัก แค่วันอาทิตย์ และสายจะลดลงหลังจากผ่าน 3 เดือนแรกไปแล้ว ช่วงนั้นเครียดมากค่ะ เพราะถ้าไม่รับมือถือ จะโทรเข้าที่ทำงาน ต่อไปคือที่บ้าน และเบอร์บุคคลอ้างอิง เรียกได้ว่าตามทุกช่องทาง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราก่อเอง เราไม่อยากให้ครอบครัวมารู้ แต่สุดท้ายเค้าก็รู้ เราก็เลยต้องบอกไปว่าเป็นหนี้ แต่ไม่ได้บอกจำนวนเงิน แม่ก็เข้าใจ แต่เราอ่ะเสียใจมาก ไม่อยากให้เค้าเครียด แต่แม่ก็ไม่กล้าว่าเรามาก เพราะเราหาเงินเอง ช่วงแรกๆ ก็ให้เงินแม่ หลังๆ ไม่ได้ให้เค้าเลย แต่แม่เข้าใจ เพราะเค้าแต่งงานมีครอบครัวใหม่ที่คอยเลี้ยงดู ผ่านเข้าเดือนที่ 2 มีเจ้าหนี้ 1 ราย เสนอลดจาก 120,000 เหลือ 50,000 เราตัดสินใจเอาเงินก้อนสุดท้ายที่กดจากบัตรก่อนหน้าที่จะปล่อย+โบนัส ปิดบัตรใบนั้นไป
ช่วงที่เลวร้ายที่สุดของชีวิตดำเนินมาถึง เมื่อเงินเดือนที่ออกมาถูกจ่ายออกไปหมด รถ 6,500 สินเชื่อ 5,300 บ้าน 1,200 ผ่อนญาติ 3,000 หักประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักภาษี หมดค่ะ ติดลบ ก่อนหน้าเราเป็นคนมีเพื่อนเยอะ เป็นคนสนุกสนาน แต่ตอนเป็นหนี้ เพื่อนหายหมดเลย หายหมดจริงๆ ยืมเงินใครไม่ได้ เหลือเพื่อนอยู่ 1 คนที่ก็ไม่ค่อยมีแถมมีลูก2คน มีสามีที่ต้องดูแล แต่แบ่งเงินให้เรา 2,000 เพื่อเป็นค่ากิน เราตัดทุกอย่างทิ้งทั้งหมด ปาร์ตี้ บุหรี่ กินเหล้า เลิกทั้งหมด เหลือเพียงแค่ ไป กลับ ที่ทำงานเท่านั้น โชคดีช่วงนั้น มีรถเมล์ รถไฟฟรี จากคนตื่นสาย กลายเป็นคนตื่นเช้า เพื่อมารอรถเมล์ฟรี ไปต่อรถไฟฟรี เงินที่หารใช้ได้ต่อวันคือ 40-60 บาท ซื้อข้าวกล่องร้านป้าที่กินจนเป็นลูกค้าประจำ ขอเพิ่มข้าวฟรี แบ่งออกกิน 2 ครั้ง เช้า กลางวัน บางครั้ง เช้า เย็น หลายครั้งเพื่อนที่ห่อข้าวมาด้วย แบ่งข้าวให้กินกลางวัน ยังซึ้งใจอยู่จนทุกวันนี้ น้ำชง น้ำหวานเลิก บุหรี่เลิก น้ำหอมเลิก ครีมใช้แบบซองตามเซเว่น โลชั่นเลิกทา ครีมอาบน้ำมาใช้สบู่แทน เรียกได้ว่าปลดทุกสิ่งออกหมด ดีที่ว่าเราเป็นคนง่ายๆ น้ำดื่มไม่แช่เย็นเราก็กินได้ ช่วงชีวิตนี้อยู่ 4-5 เดือน พอเงินออกคืนเพื่อน เพื่อนเอาไปจ่ายบัตร แล้วกดมาให้เราใหม่ คือสมเพชตัวเองมาก กลับห้องมานั่งร้องไห้ที่ห้องทุกวัน เครียดจนกลายเป็นคนนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท เป็นความดัน หลงลืมง่าย 4-5 เดือน ผ่านไป ที่ชีวิตเป็นอยู่อย่างงั้น จนวันนึงที่ทำงานมีงานเยอะขึ้นเลยแจกโอทีให้พนักงานทำ ทุกเย็น รวมถึงวันเสาร์ เราทำอย่างบ้าคลั่ง เรียกได้ว่าไม่ปล่อยให้หลุด ชีวิตดีขึ้นหน่อย เพราะไม่ต้องรบกวนเพื่อนแล้ว โอทีรับตกเดือนละ 4,000 +เงินเดือนขึ้นอีกนิดหน่อย พอได้หายใจบ้าง
เหมือนจะดีใช่มั๊ย ป่าวเลยค่ะ หลังจากผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้ ก็มีอะไรใหม่ๆเข้ามา นั่นคือ "หมายศาล" ของบัตรผ่อนของ ของธนาคารเมืองเก่า เรียกให้ไปเจรจา ไกล่เกลี่ยหลังจากหยุดไป 10 เดือน ซึ่งตอนแรกไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ฟ้องด้วยเงินต้น 4 หมื่นปลาย (จำยอดแน่นอนไม่ได้) จากยอดเงินต้น 37,000 ช็อคค่ะ เกิดมาไม่เคยได้รับหมาย ไม่เคยขึ้นศาล เครียด โทรไปปรึกษาเพื่อนที่เคยให้ยืมตัง เพื่อนบอกว่าอย่าไปเลย(เพื่อนเคยไปมาแล้ว)แต่ถ้าจะไปเดี๋ยวไปด้วย น้ำตาไหลเลย เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยเจอ วันไปศาล มีคนในห้องเดียวกันเยอะมาก ศาลเรียกไปคุย มีคนได้ยินเรื่องเราหมด ตอนนั้นอึนๆ มึนๆ อายๆ ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก สุดท้ายเราขอเลื่อน ไปประมาณ 3 เดือน โดยแจ้งว่าจะหาเงินมาปิด ซึ่งโชคดีมาก ศาลให้ ปกติศาลให้เลื่อนได้แค่ 2 เดือน พอครบ 3 เดือน ไปศาลอีกครั้ง เราทำยอม ผ่อนให้จบ 12 เดือน เดือนละ 2,000(จ่ายเท่าไหร่ก็ได้ขั้นต่ำ 2,000แต่ให้จบภานใน 1 ปี คือต้องปิดงวดสุดท้าย) เพราะเราไม่มีเงิน ครบ 1 ปี เจ้าหน้าที่โทรมาบอกให้ปืดยอด ต้องหาหยิบยืมเงินมาปิดให้วุ่นวายสุดท้ายก็จบ
ชีวิตเดินไปอย่างทุลักทุเล เงินพอบ้างไม่พอบ้าง ค่าผ่อนรถมาหยุดตรงที่ค้าง 3 งวด แล้วจ่ายดีดไป 1 งวดอยู่เป็นปี เพราะถ้าเลยนี่ รถโดนยึดแน่ ผ่อนแต่รถจอด เพราะไม่มีเงินเติมน้ำมัน พ่อเลี้ยงต้องแอบเอาเงินมาต่อค่าภาษีให้ เปลี่ยนแบทให้ ปกติไม่ค่อยคุยอะไรกันมาก แต่แบบนี้ซึ้งน้ำใจแกอยู่ โชคก็ยังเข้าข้างเราอยู่บ้าง ที่บริษัท มีการแจก เงินปันผล หากใครทำยอดถึงจะได้เงินปันผลทุก 3 เดือน แน่นอนสิค่ะ รออะไร ทำงานสุดทุ่มสุดตำ จนเป็นเหตุให้ปิดยอดใบที่ 3-4 ได้ เป็นบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด จากยอด 7หมื่นกว่า เหลือ 30,000 เรายังไม่กิน ไม่เที่ยว ไม่ดื่มอยู่นะคะ มีออกไปงานเลี้ยงส่งคนลาออกบ้าง นานๆที ดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ แบบไม่พอนี่แหละ พอโบนัสออก เราใช้หนี้ทันที กั๊กไว้ บางส่วน เพราะผู้ใหญ่ที่ทำงาน ไม่ค่อยชอบเรา เรามีผลงานเป็นที่ 1 แต่ประเมินผลงานเราต่ำกว่าคนที่รองเรากว่ามาก ให้รางวัลกับคนที่ 2 โดยอ้างเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น และงานตรงนี้ทำให้เราเครียดและกดดันมากด้วย เราเลยตัดสินใจขอหลบจากผู้คนออกไปมองโลกสักครั้งที่ ญี่ปุ่น ด้วยเงินที่กั๊กไว้ นี่เป็นครั้งแรก เราลางานทันที 11 วันเที่ยวจากโตเกียวไปจบที่โอซาก้า ระหว่างทริปขอโฮสที่ญี่ปุ่นนอน เพื่อประหยัดเงิน พกมาม่าไป จุดประสงค์เราแค่อยากมองโลกใหม่เท่านั้น ไม่ใช่ช็อปหรือไปกินเที่ยว สรุปทริปนั้นใช้เงินไป 25,000 รวมตั๋วเครื่องบิน ซึ่งมันได้ผล เพราะพลังในตัวเรากลับมากเต็มเปี่ยมอีกครั้ง พร้อมสู้ แต่หลังจากนั้นผ่านไป 2 เดือน เราทนไม่ไหว เลยลากออก ประจวบเหมาะกับเพื่อนชวนไปทำงาน เลยตัดสินใจทำทันที
ชีวิตเราตอนนี้ผ่านมา 4 ปีแล้วนับจากตอนที่เป็นหนี้หนักๆ ปลายปี 57 ดำเนินมาจนถึงจุดที่ ผ่อนรถหมดแล้ว สิ้นเชื่อปิดไป 10 ตัวแล้ว เหลือตัวสุดท้าย วงเงิน 24000 ยอดหนี้ 40000 ตอนนี้อยู่ในช่วงเจรจาขอลดหนี้อยู่ แต่ก็ขู่จะฟ้องอยู่ แต่เราไม่ได้กลัวอะไรแล้ว ผ่านมาหมดแล้ว เรายังคงใช้แผนการดำเนินชีวิตเหมือนเดิม ยังเลิกใช้น้ำหอม สูบบุหรี่ ครีมยังใช้แบบซองอยู่ เริ่มมีสังสรรได้ แต่ก็ไม่บ่อย ตอนนี้ชีวิตคือดีขึ้นมาก 4 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าที่สุดในชีวิต เราได้เพื่อนแท้ เราเสียเพื่อนเทียม ได้มิตรภาพใหม่ๆ ได้มุมมองใหม่ เราเป้นคนใหม่ เรากลัวการใช้เงิน เรายังคงเที่ยวแบบประหยัด แต่สุขภาพเรานี่สิแย่ตามไปด้วย เราเป็นทั้งความดัน โคเรสเตอรอล ผมหงอก ความจำสั้น หลงลืม สมองโดนทำลายหนัก ถึงแม้ว่าตอนนี้แทบจะไม่เครียดอะไรแล้วก็ตาม ยังคงเป็นผลพวงจากความเครียดและทำงานหนัก
วิธีปลดหนี้ของเรา
1.ตัดทุกสิ่งที่ฟุ่มเฟือยออกให้หมด อย่างเราเลิกใช้น้ำหอม เลิกซื้อเสื้อผ้า เปลี่ยนครีมอาบน้ำเป็นสบู่ บุหรี่ เหล้า
2.วางแผนงานเงิน อย่างเราจะทำค่าใช้จ่าย 3 เดือนล่วงหน้า ว่าเราจะต้องจ่ายออกเท่าไหร่ รับเท่าไหร่
3.มีแผน 2 เสมอ เราเข้าใจว่า การมีแผนสองสำหรับคนไม่มีเงินมันวางแผนยาก แต่เราต้องทำ เพราะเรื่องไม่คาดคิดมันจะเกิดเสมอ
4.พึงตัวเองให้ได้มากที่สุด ยืมคนอื่นให้น้อยที่สุด
5.อย่าเอาหนี้มาต่อหนี้ ที่ว่าดอกถูกมาปิดดอกแพงนะ บอกคำเดียวว่าหย่า
6.หาช่องทางทำเงินเพิ่ม ของเราอยาก แต่ไม่มีเวลา เพราะทำโอทีหนักมาก
7.เวลาเป็นสิ่งสำคัญ หนี้สะสมมาขนาดนี้ กว่าจะหมดต้องใช้เวลาแน่นอน
8.ตั้งสติ บางครั้งชีวิตเราจะร้ายกับเราจนทำให้เราเกือบเสียสติ แต่เราต้องตั้งสติ
9.ควรผ่อนคลายบ้าง ออกไปพบเพื่อน ร้านข้าว ร้านส้มตำ ไม่จำเป็นต้องแพง อย่าทำแบบเรา เพราะจะเครียดมาก
10.พยายามรับสายเจ้าหนี้ทุกสาย แม้มันจะยากในช่วงแรก แต่ขอให้รับ
11.เพื่อนแท้ ไม่ใช่ว่าเราจะไปขอความช่วยเหลือจากเค้า แต่เค้าจะอยู่ข้างเราเสมอ แม้จะช่วยอะไรเราไม่ได้ก็ตาม
12.การตกงานจะทำให้ชีวิตคุณติดลบ เพราะฉะนั้น ห้ามตกงานเด็กขาดค่ะ งานหนักต้องสู้ ต้องอดทนค่ะ
13.ต้องบอกครอบครัว เพราะวันที่หมายศาลมาเค้าจะส่งไปที่บ้าน
ที่พูดไปทั้งหมด คนที่ไม่เคยเป็นหนี้ก็คงไม่เข้าใจความทรมาณของการไม่มีเงิน และยืมใครไม่ได้ จะดุจะด่า จะว่าเราในความไม่มีวินัยทางการเงิน เรายินดี น้อมรับไว้ด้วยใจค่ะ ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดไม่ได้สนับสนุนให้คนเป็นหนี้แล้วมาขอลดแบบเรานะคะ เพราะคุณก็จะเสียประวัติไปถึง 3 ปีหลังจ่ายจบเหมือนกัน รักษาประวัติไว้ดีกว่าค่ะ รอบข้างเรา ร้อยละ 90 มีหนี้และเครียดกับปัญหานี้ ทุกวันนี้เราอายุ 30 กว่าแล้ว ยังไม่มีทรัพย์สินอะไรเลยค่ะ ไม่มีบ้าน ไม่มีเงินเก็บ มีแค่รถ ความฝันพังทลายหมดทุกสิ่ง แต่เราก็มีความสุขนะคะ ต้องขอบคุณจะอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มันทำให้เราเข้มแข็ง มันทำให้เราเลิกบุหรี่ได้ และเป็นประสบการณ์ที่ชีวิตนี้คงไม่มีวันลืม สำหรับใครก็แล้วแต่ที่เจอประสบการณ์แบบเดียวกันนี้อยู่ตอนนี้ สู้ๆนะคะ เรามาให้กำลังใจคุณ ตั้งสติค่ะ คุณจะผ่านมันไปได้แน่นอน เพียงแค่ต้องรอเวลาที่เป็นของคุณแค่นั้นเอ ส่วนเราไม่เอาแล้วนะคะ บัตร 55555 เงินสดอย่างเดียว ทุกวันนี้กลัวการใช้เงินมาก ถ้าจะมีอีกอย่างเดียวที่เราต้องการคือบ้านเล็กๆสักหลังแค่นั้นพอ อ้อ อย่าลืมคนที่เคยช่วยเหลือเราไว้ในยามที่เราลำบากนะคะ ส่วนเรา ปีใหม่ก็คงหมดหนี้ทุกอย่างแล้ว ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ เราจะกลับตอบแทนพระคุณคนที่เคยช่วยเราไว้แน่นอน ขอให้วันต่อจากนี้เป็นวันของพวกคุณค่ะ