สวัสดีค่ะ
เราเพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ แต่ได้แพลนเที่ยวไว้ตั้งแต่ ก.ย. ปีที่แล้วกับเพื่อนอีก 3 คน ซึ่งติดงานและติดเรียนต่อ ตอนแรกก็จะพับทริปนี้ทิ้งไปแล้ว ด้วยความเสียดายเงิน (งกนั่นเอง) จองตั๋วเครื่องบินไป-กลับสุราษฎร์ในราคา 590 บาท หาได้ที่ไหนนน ใช่มั้ยล่ะ เราเลยตัดสินใจหนีไปเที่ยวคนเดียว 555 ขอบอกก่อนเลยว่าเพิ่งเคยรีวิวท่องเที่ยวครั้งแรก อาจมีผิดพลาดบ้างก็ติชมได้นะ ^^ และขออภัยบุคคลหนึ่งที่รอติดตามรีวิวเราจากโพสต์คำถามก่อนไปเที่ยว เค้ากลับมาก็เตรียมสอบหลายอย่างเลย ก.พ. และ TOEIC นี่เพิ่งว่างจริงจัง (2 เดือนกว่าๆ ผ่านไป)
ขอโทษด้วยน้าาา
เอาล่ะเริ่มกันเล้ยย
เราไปเที่ยวช่วงวันที่ 7-9 มิ.ย. 60 ตรงกับวันทำงานจันทร์ถึงศุกร์ ก็เลยเข้าใจเพื่อนอยู่เหมือนกัน และโชคดีมากที่ฝนไม่ตกเลยตลอดทริปหน้าฝนอีกด้วย
ขั้นตอนเตรียมตัว
ก็มีโทรจองที่พักกับรถเช่า เราเลือกนอนในเมืองเพราะว่านอนแพแพงมาก มาคนเดียวต้องเหมา 1,500 เราสู้ไม่ไหว แนะนำว่าควรมากับเพื่อนเยอะๆ หารกันคุ้มกว่า ที่พักเรามีชื่อว่า
Hotel Capsule Suratthani เป็นโฮสเทลราคาถูก คืนละ 159 เป็นห้องแคปซูลมีสองชั้น เราได้ห้องที่ 1 อยู่ชั้นบนติดหน้าต่าง ส่วนรถเช่าเราติดต่อ
บริษัท Suratthani Carrent เค้าก็ให้ถ่ายใบขับขี่ กับตาราง flight บินส่งทางไลน์พร้อมแจ้งเบอร์โทร โดยไม่ต้องโอนเงินไป ให้จ่ายที่เคาน์เตอร์ ณ สนามบินได้เลย เราเลือก Zusuki Ciaz แต่มีการเปลี่ยนแปลงเป็น Toyota Yaris แทน เพราะรถไม่ว่าง เช่าวันละ 800 บาท ครึ่งวันแรกนับรวมกับครึ่งวันสุดท้าย
DAY 1
เริ่มเดินทางจากนครปฐมโดยรถตู้ไปยังสายใต้เก่าตอน 7.30 น. รถติดตามปกติ จากนั้นขึ้นรถตู้ไปหมอชิต แวะกินข้าวหน้า JJ mall และรอรถเมล์ A1 ไปยังสนามบินดอนเมือง ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง 30 บาท เมื่อไปถึงสนามบินแล้วต้องไปยังอาคาร 2 เพื่อปริ๊นท์ Boarding Pass จากตู้สีแดงๆ ของ Air Asia และก็รีบไปที่ Gate ได้เลย เพราะตอนนี้ 10.30 แล้ว Boarding Time 11.00 กลัวตกเครื่อง 5555 เพราะ Gate อยู่ค่อนข้างลึก (อยู่สุดท้ายเลยจ้า) ใครต้องการเข้าห้องน้ำ และเวลาจวนเจียนมากๆ แนะนำให้ไปขึ้นบนเครื่องก็ได้นะ สะอาดอยู่เหมือนกัน ไปส่องมาแล้วแต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา
ถึงสนามบินดอนเมืองละจ้าาา
ถึงสนามบินสุราษฎร์แล้ว เกือบๆ บ่ายโมง พอเปิดเครื่องมาก็มีเบอร์โทรไม่ได้รับสาย บริษัทรถเช่านั่นเอง เดินไปที่เคาน์เตอร์ในสนามบินซึ่งอยู่หลังร้านกาแฟดอยช้าง และเค้าจะขับรถพาเราไปรับรถที่สำนักงาน เราเช่า 2 วัน เท่ากับ 1,600 บวกค่ามัดจำ 3,000 บาท โดยค่ามัดจำจะได้คืนตอนคืนรถในวันกลับ จากนั้นก็กินข้าวเที่ยงข้างๆ สำนักงาน พอดีถามพี่เจ้าหน้าที่ว่าร้านไหนโอเค เค้าแนะนำว่าร้านนี้ มื้อแรกที่สุราษฎร์นั่นคือ ข้าวผัดหมูกับน้ำเปล่า เค็มมากกกกก และแพงมาก จานละ 80 บาท OMG พออิ่มแล้วเราก็ขับรถไป
วัดพระธาตุไชยา อย่าลืมเช็คปริมาณน้ำมันด้วยนะเพื่อนๆ เค้าให้เรามาครึ่งถัง ตอนคืนรถก็เติมให้ถึงครึ่งถัง ไม่ต้องใจดีเติมให้เค้าเต็มถังล่ะ ถ้าเค้าให้เต็มถังก็ว่ากันไปเน่อ
ท่าอากาศยานนานาชาติสุราษฎร์ธานี
บริษัทสุราษฎร์ธานีคาร์เร้นท์
ข้าวจานแรก ณ สุราษฎร์ธานี
ออกเดินทางสู่
วัดพระธาตุไชยา
อย่าลืมเช็คปริมาณน้ำมันที่ทางบริษัทให้มาด้วยนะ
ถึง
วัดพระธาตุไชยาแล้วจ้า ทำบุญไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลสำหรับทริปฉายเดี่ยวนี้ บรรยากาศรอบๆ วัด ค่อนข้างเงียบสงบ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก ที่นี่มี
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยาด้วยนะ ค่าเข้า 20 บาทเท่านั้น เรียบร้อยแล้วก็ไปเช็คอินที่โฮสเทล เราพัก 2 คืนเป็นเงิน 318 บาทบวกค่ากุญแจ 200 บาทซึ่งจะคืนให้ตอนเช็คเอาท์ เค้าให้กระเช้าที่ใส่ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวอยู่ในนั้นสะดวกดีเวลาไปอาบน้ำ มะกี๊ตอนไหว้พระ มือเปียกถือก้านธูปเลยหยดเป็นดวงๆ เลยต้องมาเปลี่ยนกางเกง ซักและมาตากตรงบันไดที่ใช้ปีนขึ้นไปนอนนั่นแหละ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยัง
แหลมโพธิ์ เดินเล่น เขียนทรายตรงชายหาด กินข้าวกะหล่ำผัดน้ำมันหอย เมนูแปลกๆ เนอะ แม่ครัวเค้าแนะนำอะ ใจจริงอยากกินอาหารทะเล แต่งบน้อยหอยสังข์มาก 555 แวะเติมน้ำมันก่อนกลับที่พัก น้ำมันลดไป 2 ขีดเลยเติม 400 บาท ได้มา 3 ขีดจ้า กว่าจะถึงก็แอบค่ำอยู่เหมือนกัน 2 ทุ่มครึ่งแน่ะ จริงๆ ควรไปแหลมโพธิ์หลังจากออกจากวัดเลยอะ เพราะเพิ่งมารู้ตอนกลับแล้วว่าวัดห่างจากแหลมโพธิ์แค่ 17 นาทีเอง วนไปที่พักซึ่งอยู่ไกลกว่ามากๆ
วัดพระธาตุไชยา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา
เช็คอินที่
Hotel Capsule Suratthani
เดินเล่นชายหาด
แหลมโพธิ์
DAY 2
ตื่นแต่เช้า เขียนไดอารี่นิดนึง เมื่อคืนเพลียหลับไปซะก่อน และไปอาบน้ำ กินข้าว เช้าวันนี้กินข้าวกะเพราหมูราคา 50 บาท ขับรถไป
เขื่อนรัชชประภาประมาณชั่วโมงครึ่ง ตาม Google map ไปเรื่อยๆ หลงบ้างอะไรบ้าง 5555 มีต้นไม้ตลอดเส้นทางกว่าจะถึงก็ 11.00 ถ่ายรูปด้วยไม้เซลฟี่ที่สันเขื่อน และก็ไปท่าเรือเทศบาลซึ่งอยู่ในเขื่อนที่แหละ เพื่อไปล่องเรือดู
กุ้ยหลินเมืองไทย หรือเขาสามเกลอ ตอนแรกพี่เจ้าหน้าที่บอกว่า เพิ่งมีล่องเรือไปแล้ว ต้องรออีกนาน ไม่รู้เมื่อไหร่ถึงจะมีคนมาอีก เราก็นั่งอ่านหนังสือ เขียนบันทึกการเดินทางไปพลาง ดีตรงลมพัดโกรกเย็นสบาย แม้ว่าแดดจะร้อนเปรี้ยงก็ตาม ซักพักใหญ่ๆ พอจะเคลิ้มๆ ใกล้หลับ ก็มีครอบครัวจากจังหวัดลำพูนมาล่องเรือ เราขอแจมด้วยก็จ่ายไป 300 บาท ก็ดีกว่าเหมาเรือคนเดียวแล้วกันเนอะ ใช้เวลาล่องเรือหางยาวไป-กลับประมาณ 2 ชั่วโมง ได้รูปเดี่ยวสวยๆ จากครอบครัวนี้และพี่คนขับเรือ เขาสามเกลออาจจะดูเตี้ยไปหน่อย ต้องมาหน้าร้อน น้ำจะลงไปอีก จะเห็นเขาสามเกลอสูงกว่านี้ จากนั้นก็แวะ
แพนางไพร น้ำใสมวาก ดูปลากินข้าวโพดแห้ง และก็กลับฝั่ง ระหว่างทางน้ำกระเซ็นโดนหน้าโดนตัวเย็นสดชื่น เรือมีหลังคาด้วยนะ ไม่ต้องกลัวแดดอย่างที่คิด มีชูชีพให้ใส่ปลอดภัย เมื่อถึงฝั่งก็มีรูปถ่ายแปะบนกรอบรูปขายอันละ 100 บาท แต่ก็ไม่ได้ซื้อหรอก แหะๆ รู้สึกปวดท้องเข้าห้องน้ำ เจอทางเข้าคิดเงิน 5 บาท น้ำดื่มขวดเล็ก 15 บาท อื้อหือแพงน่าดู เลยตัดใจไปเข้าที่อื่นแทน แวะกินข้าวเที่ยงข้างทาง เจอร้านอร่อยร้านแรกเลยก็ว่าได้ เป็นข้าวกับแกงส้มที่สีไม่ส้ม มันสีเหลืองๆ แบบแกงใต้อะ ราคาเพียง 30 บาท ภาคภูมิใจมากๆๆ กับมื้อนี้ รู้สึกว่ามาถึงภาคใต้แล้วสินะ แกงเผ็ด มีผักเครื่องเคียง ดีงามมากบอกเลย แต่เราระบุพิกัดร้านไม่ถูกจ้าาา 55555
ขับรถพาตัวเองเที่ยวต่อไป... บรรยากาศข้างทางธรรมชาติมากๆ รู้สึกได้ฟื้นฟูจิตใจ ผ่อนคลายสบายตาดีแฮะ
ขับตามป้ายบอกทางมาเรื่อยๆ
ถึงสัน
เขื่อนรัชชประภาแล้วน้าา แดดแอบร้อนนิดนึงนะ
ท่าเรือเทศบาลอยู่ในเขื่อนรัชชประภานี่เอง
เรือมีหลังคากันแดดได้อยู่นะ
มุมยอดฮิต ได้นั่งหัวเรือ ลมพัดโกรกดี 555
นั่นไง
เขาสามเกลอ ที่รอคอย
น้ำใสน่าเล่นมากอ่าาา แต่เรามาแพคเกจนั่งล่องเรือเฉยๆ ง่ะ งั้นเอามือจุ่มๆ ก็ยังดีเนอะ แขนหรือท่อนซุง 5555
รูปนี้คือรูปที่ชอบที่สุดตลอดทั้งทริป
ดูปลา ณ แพนางไพร
มื้อนี้รู้สึกว่ามาถึงภาคใต้แล้วจริงๆ แกงส้มเผ็ดมาก หรอยจังฮู้ ^^
เดินทางสู่
คลองน้ำใสต่อ ตอนแรกจะไปสะพานแขวน ภูเขารูปหัวใจ แต่ไม่เห็นป้ายบอกทางเลยไปคลองน้ำใสละกัน หลงทางนิดนึง เพราะปักหมุดและขับตามไปเรื่อยๆ ทางเข้าขรุขระมาก มีหลุมมีบ่อเยอะแยะ ใต้รถครูดไปหลายรอบเลยจ้า กว่าจะถึงทุลักทุเลมาตลอดทาง พอไปถึงปุ๊บ ... -จุดไปเลย ขอกระซิบดังๆ ว่า ไม่มีอะไรเลยจ้า เป็นที่เล่นน้ำนิ่งๆ ไม่ใสน่าเล่นแบบเขื่อนเลย กะว่าจะเดินไปดูต้นน้ำซักหน่อย อาการปวดท้องเข้าห้องน้ำกำเริบอีกแล้ว และที่นี่ห้องน้ำไม่มีไฟ เป็นแบบนั่งยองๆ และมืดๆ จิ้งจกเยอะมาก สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ เราคิดว่า จงไปที่อื่นเตอะ 555 สรุปทริปนี้เราไม่ได้ลงน้ำเลย เขื่อนแค่ล่องเรือ ส่วนที่นี่ก็ไม่โอเค แต่มีคนเล่นอยู่พอสมควรนะ เราถึงตอนเค้ากำลังจะปิดแล้วอะ ประมาณ 16.30 ร้านอาหารก็เก็บหมดแล้ว
เดี๋ยวมาต่อนะจ๊ะ ตัวอักษรไม่พอจ้า
[CR] [Review] ฉายเดี่ยวเที่ยวสุราษฎร์งบ 4 พัน 3 วัน 2 คืน
ขอโทษด้วยน้าาา
เอาล่ะเริ่มกันเล้ยย
เราไปเที่ยวช่วงวันที่ 7-9 มิ.ย. 60 ตรงกับวันทำงานจันทร์ถึงศุกร์ ก็เลยเข้าใจเพื่อนอยู่เหมือนกัน และโชคดีมากที่ฝนไม่ตกเลยตลอดทริปหน้าฝนอีกด้วย
ขั้นตอนเตรียมตัว
ก็มีโทรจองที่พักกับรถเช่า เราเลือกนอนในเมืองเพราะว่านอนแพแพงมาก มาคนเดียวต้องเหมา 1,500 เราสู้ไม่ไหว แนะนำว่าควรมากับเพื่อนเยอะๆ หารกันคุ้มกว่า ที่พักเรามีชื่อว่า Hotel Capsule Suratthani เป็นโฮสเทลราคาถูก คืนละ 159 เป็นห้องแคปซูลมีสองชั้น เราได้ห้องที่ 1 อยู่ชั้นบนติดหน้าต่าง ส่วนรถเช่าเราติดต่อบริษัท Suratthani Carrent เค้าก็ให้ถ่ายใบขับขี่ กับตาราง flight บินส่งทางไลน์พร้อมแจ้งเบอร์โทร โดยไม่ต้องโอนเงินไป ให้จ่ายที่เคาน์เตอร์ ณ สนามบินได้เลย เราเลือก Zusuki Ciaz แต่มีการเปลี่ยนแปลงเป็น Toyota Yaris แทน เพราะรถไม่ว่าง เช่าวันละ 800 บาท ครึ่งวันแรกนับรวมกับครึ่งวันสุดท้าย
DAY 1
เริ่มเดินทางจากนครปฐมโดยรถตู้ไปยังสายใต้เก่าตอน 7.30 น. รถติดตามปกติ จากนั้นขึ้นรถตู้ไปหมอชิต แวะกินข้าวหน้า JJ mall และรอรถเมล์ A1 ไปยังสนามบินดอนเมือง ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง 30 บาท เมื่อไปถึงสนามบินแล้วต้องไปยังอาคาร 2 เพื่อปริ๊นท์ Boarding Pass จากตู้สีแดงๆ ของ Air Asia และก็รีบไปที่ Gate ได้เลย เพราะตอนนี้ 10.30 แล้ว Boarding Time 11.00 กลัวตกเครื่อง 5555 เพราะ Gate อยู่ค่อนข้างลึก (อยู่สุดท้ายเลยจ้า) ใครต้องการเข้าห้องน้ำ และเวลาจวนเจียนมากๆ แนะนำให้ไปขึ้นบนเครื่องก็ได้นะ สะอาดอยู่เหมือนกัน ไปส่องมาแล้วแต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา
ถึงสนามบินดอนเมืองละจ้าาา
ถึงสนามบินสุราษฎร์แล้ว เกือบๆ บ่ายโมง พอเปิดเครื่องมาก็มีเบอร์โทรไม่ได้รับสาย บริษัทรถเช่านั่นเอง เดินไปที่เคาน์เตอร์ในสนามบินซึ่งอยู่หลังร้านกาแฟดอยช้าง และเค้าจะขับรถพาเราไปรับรถที่สำนักงาน เราเช่า 2 วัน เท่ากับ 1,600 บวกค่ามัดจำ 3,000 บาท โดยค่ามัดจำจะได้คืนตอนคืนรถในวันกลับ จากนั้นก็กินข้าวเที่ยงข้างๆ สำนักงาน พอดีถามพี่เจ้าหน้าที่ว่าร้านไหนโอเค เค้าแนะนำว่าร้านนี้ มื้อแรกที่สุราษฎร์นั่นคือ ข้าวผัดหมูกับน้ำเปล่า เค็มมากกกกก และแพงมาก จานละ 80 บาท OMG พออิ่มแล้วเราก็ขับรถไปวัดพระธาตุไชยา อย่าลืมเช็คปริมาณน้ำมันด้วยนะเพื่อนๆ เค้าให้เรามาครึ่งถัง ตอนคืนรถก็เติมให้ถึงครึ่งถัง ไม่ต้องใจดีเติมให้เค้าเต็มถังล่ะ ถ้าเค้าให้เต็มถังก็ว่ากันไปเน่อ
ท่าอากาศยานนานาชาติสุราษฎร์ธานี
บริษัทสุราษฎร์ธานีคาร์เร้นท์
ข้าวจานแรก ณ สุราษฎร์ธานี
ออกเดินทางสู่ วัดพระธาตุไชยา
อย่าลืมเช็คปริมาณน้ำมันที่ทางบริษัทให้มาด้วยนะ
ถึงวัดพระธาตุไชยาแล้วจ้า ทำบุญไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลสำหรับทริปฉายเดี่ยวนี้ บรรยากาศรอบๆ วัด ค่อนข้างเงียบสงบ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก ที่นี่มีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยาด้วยนะ ค่าเข้า 20 บาทเท่านั้น เรียบร้อยแล้วก็ไปเช็คอินที่โฮสเทล เราพัก 2 คืนเป็นเงิน 318 บาทบวกค่ากุญแจ 200 บาทซึ่งจะคืนให้ตอนเช็คเอาท์ เค้าให้กระเช้าที่ใส่ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวอยู่ในนั้นสะดวกดีเวลาไปอาบน้ำ มะกี๊ตอนไหว้พระ มือเปียกถือก้านธูปเลยหยดเป็นดวงๆ เลยต้องมาเปลี่ยนกางเกง ซักและมาตากตรงบันไดที่ใช้ปีนขึ้นไปนอนนั่นแหละ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังแหลมโพธิ์ เดินเล่น เขียนทรายตรงชายหาด กินข้าวกะหล่ำผัดน้ำมันหอย เมนูแปลกๆ เนอะ แม่ครัวเค้าแนะนำอะ ใจจริงอยากกินอาหารทะเล แต่งบน้อยหอยสังข์มาก 555 แวะเติมน้ำมันก่อนกลับที่พัก น้ำมันลดไป 2 ขีดเลยเติม 400 บาท ได้มา 3 ขีดจ้า กว่าจะถึงก็แอบค่ำอยู่เหมือนกัน 2 ทุ่มครึ่งแน่ะ จริงๆ ควรไปแหลมโพธิ์หลังจากออกจากวัดเลยอะ เพราะเพิ่งมารู้ตอนกลับแล้วว่าวัดห่างจากแหลมโพธิ์แค่ 17 นาทีเอง วนไปที่พักซึ่งอยู่ไกลกว่ามากๆ
วัดพระธาตุไชยา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา
เช็คอินที่ Hotel Capsule Suratthani
เดินเล่นชายหาด แหลมโพธิ์
DAY 2
ตื่นแต่เช้า เขียนไดอารี่นิดนึง เมื่อคืนเพลียหลับไปซะก่อน และไปอาบน้ำ กินข้าว เช้าวันนี้กินข้าวกะเพราหมูราคา 50 บาท ขับรถไปเขื่อนรัชชประภาประมาณชั่วโมงครึ่ง ตาม Google map ไปเรื่อยๆ หลงบ้างอะไรบ้าง 5555 มีต้นไม้ตลอดเส้นทางกว่าจะถึงก็ 11.00 ถ่ายรูปด้วยไม้เซลฟี่ที่สันเขื่อน และก็ไปท่าเรือเทศบาลซึ่งอยู่ในเขื่อนที่แหละ เพื่อไปล่องเรือดูกุ้ยหลินเมืองไทย หรือเขาสามเกลอ ตอนแรกพี่เจ้าหน้าที่บอกว่า เพิ่งมีล่องเรือไปแล้ว ต้องรออีกนาน ไม่รู้เมื่อไหร่ถึงจะมีคนมาอีก เราก็นั่งอ่านหนังสือ เขียนบันทึกการเดินทางไปพลาง ดีตรงลมพัดโกรกเย็นสบาย แม้ว่าแดดจะร้อนเปรี้ยงก็ตาม ซักพักใหญ่ๆ พอจะเคลิ้มๆ ใกล้หลับ ก็มีครอบครัวจากจังหวัดลำพูนมาล่องเรือ เราขอแจมด้วยก็จ่ายไป 300 บาท ก็ดีกว่าเหมาเรือคนเดียวแล้วกันเนอะ ใช้เวลาล่องเรือหางยาวไป-กลับประมาณ 2 ชั่วโมง ได้รูปเดี่ยวสวยๆ จากครอบครัวนี้และพี่คนขับเรือ เขาสามเกลออาจจะดูเตี้ยไปหน่อย ต้องมาหน้าร้อน น้ำจะลงไปอีก จะเห็นเขาสามเกลอสูงกว่านี้ จากนั้นก็แวะแพนางไพร น้ำใสมวาก ดูปลากินข้าวโพดแห้ง และก็กลับฝั่ง ระหว่างทางน้ำกระเซ็นโดนหน้าโดนตัวเย็นสดชื่น เรือมีหลังคาด้วยนะ ไม่ต้องกลัวแดดอย่างที่คิด มีชูชีพให้ใส่ปลอดภัย เมื่อถึงฝั่งก็มีรูปถ่ายแปะบนกรอบรูปขายอันละ 100 บาท แต่ก็ไม่ได้ซื้อหรอก แหะๆ รู้สึกปวดท้องเข้าห้องน้ำ เจอทางเข้าคิดเงิน 5 บาท น้ำดื่มขวดเล็ก 15 บาท อื้อหือแพงน่าดู เลยตัดใจไปเข้าที่อื่นแทน แวะกินข้าวเที่ยงข้างทาง เจอร้านอร่อยร้านแรกเลยก็ว่าได้ เป็นข้าวกับแกงส้มที่สีไม่ส้ม มันสีเหลืองๆ แบบแกงใต้อะ ราคาเพียง 30 บาท ภาคภูมิใจมากๆๆ กับมื้อนี้ รู้สึกว่ามาถึงภาคใต้แล้วสินะ แกงเผ็ด มีผักเครื่องเคียง ดีงามมากบอกเลย แต่เราระบุพิกัดร้านไม่ถูกจ้าาา 55555
ขับรถพาตัวเองเที่ยวต่อไป... บรรยากาศข้างทางธรรมชาติมากๆ รู้สึกได้ฟื้นฟูจิตใจ ผ่อนคลายสบายตาดีแฮะ
ขับตามป้ายบอกทางมาเรื่อยๆ
ถึงสันเขื่อนรัชชประภาแล้วน้าา แดดแอบร้อนนิดนึงนะ
ท่าเรือเทศบาลอยู่ในเขื่อนรัชชประภานี่เอง
เรือมีหลังคากันแดดได้อยู่นะ
มุมยอดฮิต ได้นั่งหัวเรือ ลมพัดโกรกดี 555
นั่นไง เขาสามเกลอ ที่รอคอย
น้ำใสน่าเล่นมากอ่าาา แต่เรามาแพคเกจนั่งล่องเรือเฉยๆ ง่ะ งั้นเอามือจุ่มๆ ก็ยังดีเนอะ แขนหรือท่อนซุง 5555
รูปนี้คือรูปที่ชอบที่สุดตลอดทั้งทริป
ดูปลา ณ แพนางไพร
มื้อนี้รู้สึกว่ามาถึงภาคใต้แล้วจริงๆ แกงส้มเผ็ดมาก หรอยจังฮู้ ^^
เดินทางสู่คลองน้ำใสต่อ ตอนแรกจะไปสะพานแขวน ภูเขารูปหัวใจ แต่ไม่เห็นป้ายบอกทางเลยไปคลองน้ำใสละกัน หลงทางนิดนึง เพราะปักหมุดและขับตามไปเรื่อยๆ ทางเข้าขรุขระมาก มีหลุมมีบ่อเยอะแยะ ใต้รถครูดไปหลายรอบเลยจ้า กว่าจะถึงทุลักทุเลมาตลอดทาง พอไปถึงปุ๊บ ... -จุดไปเลย ขอกระซิบดังๆ ว่า ไม่มีอะไรเลยจ้า เป็นที่เล่นน้ำนิ่งๆ ไม่ใสน่าเล่นแบบเขื่อนเลย กะว่าจะเดินไปดูต้นน้ำซักหน่อย อาการปวดท้องเข้าห้องน้ำกำเริบอีกแล้ว และที่นี่ห้องน้ำไม่มีไฟ เป็นแบบนั่งยองๆ และมืดๆ จิ้งจกเยอะมาก สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ เราคิดว่า จงไปที่อื่นเตอะ 555 สรุปทริปนี้เราไม่ได้ลงน้ำเลย เขื่อนแค่ล่องเรือ ส่วนที่นี่ก็ไม่โอเค แต่มีคนเล่นอยู่พอสมควรนะ เราถึงตอนเค้ากำลังจะปิดแล้วอะ ประมาณ 16.30 ร้านอาหารก็เก็บหมดแล้ว
เดี๋ยวมาต่อนะจ๊ะ ตัวอักษรไม่พอจ้า