สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
เมื่อ 3 ปีก่อนคบผู้ชายคนหนึ่ง วางแผนจะแต่งงานกันและตกลงที่จะอยู่กันก่อนแต่งงานอย่างเปิดเผยเพราะเชื่อว่าเราโตพอแล้ว ก็มาเปิดร้านให้เค้าเป็นคลีนิคสัตวแพทย์และสถาบันสอนพิเศษ ส่วนเราเปิดร้านกาแฟเล็กๆ โดยทั้งหมดใช้เงินลงทุนจากเราและครอบครัวเรา โดยเรากู้บัตรเครดิต ซื้อสินค้าโดยใช้บัตรเรา ใช้สินเชื่อทุกอย่างที่เรามีในการเปิดร้านให้รวมถึงเงินที่จะใช้ในการแต่งงานที่ครอบครัวเรามีฐานะดีกว่า( และเราเป็นพวกไม่ชอบพึ่งพาผู้ชาย อยากได้อะไรหามาเองทุกอย่าง) ครอบครัวเราออกเงินทั้งการถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง มัดจำโต๊ะจีน มัดจำออแกร์ไนซ์เซอร์จัดงานแต่ง(เพราะบ้านเราทำธุรกิจ แขกเยอะมากเลยต้องหาคนมสช่วยจัดการ ไม่ได้อยากฟุ่มเฟือยนะคะ) ไปกว่า 300,000 บาท และเราใช้สินเชื่อทุกอย่างในชื่อเราเองเปิดกิจการให้ เป็นหนี้สินล้านกว่าบาท เพราะเฉพาะค่าเช่าตึกก็ต้องจ่ายล่วงหน้า 1 ปี มัดจำอีก 2 เดือน เดือนละ 12,000 บาท รวมจ่ายล่วงหน้าไป 168,000
ซึ่งพอเปิดกิจการส่วนตัวกับแฟนแล้ว พบว่าผู้ชายคนนั้นและครอบครัวไม่ได้ดีอย่างภาพที่เค้าสร้างว่ารักครอบครัว เป็นแฟมิลี่แมน เราเองยังโดนญาติๆเค้าเตือนก่อนแต่งเลยว่ามั่นใจ คิดดีแล้วเหรอ เพราะแม่แฟนเราเค้าคิดว่าเรารวย ไปเที่ยวป่าวประกาศว่าลูกชายเค้าตกถังข้าวสาร แต่ต่อมาเมื่อเรารู้ความจริงเราครอบครัวเค้าหวังอะไรจากเรา ประกอบกับกิจการที่ทำด้วยกันผลประกอบการแย่ คลีนิครักษาสัตว์รายได้ไม่ถึงหมื่น ทุกเดือนเราต้องจ่ายค่าแรงผู้ช่วยเค้าด้วยเงินเราเอง , กวดวิชารายได้รวมทุกอย่างแค่หมื่นกว่าๆ (รวมที่หักเปอร์เซ็นต์จากเพื่อนๆที่ให้มาช่วยเป็นติวเตอร์ให้แล้ว) แค่ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ตก็แทบไม่พอจ่ายแล้วค่ะ เมื่อเห็นท่าทางไม่ดี ทันใดนั้นสันดานแมงดาก็โผล่มาเต็มตัว แอบเราไปสอบบรรจุเป็นสัตวแพทย์กระทรวงเองเลยโดยไม่ถามความเห็นเรา แล้วมายกเลิกงานแต่งงาน ทั้งที่งานกำลังจะเริ่มในอีกสองอาทิตย์ข่างหน้า ทิ้งให้เราและครอบครัวต้องตอบสังคมว่าแฟนเราไปไหน ทำไมต้องเลื่อนงานแต่ง (ซึ่งมันไปทำงานได้เดือนเดียวก็ไม่กลับมาอีกค่ะ จนผ่านไปสองเดือนกว่าก็ให้โครตเหง้าศักราชมัน ทั้งพ่อ ป้าและชายฉกรรจ์อีก 4-5 คนมาขนของใช้ในร้านไป ซึ่งเป็นของที่ซื้อมาด้วยเงินเราทั้งนั้น มีหลักฐานการซื้อชัดเจนเพราะเราซื้อผ่านบัตรเครดิตค่ะ แอร์ก็โดนมันถอดไปให้บ้านเป็นรูกว่าสามห้อง ไม่รวมที่เรามาแอบรู้ว่ามันแอบคบกับคนที่จ้างมาเป็นติวเตอร์ด้วยกันก่อนเลิกกับเราอีก
สรุปเราเสียทั้งเงินกับผู้ชายเลวๆคนนี้กว่า 2 ล้านต้องมาเป็นหนี้หัวโต และครอบครัวเราเองก็ต้องมาเสียชื่อเสียงเพราะเรา เหมือนเราเป็นม่ายขันหมากซึ่งเราไม่แคร์กับจุดนี้นะ แต่เสียใจที่ทำให้พ่อแม่เสียชื่อมากกว่า ตอนนั้นเราคว้างมาก ไม่อยากทำอะไรเลย เราเก็บตัวเกือบเดือนในร้าน ไม่กลับบ้านไม่คุยกับใคร เราหนีไปอยู่วัดเกือบอาทิตย์ สวดมนต์ อ่านหนังสือธรรมมะ นั่งร้องไห้หน้าพระพุทธรูปตลอดว่าเราทำเวรกรรมอะไรนักหนา ถึงต้องมาเจอแบบนี้ จนเกิดพุทธปัญญาเองค่ะว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีสิ่งใดจะอยู่กับเราตลอดไป ไม่ว่าจะความทุกข์หรือความสุข เท่านั้นละคะ หายเลย ออกจากวัดมาล้างเท้าแม้ กราบเท้าและขออโหสิกรรมแม่เรา ออกมาใช้ชีวิตร่าเริง ทำตัวให้มีความสุขที่สุด ไม่ขวนขวายหาความรัก อยู่กับตัวเองให้มากๆและมีความสุขกับตัวเองก่อน
ผ่านไปเกือบปี เราได้พบคนใหม่ซึ่งก็เป็นเพื่อนไอ้เลวคนนั้นเอง ตอนแรกไม่อยากคุยกับเค้าเลยเพราะรู้ว่าเป็นเพื่อนกัน แต่มาคิดๆดูว่า คนที่เป็นเพื่อนมัน ได้ยินแต่ข่าวเสียๆหายๆที่มันปล่อยมาทำลายเราแต่ยังเข้ามาคุยกับเราดีๆอยู่นี่คงมีความคิดระดับนึง ก็เลยลองคุยกันดู ตอนนี้ท้องได้ 6 เดือนแล้วค่ะ ^_^ ส่วนเรื่องหนี้สินจากไอ้ชั่วนั่น เราก็ทำเรื่องรีไฟแนนซ์และทยอยผ่อนไปเกือบหมดแล้ว เริ่มโล่งแล้วค่ะ แต่เรากลับมาดูแลกิจการของครอบครัวเรา ซึ่งเริ่มมีปัญหาตั้งแต่เอาเงินมาช่วยเรื่องเราจนขาดสภาพคล่อง เลยค่อนข้างมีสเกลปัญหาหนี้สินที่หนักกว่าเดิมเยอะ เกือบหกล้านค่ะ แต่เราไม่ท้อแท้นะ เพราะแฟนเรามาช่วยดูแลและเราก็พยายามทำให้เต็มที่ที่สุด ตั้งเป้าไว้ว่าภายในสามปีชั้นจะเคลียร์หนี้สินให้หมดให้ได้ เริ่มต้นหัดดูแลบัญชี ตามจิกตามแก้ทุกปัญหาในการทำงานอย่างใกล้ชิดค่ะ
เขียนซะยาวเชียว หวังว่าจะช่วย จขกท บ้างนะคะ ว่าทุกคนเองล้วนมีปัญหากันหมด อยู่ที่ว่าเค้าจะแสดงด้านไหนออกมาเท่านั้น เราเองก็ยังไม่สบายหรอกค่ะ ยังหนักอยู่เลยเรื่องจิตใจนะ เพราะไอ้ชั่วและครอบครัวมันปล่อยข่าวลือทำลายเรามากๆ ทั้งหาว่าท้อง ทำแท้ง ล้มละลาย มั่วผู้ชาย จนย้านแฟนใหม่เราไม่ยอมรับเรา ทั้งที่ตอนแรกเข้ากันได้ดีมากๆ แต่เราเชื่อเรื่องเวรกรรมและการกระทำของเราค่ะ ทำดีต้องได้ดีสิ ชีวิตของเราจะได้ดีหรือปล่าวอยู่ที่ความคิดและการกระทำของเราค่ะ ไม่ใช่อยู่ที่ปากของใคร ปัญหาที่มีก็ค่อยๆแก้ไปทีละจุดนะคะ มีอะไรปรึกษากันได้ แก้ไม่ได้ก็พักไว้ก่อน ทำใจให้สบายๆเดี๋ยวก็เจอทางออก ลองนั่งสมาธิ ตั้งสติแล้วจะเกิดปัญญาค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ซึ่งพอเปิดกิจการส่วนตัวกับแฟนแล้ว พบว่าผู้ชายคนนั้นและครอบครัวไม่ได้ดีอย่างภาพที่เค้าสร้างว่ารักครอบครัว เป็นแฟมิลี่แมน เราเองยังโดนญาติๆเค้าเตือนก่อนแต่งเลยว่ามั่นใจ คิดดีแล้วเหรอ เพราะแม่แฟนเราเค้าคิดว่าเรารวย ไปเที่ยวป่าวประกาศว่าลูกชายเค้าตกถังข้าวสาร แต่ต่อมาเมื่อเรารู้ความจริงเราครอบครัวเค้าหวังอะไรจากเรา ประกอบกับกิจการที่ทำด้วยกันผลประกอบการแย่ คลีนิครักษาสัตว์รายได้ไม่ถึงหมื่น ทุกเดือนเราต้องจ่ายค่าแรงผู้ช่วยเค้าด้วยเงินเราเอง , กวดวิชารายได้รวมทุกอย่างแค่หมื่นกว่าๆ (รวมที่หักเปอร์เซ็นต์จากเพื่อนๆที่ให้มาช่วยเป็นติวเตอร์ให้แล้ว) แค่ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ตก็แทบไม่พอจ่ายแล้วค่ะ เมื่อเห็นท่าทางไม่ดี ทันใดนั้นสันดานแมงดาก็โผล่มาเต็มตัว แอบเราไปสอบบรรจุเป็นสัตวแพทย์กระทรวงเองเลยโดยไม่ถามความเห็นเรา แล้วมายกเลิกงานแต่งงาน ทั้งที่งานกำลังจะเริ่มในอีกสองอาทิตย์ข่างหน้า ทิ้งให้เราและครอบครัวต้องตอบสังคมว่าแฟนเราไปไหน ทำไมต้องเลื่อนงานแต่ง (ซึ่งมันไปทำงานได้เดือนเดียวก็ไม่กลับมาอีกค่ะ จนผ่านไปสองเดือนกว่าก็ให้โครตเหง้าศักราชมัน ทั้งพ่อ ป้าและชายฉกรรจ์อีก 4-5 คนมาขนของใช้ในร้านไป ซึ่งเป็นของที่ซื้อมาด้วยเงินเราทั้งนั้น มีหลักฐานการซื้อชัดเจนเพราะเราซื้อผ่านบัตรเครดิตค่ะ แอร์ก็โดนมันถอดไปให้บ้านเป็นรูกว่าสามห้อง ไม่รวมที่เรามาแอบรู้ว่ามันแอบคบกับคนที่จ้างมาเป็นติวเตอร์ด้วยกันก่อนเลิกกับเราอีก
สรุปเราเสียทั้งเงินกับผู้ชายเลวๆคนนี้กว่า 2 ล้านต้องมาเป็นหนี้หัวโต และครอบครัวเราเองก็ต้องมาเสียชื่อเสียงเพราะเรา เหมือนเราเป็นม่ายขันหมากซึ่งเราไม่แคร์กับจุดนี้นะ แต่เสียใจที่ทำให้พ่อแม่เสียชื่อมากกว่า ตอนนั้นเราคว้างมาก ไม่อยากทำอะไรเลย เราเก็บตัวเกือบเดือนในร้าน ไม่กลับบ้านไม่คุยกับใคร เราหนีไปอยู่วัดเกือบอาทิตย์ สวดมนต์ อ่านหนังสือธรรมมะ นั่งร้องไห้หน้าพระพุทธรูปตลอดว่าเราทำเวรกรรมอะไรนักหนา ถึงต้องมาเจอแบบนี้ จนเกิดพุทธปัญญาเองค่ะว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีสิ่งใดจะอยู่กับเราตลอดไป ไม่ว่าจะความทุกข์หรือความสุข เท่านั้นละคะ หายเลย ออกจากวัดมาล้างเท้าแม้ กราบเท้าและขออโหสิกรรมแม่เรา ออกมาใช้ชีวิตร่าเริง ทำตัวให้มีความสุขที่สุด ไม่ขวนขวายหาความรัก อยู่กับตัวเองให้มากๆและมีความสุขกับตัวเองก่อน
ผ่านไปเกือบปี เราได้พบคนใหม่ซึ่งก็เป็นเพื่อนไอ้เลวคนนั้นเอง ตอนแรกไม่อยากคุยกับเค้าเลยเพราะรู้ว่าเป็นเพื่อนกัน แต่มาคิดๆดูว่า คนที่เป็นเพื่อนมัน ได้ยินแต่ข่าวเสียๆหายๆที่มันปล่อยมาทำลายเราแต่ยังเข้ามาคุยกับเราดีๆอยู่นี่คงมีความคิดระดับนึง ก็เลยลองคุยกันดู ตอนนี้ท้องได้ 6 เดือนแล้วค่ะ ^_^ ส่วนเรื่องหนี้สินจากไอ้ชั่วนั่น เราก็ทำเรื่องรีไฟแนนซ์และทยอยผ่อนไปเกือบหมดแล้ว เริ่มโล่งแล้วค่ะ แต่เรากลับมาดูแลกิจการของครอบครัวเรา ซึ่งเริ่มมีปัญหาตั้งแต่เอาเงินมาช่วยเรื่องเราจนขาดสภาพคล่อง เลยค่อนข้างมีสเกลปัญหาหนี้สินที่หนักกว่าเดิมเยอะ เกือบหกล้านค่ะ แต่เราไม่ท้อแท้นะ เพราะแฟนเรามาช่วยดูแลและเราก็พยายามทำให้เต็มที่ที่สุด ตั้งเป้าไว้ว่าภายในสามปีชั้นจะเคลียร์หนี้สินให้หมดให้ได้ เริ่มต้นหัดดูแลบัญชี ตามจิกตามแก้ทุกปัญหาในการทำงานอย่างใกล้ชิดค่ะ
เขียนซะยาวเชียว หวังว่าจะช่วย จขกท บ้างนะคะ ว่าทุกคนเองล้วนมีปัญหากันหมด อยู่ที่ว่าเค้าจะแสดงด้านไหนออกมาเท่านั้น เราเองก็ยังไม่สบายหรอกค่ะ ยังหนักอยู่เลยเรื่องจิตใจนะ เพราะไอ้ชั่วและครอบครัวมันปล่อยข่าวลือทำลายเรามากๆ ทั้งหาว่าท้อง ทำแท้ง ล้มละลาย มั่วผู้ชาย จนย้านแฟนใหม่เราไม่ยอมรับเรา ทั้งที่ตอนแรกเข้ากันได้ดีมากๆ แต่เราเชื่อเรื่องเวรกรรมและการกระทำของเราค่ะ ทำดีต้องได้ดีสิ ชีวิตของเราจะได้ดีหรือปล่าวอยู่ที่ความคิดและการกระทำของเราค่ะ ไม่ใช่อยู่ที่ปากของใคร ปัญหาที่มีก็ค่อยๆแก้ไปทีละจุดนะคะ มีอะไรปรึกษากันได้ แก้ไม่ได้ก็พักไว้ก่อน ทำใจให้สบายๆเดี๋ยวก็เจอทางออก ลองนั่งสมาธิ ตั้งสติแล้วจะเกิดปัญญาค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 22
เคยไม่มีเงินเลยถึงขนาดซื้อข้าว 5 บาทมาถุงเดียวแช่น้ำจนอืด เพื่อให้กินอิ่มท้องทั้งวันค่ะ
เริ่มหาเงินก้อนแรกจากการเก็บลูกหว้าในบ้านไปฝากขายร้านค้าในมหาลัย
แล้วเอาเงิน (ประมาณ 500 มั้ง) ซื้อดินญี่ปุ่นมาปั้นขายตลาดนัดหน้ามหาลัยจนเรียนจบ (ปี 2552)
ได้งานแรก (2552) เงินเดือน 5 พันกว่า โชคดีที่ใกล้บ้านเลยปั่นจักรยานไป ข้าวก็ห่อไปกิน
ทำอยู่เกือบ 2 ปี ก็ได้งานที่ 2 เงินเดือน 9 พันกว่า จนขยับไปถึง 15000 แต่ยังทำงานแฮนเมดควบคู่ไปด้วยเรื่อยๆ
ปัจจุบันลาออกจากงานทำธุรกิจส่วนตัว ขายของแฮนเมด รายได้ไม่มาก แต่สบายใจค่ะ
สรุปรวมปากกัด ตีนถีบมา 4 ปีกว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ที่ภูมิใจที่สุดคือ ปัจจุบันเรารับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านทุกอย่าง และแม่ไม่ต้องทำงานอีกต่อไปแล้ว (คุณพ่อเสียแล้วค่ะ)
เริ่มหาเงินก้อนแรกจากการเก็บลูกหว้าในบ้านไปฝากขายร้านค้าในมหาลัย
แล้วเอาเงิน (ประมาณ 500 มั้ง) ซื้อดินญี่ปุ่นมาปั้นขายตลาดนัดหน้ามหาลัยจนเรียนจบ (ปี 2552)
ได้งานแรก (2552) เงินเดือน 5 พันกว่า โชคดีที่ใกล้บ้านเลยปั่นจักรยานไป ข้าวก็ห่อไปกิน
ทำอยู่เกือบ 2 ปี ก็ได้งานที่ 2 เงินเดือน 9 พันกว่า จนขยับไปถึง 15000 แต่ยังทำงานแฮนเมดควบคู่ไปด้วยเรื่อยๆ
ปัจจุบันลาออกจากงานทำธุรกิจส่วนตัว ขายของแฮนเมด รายได้ไม่มาก แต่สบายใจค่ะ
สรุปรวมปากกัด ตีนถีบมา 4 ปีกว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ที่ภูมิใจที่สุดคือ ปัจจุบันเรารับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านทุกอย่าง และแม่ไม่ต้องทำงานอีกต่อไปแล้ว (คุณพ่อเสียแล้วค่ะ)
ความคิดเห็นที่ 11
**บทเรียนจากก้นหลุม**
คนที่ตก "หลุมชีวิต"
เป็นได้แค่สองอย่างเท่านั้น
หนึ่ง ถ้าเขาเอาตัวเองไม่รอด
วันๆ เขาก็จะจมทุกข์
และในที่สุดอาจถึงขั้นบ๊ายบายโลกนี้ไปเลย
สอง ถ้าเขาดึงตัวเองขึ้นมาจากหลุมได้
ชีวิตเขาจะพุ่งและสำเร็จสุดๆ แบบฉุดไม่อยู่
จากเคยจน ก็จะรวย
จากเคยทุกข์ ก็จะปล่อยวางได้ทุกอย่าง
ครับ! คนที่ผ่านการตกหลุมชีวิตมา
รับรองว่าชีวิตหลังจากนั้น
จะไม่เคยมีกลางๆ ธรรมดาๆ แน่นอน
เพราะสิ่งที่ใครคนนั้นจะได้จากก้นหลุมที่ตกลงไปก็คือ
"บทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต"
วันนี้ใครที่กำลังตกหลุมชีวิตอยู่
ขอให้รู้ไว้ว่าคุณกำลังเจอบททดสอบครั้งสำคัญ
อารมณ์ของมันไม่ต่างกับคุณเล่นเกมโชว์อยู่
ถ้าตอบถูก คุณจะได้เงินล้าน
แต่ถ้าตอบผิด คุณจะกลับบ้านมือเปล่า
แถมกลับบ้านที่ว่าน่ะ กลับบ้านเก่านะครับ
แทบทั้งนั้นของคนที่รวยมาด้วยมือตัวเอง
ล้วนเคยตกหลุมชีวิตที่ว่า
แต่เพราะเขาสอบผ่านบทเรียนจากก้นหลุมมาได้
เขาถึงประสบความสำเร็จขนาดนั้น
จะว่าไปแล้วคนที่ตกหลุมชีวิตนั้น
ได้สิทธิ์พิเศษกว่าคนที่ชีวิตราบเรียบด้วยซ้ำ
อย่างน้อยคุณก็ได้ถูกเลือกมาลุ้นเงินล้านในเกมโชว์ครั้งนี้
ฉุดตัวเองขึ้นมาให้ได้ครับ
แล้วชีวิตคุณจะรุ่งสุดๆ
ผมยืนยันว่าคือเรื่องจริง
จะไม่จริงได้ไงครับ
ก็ผมนี่ล่ะที่ขึ้นมาจากหลุมได้แล้ว /บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ
คนที่ตก "หลุมชีวิต"
เป็นได้แค่สองอย่างเท่านั้น
หนึ่ง ถ้าเขาเอาตัวเองไม่รอด
วันๆ เขาก็จะจมทุกข์
และในที่สุดอาจถึงขั้นบ๊ายบายโลกนี้ไปเลย
สอง ถ้าเขาดึงตัวเองขึ้นมาจากหลุมได้
ชีวิตเขาจะพุ่งและสำเร็จสุดๆ แบบฉุดไม่อยู่
จากเคยจน ก็จะรวย
จากเคยทุกข์ ก็จะปล่อยวางได้ทุกอย่าง
ครับ! คนที่ผ่านการตกหลุมชีวิตมา
รับรองว่าชีวิตหลังจากนั้น
จะไม่เคยมีกลางๆ ธรรมดาๆ แน่นอน
เพราะสิ่งที่ใครคนนั้นจะได้จากก้นหลุมที่ตกลงไปก็คือ
"บทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต"
วันนี้ใครที่กำลังตกหลุมชีวิตอยู่
ขอให้รู้ไว้ว่าคุณกำลังเจอบททดสอบครั้งสำคัญ
อารมณ์ของมันไม่ต่างกับคุณเล่นเกมโชว์อยู่
ถ้าตอบถูก คุณจะได้เงินล้าน
แต่ถ้าตอบผิด คุณจะกลับบ้านมือเปล่า
แถมกลับบ้านที่ว่าน่ะ กลับบ้านเก่านะครับ
แทบทั้งนั้นของคนที่รวยมาด้วยมือตัวเอง
ล้วนเคยตกหลุมชีวิตที่ว่า
แต่เพราะเขาสอบผ่านบทเรียนจากก้นหลุมมาได้
เขาถึงประสบความสำเร็จขนาดนั้น
จะว่าไปแล้วคนที่ตกหลุมชีวิตนั้น
ได้สิทธิ์พิเศษกว่าคนที่ชีวิตราบเรียบด้วยซ้ำ
อย่างน้อยคุณก็ได้ถูกเลือกมาลุ้นเงินล้านในเกมโชว์ครั้งนี้
ฉุดตัวเองขึ้นมาให้ได้ครับ
แล้วชีวิตคุณจะรุ่งสุดๆ
ผมยืนยันว่าคือเรื่องจริง
จะไม่จริงได้ไงครับ
ก็ผมนี่ล่ะที่ขึ้นมาจากหลุมได้แล้ว /บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ
ความคิดเห็นที่ 30
ผมเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ต้นทุนชีวิตต่ำมากพ่อกับแม่เป็นเกษตรกรที่มีรายได้ต่อปีไม่ถึง 50,000 บาทมีสมาชิกในครอบครัวรวมกัน 5 คน ผมเป็นลูกคนโต และมีน้องชาย 1 คน เรียนจบโรงเรียนประถมศึกษาแถวบ้านที่มีครู 2-3 คน สอนทุกๆชั้นเรียน พอโตมาเข้าเรียนที่ โรงเรียนมัธยมประจำตำบล แถวๆบ้านเช่นกัน เพื่อนคนอื่นๆก็เช่นกัน ชีวิตไม่เคยอยากได้อะไรที่อยากได้เหมือนเด็กคนอื่นๆ เช่นของเล่นสักชิ้นนึง อยากเล่นอะไรก็ต้องประดิษฐ์เอาจากเศษกระป๋อง หรือวัสดุจากธรรมชาติ ตอนเรียนระดับประถมศึกษา จะมีรองเท้านักเรียนสีน้ำตาลใส่ก็ตอน ป.5 แล้วตั้งแต่อนุบาล จน ป.4 รองเท้าแตะหูคีบตลอด ชีวิตไม่เคยง่ายเลย หยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ต้องไปช่วยพ่อกับแม่ทำไร่ทำสวน จนเรียนระดับมัธยมตอนผมใกล้จะจบ ม.6 ผมไปขอให้แม่ช่วยส่งผมเรียนต่อ ป.ตรี ตอนแรกแม่บอกว่าไม่มีเงินมากพอที่จะส่งเรียนต่อ แต่ผมเป็นคนเรียนดีและพฤติกรรมดีมาตลอด ทำให้แม่ได้รางวัลแม่ดีเด่น 3 ปีซ้อนตอนเรียนอยู่มัธยม แม่เลยพูดกับพ่อว่าจะลำบากอย่างไรก็จะทำให้ผมได้เรียนต่อ และผมก็กู้ ก.ย.ศ. เรียนด้วยช่วยพ่อแม่อีกทาง ตอนเรียนมหาลัยใกล้จะจบแล้ว จะต้องทำโปรเจคจบและต้องใช้เงินในการซื้อพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาทำโปรเจค และบ้านผมที่ต่างจังหวัดไฟไหม้ทุกอย่างหยุดซะงัก แม่ไม่มีเงินส่งให้ผมแล้ว แค่เงินสัก 5-6 บาทไปซื้อบะหมี่มาต้มกินประทังความหิวยังไม่มีเลย ต้องอดมื้อกินมื้อ เป็นอย่างนี้ประมาณ ครึ่งปีแม่บอกว่าให้กลับบ้านเถอะ มันจนหนทางแล้ว แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ ผมรับงานพิเศษ รับเขียนโปรแกรมให้รุ่นน้อง และหน่วยงานอื่นๆที่พอทำได้ พอได้เงินมาจ่ายค่าเทอม ณ ช่วงเวลาที่ชีวิตผมอับจน ผมได้เห็นอะไรหลายๆอย่างจากหมู่มิตร ที่มีมากมาย ทำให้ผมได้รู้ว่าไม่เคยมีใครจริงใจกับผมเลยทุกๆคนหนีผมหมด ผมกลายเป็นคนที่มีเพื่อนมากมายแต่ไม่มีเพื่อนที่จริงใจเลยสักคน แต่คนที่จริงใจกับผมกลับเป็นคนที่ผมคิดว่าเขาเป็นไอ้ขี้ยา เป็นศัตรูเป็นนักเลง เขาเป็นพี่ชายคนหนึ่ง ที่บ้านเขาก็เป็นกระท่อมเก่าๆเขาช่วยผมในตอนที่ผมหมดหนทาง และนั่นทำให้ผมได้พบเพื่อนแท้ ตอนนี้ผมเรียนจบแล้วทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เงินเดือนประมาณ 26,000 ต่อเดือน เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้ผมได้เติบโต และเป็นประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่าสำหรับผมมาก ตอนนี้ผมมีหนี้สิน ประมาณ สองแสนบาท จากค่าเล่าเรียน
ความคิดเห็นที่ 7
ยอดหนี้พอๆกับเราเลย คล้ายๆ เรา เราเป็นคนต้นทุนชีวิตไม่ีมี แถมเป็นเสาหลักให้ที่บ้านด้วย เมื่อ 2 ปีกว่า ๆที่ผ่านมา เรา กู้เงินสารพัดช่องทางมาทำธุรกิจแรก ก็ล้มเหลว โดนหลอก บริหารไม่ดี บลาๆ สุดท้ายเหลือเรากับหนี้สองล้านกว่าๆ กับลูกในท้องคน ลูกสาวคนโตคน
ผ่านมา ณ วันนี้ หนี้ เหลือ 1 ใน 4 กับอุปสรรคมากมาย ท้อจนเลิกท้อ จนด้านชา ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่สิ่งนึงที่เราไม่เคยหยุด คือ หยุดทำ ท้อ แค่ไหนเราก็ทำต่อ ต่อสู้ต่อให้ชีวิตเราและครอบครัวไปต่อได้
สู้นะคะ เป็นกำลังใจให้คนสู้ชีวิต
ฟ้าหลังฝนมันสวยมากๆ ค่ะ จงรอที่จะดูนะคะ ทุกอย่างมีเวลาของมัน อย่าหนีหายไปก่อนถึงเวลาของมันจะเสียใจค่ะ
ผ่านมา ณ วันนี้ หนี้ เหลือ 1 ใน 4 กับอุปสรรคมากมาย ท้อจนเลิกท้อ จนด้านชา ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่สิ่งนึงที่เราไม่เคยหยุด คือ หยุดทำ ท้อ แค่ไหนเราก็ทำต่อ ต่อสู้ต่อให้ชีวิตเราและครอบครัวไปต่อได้
สู้นะคะ เป็นกำลังใจให้คนสู้ชีวิต
ฟ้าหลังฝนมันสวยมากๆ ค่ะ จงรอที่จะดูนะคะ ทุกอย่างมีเวลาของมัน อย่าหนีหายไปก่อนถึงเวลาของมันจะเสียใจค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ใครเคยมีชีวิตติดลบ แล้วมีวีธีรับมือ และผ่านมาได้อย่างไรครับ