สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมที่อยากลองมาพิมพ์เล่าเรื่องในนี้ดู (หลังจากอ่านมาหลายเรื่อง)
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่ผมฟังมาจากพ่อของผม (เนื่องจากเป็นการฟังคำบอกเล่า รายละเอียดบางอย่างเช่นชื่อบุคคลในเรื่องนี้ อาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดแต่เป็นลักษณะสรรพนามแทนตัวนะครับ) ปกติแล้วผมกับพ่อไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่ผมเด็กๆ แล้ว ผมอายุ 28 ทำงานฟรีแลนซ์อยู่บ้านเพื่อช่วยป้ากับอาดูแลปู่กับย่า พ่อผมทำงานอยู่ที่จังหวัดลพบุรี แต่พ่อก็จะแวะเวียนมาหาเพื่อเยี่ยมปู่กับย่าอยู่เรื่อยๆ และเวลาที่พ่อมาเราก็มักจะได้ใช้ช่วงเวลาค่ำๆ หลังเสร็จกิจธุระต่างๆ นั่งกินเบียร์กันหน้าบ้านสองคนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย จนเมื่อไม่นานมานี้ผมก็ได้เปิดประเด็นถามพ่อว่า "เวลาพ่อไปฝึกในป่าบ่อยๆ พ่อเคยเจออะไรแปลกๆ บ้างไหมครับ ?"
พ่อผมอายุ 50 ปี เป็นทหาร ปัจจุบันติดยศ เสธ. พันตรี แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดตั้งแต่สมัยพ่อผมยังเป็นจ่านายสิบทหารม้า เป็นพลขับประจำรถถัง พ่อผมไม่ได้ประสบกับตัวเอง แต่เป็นผู้ที่อยู่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องก็มีอยู่ว่า
เป็นปกติของทหารที่จะต้องมีการฝึกภาคสนาม ครั้งนั้นก็เป็นการฝึกครั้งหนึ่งในหลายครั้งของพ่อผม พื้นที่ทำการฝึกในครั้งนั้นเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดลพบุรีกับเพชรบูรณ์ สภาพพื้นที่เป็นทุ่งกว้าง บริเวณรอบๆ เป็นป่าและมีเนินเขาเตี้ยๆ ประมาณตึก 6-8 ชั้นที่ด้านแนวหน้าของพื้นที่ทำการฝึก (ผมคิดว่าน่าจะใช้เป็นที่ซ้อมเป้ายิงของรถถัง) การฝึกตอนนั้นเป็นการฝึกตั้งรับ ผู้กองที่ควบคุมได้สั่งให้พวกพลทหารทำการเตรียมพื้นที่สำหรับตั้งรับ เช่นขุดคูเลต ทำบังเกอร์ พวกพลทหารก็ได้ทำการขุดเอาก้อนหินในบริเวณป่าแถวเนินเขานั้นมาก่อเป็นบังเกอร์ ในระหว่างการขุดเอาก้อนหินนั้นได้มีพลหทารคนหนึ่งขุดพบหอกโบราณที่ทำจากสัมฤทธิ์เล่มหนึ่ง ลักษณะของหอกเล่มนั้นมีส่วนใบหอกยาวประมาณ 1 ศอกเศษ (พ่อผมทำท่าอธิบายลักษณะความยาวว่าถ้าแบมือเหยียดตรงให้นับจากศอกถึงปลายนิ้ว) ส่วนด้ามหอกนั้นก็เป็นสัมฤทธิ์เช่นกัน เหลือจากการผุกร่อนตามกาลเวลาประมาณ 1 เมตรเศษ พลทหารคนนั้นก็ได้นำหอกเล่มนั้นมาให้ผู้กองดู
ผู้กองคนนี้เป็นคนที่ชอบของเก่าของโบราณ มีของเก่าสะสมอยู่ที่บ้านหลายชิ้น พอได้หอกเล่มนี้มาก็ตามประสาคนชอบของเก่า คือนำกลับไปบ้านด้วย ตั้งขึ้นหิ้งไว้อย่างดี แต่เรื่องราวแปลกๆ ก็เกิดขึ้นตั้งแต่คืนแรกที่นำหอกเล่มนั้นเข้าบ้าน คือผู้กองคนนั้นได้ฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวแบบคนโบราณนุ่งโจงกระเบนไม่ใส่เสื้อมาบอกกับตัวผู้กองว่า "ให้เอาหอกเล่มนั้นไปคืนที่เดิมซะ มันไม่ใช่ของเอ็ง เอ็งมีบุญไม่พอจะเป็นเจ้าของ ข้าฝังเอาไว้รอคนที่มีบุญมากพอจะมาพบ ก็คือทหารหนุ่มคนนั้น" (ประโยคที่พูดจริงๆ ที่พ่อผมเล่าให้ฟังจะใช้สรรพนามแทนตัวแบบโบราณที่เป็นคำหยาบในสมัยนี้นะครับ แต่ผมจะเลี่ยงโดยใช้คำแบบในละครย้อนยุคแทน) และชายโบราณในฝันคนนั้นก็ได้ทิ้งท้ายประโยคเป็นคำเตือนด้วยว่า "ถ้าไม่เอาไปคืนระวังครอบครัวเอ็งจะเดือดร้อน"
แต่ผู้กองคนนั้นก็ยังไม่ยอมเอาหอกไปคืนที่เดิม แล้วภายในเย็นวันนั้นเองภรรยาและลูกของผู้กองคนนั้นขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปตลาดกันสองคน อยู่ดีๆ ก็โดนรถกระบะพุ่งมาชนจนได้รับบาดเจ็บ ตัวภรรยาขาหัก และลูกแขนหัก ต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ตัวผู้กองคนนั้นก็ยังไม่ยอมเอาหอกไปคืน แต่หาวิธีแก้ไขด้วยการจุดธูปไหว้ขอขมาหอกเล่มนั้นแทน คืนนั้นผู้กองก็ฝันเห็นชายโบราณคนนั้นอีกพร้อมกับชายคนนั้นบอกว่า "ที่เมียกับลูกของเอ็งเจ็บนั่นข้าเตือนเอ็งแล้ว ถ้าเอ็งยังไม่เชื่อ ไม่ยอมเอาของไปคืนที่ เอ็งจะโดนหนักกว่านี้" แต่ตัวผู้กองก็ยังไม่ยอมเอาหอกไปคืนที่ และแค่ภายในวันสองวันตัวผู้กองเองก็โดนรถชนขาหักจนต้องเข้าโรงพยาบาลเช่นกัน ผู้กองจึงยอมให้พลทหารคนที่ขุดพบหอกมาเอาหอกไปฝังคืนที่เดิม
พลทหารคนนั้นก็ดูจะไม่ได้สนใจจะเก็บหอกเล่มนั้นไว้กับตัวเพราะอาจจะกลัวเหตุการณ์แบบที่เกิดขึ้นกับผู้กองและครอบครัว พลทหารคนนั้นจึงเตรียมที่จะเอาหอกเล่มนั้นไปฝังคืนตรงที่ตนขุดพบ แต่วันนั้นก็ตกค่ำเสียก่อน จึงยังไม่ได้เอาหอกไปฝัง ค่ำวันนั้นเองพลทหารคนนั้นกำลังจะนำหอกเล่มนั้นกลับไปเก็บที่เรือนนอนก่อน รอวันรุ่งขึ้นจะนำไปฝัง ก็พบจ่านายสิบสองคนกับเพื่อนพลทหารอีกสามคน จ่าสองคนนั้นมีท่าทางน่าจะเมาได้ที่ ได้ยินเรื่องหอกเล่มนั้นจึงขอดู ด้วยความเมาและความคึกคะนอง จ่าสองคนนั้นจึงเอาหอกเล่มนั้นมาทำท่าแทงกันเล่นพร้อมกับพูดประมาณว่า "แค่ของโบราณผุๆ พังๆ จะไปทำอะไรได้" แต่เรื่องแปลกก็คือจ่าสองคนนั้นเอาหอกเล่มนั้นไปลองฟันต้นไม้ ลำต้นขนาดประมาณเท่าขาคน ปรากฏว่าหอกนั้นสามารถฟันต้นไม้ได้ขาดในฉับเดียว แต่จ่าสองคนก็ไม่ได้สนใจอะไร อาจจะด้วยความเมา พอเอาหอกให้พลทหารคืนแล้วจ่าทั้งสองคนก็เหมือนว่าเครื่องดื่มหรือกับแกล้มจะหมด เลยจะพากันขับรถไปซื้อที่ตลาด (ถ้าผมจำไม่ผิดที่พ่อบอกน่าจะเป็นรถกระบะ) จ่าสองคนนั่งข้างหน้า คนหนึ่งขับ คนหนึ่งนั่งข้าง พลทหารอีกสามคนนั่งท้ายกระบะไปด้วย พอขับไปถึงสี่แยกไฟแดง สัญญาณไฟยังเป็นสีแดงอยู่ แต่รถกลับเบรกไม่ได้ พยายามเหยียบเบรกเท่าไหร่รถก็ไม่หยุด รถไหลออกไปกลางสี่แยกจังหวะเดียวกับมีรถบรรทุกพุ่งเข้ามาชนเข้าจังๆ จ่าทั้งสองคนเสียชีวิตคาที่ตรงนั้น แต่พลทหารสามคนที่ไปด้วยกลับไม่เป็นอะไรเลย อย่างมากก็ได้แค่แผลถลอก ฟกช้ำ
เมื่อเรื่องอุบัติเหตุและการเสียชีวิตของจ่าสองคนนั้นรู้ไปถึงผู้พัน ผู้พันก็รู้สึกว่าหอกเล่มนี้ไม่ใช่เล่นๆ แล้ว ต้องรีบเอาไปคืนที่เดิมให้เร็วที่สุด ตอนแรกนั้นมีการปรึกษากันภายในว่าจะทำพิธีตั้งศาลเพียงตาขึ้นและนำหอกเล่มนั้นตั้งไว้ในศาล แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตั้งเพราะเกรงว่าจะมีชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องหรือพวกตั้งใจขโมยของไปขายมาเอาหอกเล่มนี้ไป เลยสั่งให้พลทหารคนนี้เอาหอกไปฝังคืนที่และกลบไว้อย่างเดิม ซึ่งพลทหารก็ได้นำหอกไปฝังไว้เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นก็ยังมีการฝึกซ้อมรบเป็นปกติ แต่เกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้นตอนทำการจัดขบวนตั้งรับ ตอนนั้นพ่อผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเพราะเป็นพลขับต้องประจำอยู่ในรถถังที่จอดตั้งแนวอยู่ด้านหลังทหารราบ ตำแหน่งที่พ่อผมอยู่นั้นอยู่ห่างจากเนินเขาที่บอกไปข้างต้นประมาณ 100 เมตร+ แต่สิ่งที่พ่อผมเห็นผ่านกล้องของรถออกมาคือบริเวณที่รถถังจอดอยู่นั้นไม่มีฝนหรือลมเลย แต่มองออกไปบริเวณเนินเขานั้นปรากฏว่ามีเมฆดำกลุ่มใหญ่ลอยอยู่เหนือเนินเขานั้น รวมทั้งมีฝนฟ้าคะนอง มีฟ้าผ่าลงที่เนินเขานั้นแบบไม่ขาดสายประมาณว่าเสียงฟ้าผ่าครั้งหนึ่งยังไม่หมดก็เกิดฟ้าผ่าอีกครั้ง แต่ตำแหน่งที่ฟ้าผ่านั้นพ่อผมไม่ได้บอกว่าผ่าลงที่จุดเดียวหรือผ่ากระจัดกระจายกันไป แต่ฝนฟ้าคะนองครั้งนั้นก็เกิดขึ้นอยู่นานจนต้องสั่งหยุดการฝึก
ทุกคนที่รู้เรื่องคิดว่าเรื่องอาถรรพ์ที่เกิดจากหอกโบราณนั้นจบลงแล้ว แต่ก็ไม่ทราบว่าเรื่องมันไปถึงคนภายนอกได้อย่างไร จนมีกำนันในพื้นที่แถวนั้นคนหนึ่ง (พ่อผมบอกให้ฟังทีหลังว่ากำนันคนนี้เล่นของเก่าเหมือนกัน แต่เป็นคนมีความโลภมาก อยากได้ของเก่าเพื่อขายเก็งกำไร) กำนันคนนี้พยายามสืบเสาะถามไถ่คนไปทั่วจนรู้จักพลทหารคนที่ขุดพบหอก และพยายามตามตื้อเพื่อจะรู้ให้ได้ว่าพลทหารนำหอกไปฝังไว้ที่ไหน แต่ตัวพลทหารเองได้เตือนกำนันคนนั้นแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้กองและครอบครัว รวมทั้งเรื่องจ่าทั้งสองคนด้วย แต่กำนันไม่สนใจ จะเอาหอกเล่มนั้นให้ได้ และสุดท้ายเรื่องเล่าของพ่อผมก็จบลงด้วยศพที่สามที่มีสาเหตุการตายจากอุบัติเหตุขับรถยนต์แหกโค้งตกเขา (พ่อบอกว่าเคยขับรถถังเกือบตกเขาที่โค้งนี้เหมือนกัน)
เรื่องเล่า "หอกโบราณ" ของพ่อผมก็จบลงเท่านี้ครับ หลังจากนั้นก็คุยกันเรื่องอื่นที่พ่อผมเคยเจอตอนฝึกอีกเพราะธรรมดาในป่ามักจะมีเรื่องเล่าหรือการพบเจออะไรแปลกๆ เยอะ แต่ผมจำรายละเอียดเรื่องหลังๆ ที่พ่อผมเล่าไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และไม่ประทับใจผมเท่ากับเรื่องหอกโบราณเรื่องนี้ ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ ยังไงก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ผมพยายามเรียบเรียงและตรวจทานการพิมพ์ตามนิสัยปกติของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว และนำเสนอเนื้อความทั้งหมดผ่านการเรียบเรียงแล้ว กระทู้นี้เป็นการลองตั้งครั้งแรกถ้ามีตรงไหนขาดตกบกพร่องไปก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
อาถรรพ์หอกโบราณ
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่ผมฟังมาจากพ่อของผม (เนื่องจากเป็นการฟังคำบอกเล่า รายละเอียดบางอย่างเช่นชื่อบุคคลในเรื่องนี้ อาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดแต่เป็นลักษณะสรรพนามแทนตัวนะครับ) ปกติแล้วผมกับพ่อไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่ผมเด็กๆ แล้ว ผมอายุ 28 ทำงานฟรีแลนซ์อยู่บ้านเพื่อช่วยป้ากับอาดูแลปู่กับย่า พ่อผมทำงานอยู่ที่จังหวัดลพบุรี แต่พ่อก็จะแวะเวียนมาหาเพื่อเยี่ยมปู่กับย่าอยู่เรื่อยๆ และเวลาที่พ่อมาเราก็มักจะได้ใช้ช่วงเวลาค่ำๆ หลังเสร็จกิจธุระต่างๆ นั่งกินเบียร์กันหน้าบ้านสองคนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย จนเมื่อไม่นานมานี้ผมก็ได้เปิดประเด็นถามพ่อว่า "เวลาพ่อไปฝึกในป่าบ่อยๆ พ่อเคยเจออะไรแปลกๆ บ้างไหมครับ ?"
พ่อผมอายุ 50 ปี เป็นทหาร ปัจจุบันติดยศ เสธ. พันตรี แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดตั้งแต่สมัยพ่อผมยังเป็นจ่านายสิบทหารม้า เป็นพลขับประจำรถถัง พ่อผมไม่ได้ประสบกับตัวเอง แต่เป็นผู้ที่อยู่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องก็มีอยู่ว่า
เป็นปกติของทหารที่จะต้องมีการฝึกภาคสนาม ครั้งนั้นก็เป็นการฝึกครั้งหนึ่งในหลายครั้งของพ่อผม พื้นที่ทำการฝึกในครั้งนั้นเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดลพบุรีกับเพชรบูรณ์ สภาพพื้นที่เป็นทุ่งกว้าง บริเวณรอบๆ เป็นป่าและมีเนินเขาเตี้ยๆ ประมาณตึก 6-8 ชั้นที่ด้านแนวหน้าของพื้นที่ทำการฝึก (ผมคิดว่าน่าจะใช้เป็นที่ซ้อมเป้ายิงของรถถัง) การฝึกตอนนั้นเป็นการฝึกตั้งรับ ผู้กองที่ควบคุมได้สั่งให้พวกพลทหารทำการเตรียมพื้นที่สำหรับตั้งรับ เช่นขุดคูเลต ทำบังเกอร์ พวกพลทหารก็ได้ทำการขุดเอาก้อนหินในบริเวณป่าแถวเนินเขานั้นมาก่อเป็นบังเกอร์ ในระหว่างการขุดเอาก้อนหินนั้นได้มีพลหทารคนหนึ่งขุดพบหอกโบราณที่ทำจากสัมฤทธิ์เล่มหนึ่ง ลักษณะของหอกเล่มนั้นมีส่วนใบหอกยาวประมาณ 1 ศอกเศษ (พ่อผมทำท่าอธิบายลักษณะความยาวว่าถ้าแบมือเหยียดตรงให้นับจากศอกถึงปลายนิ้ว) ส่วนด้ามหอกนั้นก็เป็นสัมฤทธิ์เช่นกัน เหลือจากการผุกร่อนตามกาลเวลาประมาณ 1 เมตรเศษ พลทหารคนนั้นก็ได้นำหอกเล่มนั้นมาให้ผู้กองดู
ผู้กองคนนี้เป็นคนที่ชอบของเก่าของโบราณ มีของเก่าสะสมอยู่ที่บ้านหลายชิ้น พอได้หอกเล่มนี้มาก็ตามประสาคนชอบของเก่า คือนำกลับไปบ้านด้วย ตั้งขึ้นหิ้งไว้อย่างดี แต่เรื่องราวแปลกๆ ก็เกิดขึ้นตั้งแต่คืนแรกที่นำหอกเล่มนั้นเข้าบ้าน คือผู้กองคนนั้นได้ฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวแบบคนโบราณนุ่งโจงกระเบนไม่ใส่เสื้อมาบอกกับตัวผู้กองว่า "ให้เอาหอกเล่มนั้นไปคืนที่เดิมซะ มันไม่ใช่ของเอ็ง เอ็งมีบุญไม่พอจะเป็นเจ้าของ ข้าฝังเอาไว้รอคนที่มีบุญมากพอจะมาพบ ก็คือทหารหนุ่มคนนั้น" (ประโยคที่พูดจริงๆ ที่พ่อผมเล่าให้ฟังจะใช้สรรพนามแทนตัวแบบโบราณที่เป็นคำหยาบในสมัยนี้นะครับ แต่ผมจะเลี่ยงโดยใช้คำแบบในละครย้อนยุคแทน) และชายโบราณในฝันคนนั้นก็ได้ทิ้งท้ายประโยคเป็นคำเตือนด้วยว่า "ถ้าไม่เอาไปคืนระวังครอบครัวเอ็งจะเดือดร้อน"
แต่ผู้กองคนนั้นก็ยังไม่ยอมเอาหอกไปคืนที่เดิม แล้วภายในเย็นวันนั้นเองภรรยาและลูกของผู้กองคนนั้นขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปตลาดกันสองคน อยู่ดีๆ ก็โดนรถกระบะพุ่งมาชนจนได้รับบาดเจ็บ ตัวภรรยาขาหัก และลูกแขนหัก ต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ตัวผู้กองคนนั้นก็ยังไม่ยอมเอาหอกไปคืน แต่หาวิธีแก้ไขด้วยการจุดธูปไหว้ขอขมาหอกเล่มนั้นแทน คืนนั้นผู้กองก็ฝันเห็นชายโบราณคนนั้นอีกพร้อมกับชายคนนั้นบอกว่า "ที่เมียกับลูกของเอ็งเจ็บนั่นข้าเตือนเอ็งแล้ว ถ้าเอ็งยังไม่เชื่อ ไม่ยอมเอาของไปคืนที่ เอ็งจะโดนหนักกว่านี้" แต่ตัวผู้กองก็ยังไม่ยอมเอาหอกไปคืนที่ และแค่ภายในวันสองวันตัวผู้กองเองก็โดนรถชนขาหักจนต้องเข้าโรงพยาบาลเช่นกัน ผู้กองจึงยอมให้พลทหารคนที่ขุดพบหอกมาเอาหอกไปฝังคืนที่เดิม
พลทหารคนนั้นก็ดูจะไม่ได้สนใจจะเก็บหอกเล่มนั้นไว้กับตัวเพราะอาจจะกลัวเหตุการณ์แบบที่เกิดขึ้นกับผู้กองและครอบครัว พลทหารคนนั้นจึงเตรียมที่จะเอาหอกเล่มนั้นไปฝังคืนตรงที่ตนขุดพบ แต่วันนั้นก็ตกค่ำเสียก่อน จึงยังไม่ได้เอาหอกไปฝัง ค่ำวันนั้นเองพลทหารคนนั้นกำลังจะนำหอกเล่มนั้นกลับไปเก็บที่เรือนนอนก่อน รอวันรุ่งขึ้นจะนำไปฝัง ก็พบจ่านายสิบสองคนกับเพื่อนพลทหารอีกสามคน จ่าสองคนนั้นมีท่าทางน่าจะเมาได้ที่ ได้ยินเรื่องหอกเล่มนั้นจึงขอดู ด้วยความเมาและความคึกคะนอง จ่าสองคนนั้นจึงเอาหอกเล่มนั้นมาทำท่าแทงกันเล่นพร้อมกับพูดประมาณว่า "แค่ของโบราณผุๆ พังๆ จะไปทำอะไรได้" แต่เรื่องแปลกก็คือจ่าสองคนนั้นเอาหอกเล่มนั้นไปลองฟันต้นไม้ ลำต้นขนาดประมาณเท่าขาคน ปรากฏว่าหอกนั้นสามารถฟันต้นไม้ได้ขาดในฉับเดียว แต่จ่าสองคนก็ไม่ได้สนใจอะไร อาจจะด้วยความเมา พอเอาหอกให้พลทหารคืนแล้วจ่าทั้งสองคนก็เหมือนว่าเครื่องดื่มหรือกับแกล้มจะหมด เลยจะพากันขับรถไปซื้อที่ตลาด (ถ้าผมจำไม่ผิดที่พ่อบอกน่าจะเป็นรถกระบะ) จ่าสองคนนั่งข้างหน้า คนหนึ่งขับ คนหนึ่งนั่งข้าง พลทหารอีกสามคนนั่งท้ายกระบะไปด้วย พอขับไปถึงสี่แยกไฟแดง สัญญาณไฟยังเป็นสีแดงอยู่ แต่รถกลับเบรกไม่ได้ พยายามเหยียบเบรกเท่าไหร่รถก็ไม่หยุด รถไหลออกไปกลางสี่แยกจังหวะเดียวกับมีรถบรรทุกพุ่งเข้ามาชนเข้าจังๆ จ่าทั้งสองคนเสียชีวิตคาที่ตรงนั้น แต่พลทหารสามคนที่ไปด้วยกลับไม่เป็นอะไรเลย อย่างมากก็ได้แค่แผลถลอก ฟกช้ำ
เมื่อเรื่องอุบัติเหตุและการเสียชีวิตของจ่าสองคนนั้นรู้ไปถึงผู้พัน ผู้พันก็รู้สึกว่าหอกเล่มนี้ไม่ใช่เล่นๆ แล้ว ต้องรีบเอาไปคืนที่เดิมให้เร็วที่สุด ตอนแรกนั้นมีการปรึกษากันภายในว่าจะทำพิธีตั้งศาลเพียงตาขึ้นและนำหอกเล่มนั้นตั้งไว้ในศาล แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตั้งเพราะเกรงว่าจะมีชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องหรือพวกตั้งใจขโมยของไปขายมาเอาหอกเล่มนี้ไป เลยสั่งให้พลทหารคนนี้เอาหอกไปฝังคืนที่และกลบไว้อย่างเดิม ซึ่งพลทหารก็ได้นำหอกไปฝังไว้เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นก็ยังมีการฝึกซ้อมรบเป็นปกติ แต่เกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้นตอนทำการจัดขบวนตั้งรับ ตอนนั้นพ่อผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเพราะเป็นพลขับต้องประจำอยู่ในรถถังที่จอดตั้งแนวอยู่ด้านหลังทหารราบ ตำแหน่งที่พ่อผมอยู่นั้นอยู่ห่างจากเนินเขาที่บอกไปข้างต้นประมาณ 100 เมตร+ แต่สิ่งที่พ่อผมเห็นผ่านกล้องของรถออกมาคือบริเวณที่รถถังจอดอยู่นั้นไม่มีฝนหรือลมเลย แต่มองออกไปบริเวณเนินเขานั้นปรากฏว่ามีเมฆดำกลุ่มใหญ่ลอยอยู่เหนือเนินเขานั้น รวมทั้งมีฝนฟ้าคะนอง มีฟ้าผ่าลงที่เนินเขานั้นแบบไม่ขาดสายประมาณว่าเสียงฟ้าผ่าครั้งหนึ่งยังไม่หมดก็เกิดฟ้าผ่าอีกครั้ง แต่ตำแหน่งที่ฟ้าผ่านั้นพ่อผมไม่ได้บอกว่าผ่าลงที่จุดเดียวหรือผ่ากระจัดกระจายกันไป แต่ฝนฟ้าคะนองครั้งนั้นก็เกิดขึ้นอยู่นานจนต้องสั่งหยุดการฝึก
ทุกคนที่รู้เรื่องคิดว่าเรื่องอาถรรพ์ที่เกิดจากหอกโบราณนั้นจบลงแล้ว แต่ก็ไม่ทราบว่าเรื่องมันไปถึงคนภายนอกได้อย่างไร จนมีกำนันในพื้นที่แถวนั้นคนหนึ่ง (พ่อผมบอกให้ฟังทีหลังว่ากำนันคนนี้เล่นของเก่าเหมือนกัน แต่เป็นคนมีความโลภมาก อยากได้ของเก่าเพื่อขายเก็งกำไร) กำนันคนนี้พยายามสืบเสาะถามไถ่คนไปทั่วจนรู้จักพลทหารคนที่ขุดพบหอก และพยายามตามตื้อเพื่อจะรู้ให้ได้ว่าพลทหารนำหอกไปฝังไว้ที่ไหน แต่ตัวพลทหารเองได้เตือนกำนันคนนั้นแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้กองและครอบครัว รวมทั้งเรื่องจ่าทั้งสองคนด้วย แต่กำนันไม่สนใจ จะเอาหอกเล่มนั้นให้ได้ และสุดท้ายเรื่องเล่าของพ่อผมก็จบลงด้วยศพที่สามที่มีสาเหตุการตายจากอุบัติเหตุขับรถยนต์แหกโค้งตกเขา (พ่อบอกว่าเคยขับรถถังเกือบตกเขาที่โค้งนี้เหมือนกัน)
เรื่องเล่า "หอกโบราณ" ของพ่อผมก็จบลงเท่านี้ครับ หลังจากนั้นก็คุยกันเรื่องอื่นที่พ่อผมเคยเจอตอนฝึกอีกเพราะธรรมดาในป่ามักจะมีเรื่องเล่าหรือการพบเจออะไรแปลกๆ เยอะ แต่ผมจำรายละเอียดเรื่องหลังๆ ที่พ่อผมเล่าไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และไม่ประทับใจผมเท่ากับเรื่องหอกโบราณเรื่องนี้ ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ ยังไงก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ผมพยายามเรียบเรียงและตรวจทานการพิมพ์ตามนิสัยปกติของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว และนำเสนอเนื้อความทั้งหมดผ่านการเรียบเรียงแล้ว กระทู้นี้เป็นการลองตั้งครั้งแรกถ้ามีตรงไหนขาดตกบกพร่องไปก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ ขอบคุณครับ