ความสุขของการท่องเที่ยวยุคไร้ smart phone ใครจำทริปแรกๆของตัวเองได้มั่ง?

แฮ่ บทความดักแก่ค่ะ!! อยู่ๆก็อยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะวันก่อนมีเพื่อนที่เคยไปเรียนที่ต่างประเทศมาสิบปีไลน์มาถามว่าจะกลับไปเที่ยวประเทศนั้น ไปเที่ยวไหนดีให้แนะนำหน่อย งงเลยค่ะ ไปอยู่มาสิบปีต้องถามเราอีกเหรอเนี่ย Along the way ไม่น่าจะรู้ไปมากกว่าเค้านะ

มานั่งคิดๆดูถึงสาเหตุแล้ว อาจจะเป็นเพราะยุคก่อนนั้นการท่องเที่ยวยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวและค่อนข้างลำบากสินะ นี่เรากำลังพูดถึงยุคประมาณปี 2000 – 2009 กันนะคะ (แหม ไม่นานเท่าไหร่หรอกก็แค่ 16 ปีก่อนเท่านั้นเองงงงง) ถึงแม้ว่าจะได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก็อาจจะไม่ได้มีโอกาสออกเดินทางไปไกลๆมากนักเพราะเป็นสมัยที่อินเตอร์เนตเพิ่งเข้ามานี่เอง ข้อมูลต่างๆก็คงจะยังไม่ค่อยมีให้ค้นหาเท่าไหร่

** หมายเหตุรูปในกระทู้นี้คือรูปเมื่อปี 2006 สิบเอ็ดปีที่แล้ว  วิวจะเก่าๆหน่อยผู้เขียนจะผอมๆไปเยอะ 55**
** อ่านกระทู้ท่องเที่ยวอื่นๆของ AlongTheWayMoment ในพันทิปได้ที่ https://ppantip.com/profile/3814834 **

นี่รูปนักดนตรีในสวนที่ญี่ปุ่นตอนปี 2006

ยังจำได้ว่าตอนเพื่อนไปเรียนใหม่ๆเรายังต้องนั่งรถเมล์ไปส่งจดหมายหาเพื่อนที่ไปรษณีย์แถวๆโรงเรียนในวันที่เพื่อนผู้ชายไปเรียนร.ด.กันอยู่เลยอ่ะ เพิ่งจะมาได้ส่งอีเมล์หากันตอนเข้ามหาวิทยาลัย และต้องไปส่งที่ห้องคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยด้วยนะ เพราะแทบไม่มีใครมีคอมพิวเตอร์ใช้ที่บ้านเลยตอนนั้น จะไปไหนมาไหนเราโทรหากันที่เบอร์บ้านนะสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ก่อนขอคุยกับเพื่อนตลอด แล้วพอเริ่มมีคอมพิวเตอร์ที่บ้านถ้าโทรศัพท์ชนกับการต่ออินเตอร์เนตนี่ก็จะยุ่งยากมากๆ โอ้โห้ เขียนแล้วรู้สึกแก่ขึ้นมาทันทีเลยค่ะ สำหรับคนรุ่นเดียวกันคงพอจะระลึกความรู้สึกช่วงนั้นได้ สำหรับน้องๆเด็กที่อ่านก็ให้ลองจินตนาการตามดูนะคะว่ามันเป็นโลกแบบไหน 555

เกริ่นมาซะยาว วันนี้ก็อยากจะมาเล่าถึงความทรงจำของทริปท่องเที่ยวยุคไร้ smart phone ตอนปี 2006 ที่เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกค่ะ ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบและทำงานมาได้สองปี ทำทั้งงานในงานนอกเก็บหอมรอบริบจนได้เงินก้อน และก็มีความตั้งใจว่าอยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองสักครั้ง พอดีว่ามีเพื่อนเรียนโทอยู่นั่นสองคน ก็ตั้งใจจะไปพักกับเพื่อนและเที่ยวด้วยกันนี่แหละค่ะ ก็ถือเป็นการเดินทางคนเดียวครั้งแรกที่มีเป้แค่ใบเดียวในการเดินทาง มันเป็นทริปที่สนุกมากกกก ยังคงจำได้ติดตรึงถึงวันนี้

บอกพ่อแม่ญาติว่าจะไปญี่ปุ่นไปเองคนเดียวแบกเป้ไป เป็นที่ฮือฮาค่ะ ถ้าเดี๋ยวนี้มันปกติมากนะ เด็ก 13-14 ขวบก็เดินทางไปญี่ปุ่นเองได้แล้ว ตอนโน้นเค้าก็กังวลกันนิดหน่อยแต่ทางเราโอเคเค้าก็คงต้องโอเคด้วย

แผนการท่องเที่ยวคือไปแปดวัน ลางานห้าวัน จ.-ศ. ให้ติดเสาร์อาทิตย์หัวท้าย โดยจะเดินทางไปโตเกียวก่อนพักกับเพื่อนสักสามสี่วันให้เพื่อนพาเที่ยวโตเกียว แล้วนั่งชินคังเซนไปหาอีกคนที่อาโอโมริต่อจากตรงอาโอโมริก็นั่งเรือข้ามไปฮาโกดาเตะกันโดยฝากเพื่อนดูแลเรื่องว่าอยากไปไหนให้อีกที สรุปคือแทบไม่ต้องทำอะไรฝากเค้าวางแผน พักก็พักกับเค้า แผนแบบนี้ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ไม่ยากเลยนะคะ เข้าพันทิปหรือเวปต่างๆแค่แป๊ปเดียวก็น่าจะได้ข้อมูลคร่าวๆออกมาเยอะน่าดู

เนินที่ฮาโกดาเตะปี 2006

แต่ตอนนั้น สมัยที่ยังต้องยื่นขอวีซ่าไปเที่ยวญี่ปุ่นนะเออ! ต้องเอาจม.ที่เขียนมือส่งหาเพื่อนที่ญี่ปุ่น โปสการ์ดที่ทางนั้นส่งมาบ้าง แถมรูปตอนปัจฉิมไปยื่นเอกสารอ่ะ!! เค้าจะได้รู้ว่าเราไปเที่ยวนะไปหาเพื่อนสมัยมัธยมไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดี กว่าจะได้วีซ่ามา ไหนจะส่งอีเมลล์วางแผนการท่องเที่ยวกันอีก วันสองวันตอบเมลล์กันที 555 แผนก็จะเป็นแค่ว่าวันนี้ไปดิสนีย์แลนด์นะ แค่นี้จบไม่มีรายละเอียดอื่นใดมาสปอยด์ประสบการณ์หรือความคาดหวังเลยเพราะนี่ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะไปเจออะไรบ้าง กว่าจะตกลงวันเวลากันได้ว่าจะไปวันไหนกี่โมงนี่ก็นัดแนะกันเป็นอาทิตย์ค่ะ ตั๋วนี่ก็ยังจองออนไลน์ไม่ได้ ทั้งออฟฟิศที่ทำงานมีคอมพิวเตอร์ที่มีอินเตอร์เน็ตให้พนักงานใช้เครื่องเดียววางอยู่กลางออฟฟิศเพื่อไว้หาข้อมูลทำงาน ต้องฝากพี่ที่ทำงานเลขาที่เค้าคอยจองตั๋วเครื่องบินให้เจ้านายถามไปทางเอเจนซี่แล้วซื้อให้อีกที จะไปเอาอะไรกับข้อมูลของสถานที่ต่างๆหาแทบไม่มีเว้นหนังสือนำเที่ยว

จริงๆญี่ปุ่นเองเค้าก็คงมีอินเตอร์เน็ตที่พัฒนาเร็วกว่าไทยเราอยู่ แต่ส่วนใหญ่บล็อกต่างๆก็จะยังเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่ เด็กๆอายุต่ำกว่า 25 อ่านแล้วน่าจะงงๆนะคะว่าทำไมมันลำบากจัง แต่ตอนนั้นเราก็ไม่รู้สึกว่าลำบากหรืออะไรนะ มันก็เป็นปกติของทุกเรื่องที่ต้องรอหน่อยถึงจะได้มา ไม่มีอะไรได้มาเร็วๆหรอกค่ะ

มาถึงตอนจัดกระเป๋า อันนี้เป็นสิ่งที่คิดถึงที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวในสมัยก่อนคือของจะน้อยมากเพราะมันไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรไปเลย ไปญี่ปุ่นตอนหน้าร้อน เดือนกรกฎาคมปี 2007

สิ่งที่ใส่ไปคือ -เสื้อยืดหนึ่งตัว กางเกงยีนที่มีกระเป๋าซิป แจ็คเก็ตบาง รองเท้าผ้าใบและถุงเท้า เป้ jansport ไซส์ใหญ่หนึ่งใบ
สิ่งอื่นๆในเป้คือ -เสื้อยืดสองตัว กางเกงนอนหนึ่งตัว ถุงเท้าอีกสองคู่ สมุดจดบันทึกหนึ่งเล่ม แฟ้มใส่เอกสารต่างๆหนึ่งซอง กล้องดิจิตอลอันเล็กๆและที่ชาร์จแบต แปรงสีฟัน หมดแล้วค่ะ!! เราเคยไปเที่ยวด้วยของแค่นี้จริงๆหรือนี่ ช่างไม่น่าเชื่อ

ตอนนั้นเมื่อก่อนคนยังไม่ค่อยมีกล้องดิจิตอลกันหรอกค่ะ ยิ่งกล้อง dslr ดิจิตอลนี่อย่างแพง ไม่งั้นก็ต้องเอากล้องแล้วไปซื้อฟิลม์ถ่ายรูปเอา โน๊ตบุ๊คเป็นเรื่องไกลตัวมากเพราะแพงมากๆ แท็บเบล็ตนี่คือยังไม่เกิด(หรือเกิดแล้วแต่ไม่มีใครรู้จัก) มันก็แทบจะไม่เหลืออะไรให้เอาไปแล้ว แต่ๆๆๆ สมุดบันทึกนี่จำเป็นมากสำหรับทุกทริป เห็นใครไปไหนมาไหนต้องพกไว้จดบันทึกเรื่องราว รวมไปถึงชื่อสถานที่ เบอร์โทรติดต่อโรงแรม เบอร์โทรฉุกเฉิน ที่อยู่บ้านเพื่อนบ้านญาติ และอื่นๆอีกมากมาย มามองย้อนไปมันคลาสสิกดีนะคะ

ตามรูปทั้งตัวมีแค่นี้ หมวกในมือคือซื้อใหม่ชิ้นเดียวเพราะมันหนาวหัวกว่าที่คิด
ป.ล. เสื้อผ้าน้อยๆนี่คือซักทุกวันนะไม่เน่านะ พักแต่ละที่สามสี่วันก็ซักตากรายวัน ยกเว้นกางเกงนะ 55

ทุกวันนี้ ถ้าไปเที่ยวนี่เสื้อผ้าตามจำนวนวันมีเผื่อมีแถมไปอีก กระเป๋าเดินทางต้องใบขนาด 20 กิโลกรัมแน่นอน กล้อง mirrorless พร้อมเลนส์เปลี่ยนและอุปกรณ์เสริมมากมาย คอมพิวเตอร์ 15″ พร้อมที่ชาร์จ อุปกรณ์มือถือ power bank รองเท้าผ้าใบ รองเท้าแตะ หมวก แว่น ครีม สมุดบันทึก บางทีครึ้มก็เอาสีน้ำไปด้วย และอีกสารพัด อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมดแบกกันเข้าไป พอแก่แล้วมันก็จะเยอะๆหน่อยอย่างนี่แหละค่ะ นี่เพื่อนบางคนแทบจะเอาไดร์เป่าผมตื่นมาผมสลวย เอาหมอนไปเที่ยวด้วยจะได้นอนสบาย (อ๊ะๆพยักหน้าตามกันใหญ่นะรุ่นเรา 555)

เอาล่ะเดินทางไปถึงสนามบิน ก็ผ่านตม.ออกมาเรียบร้อย ทีนี้เพื่อนบอกจะมารับ (เพื่อนก็แสนดีเนอะ ดูแลตลอด) จะติดต่อกันอย่างไรดี ไม่มีมือถือนะจ๊ะ… นี่เลยหยิบสมุดจดออกมาพร้อมหาเบอร์มือถือของเพื่อน ต้องถามมาแล้วด้วยนะว่าถ้าอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้วต้องกดยังไงมี 1 หรือศุนย์นำหน้าไหม หาที่แลกเหรียญเพื่อหยอดเหรียญโทรตู้สาธารณะหาค่าาาา หูยยย เขียนแล้วมันดูแก่(เก๋)จริงๆ แต่ตอนนั้นมันก็ได้เท่านี้จริงๆแหละไม่มีหรอกไปหาซื้อซิมต่อเนตแล้วแชทกันเนี่ย โทรติดเข้ามือถือเพื่อนตกใจใหญ่ชมว่า เก่งมากๆเลยนะเนี่ยสามารถโทรหาเราที่ญี่ปุ่นได้ด้วย

ครั้งแรกที่เห็นคอสเพลย์ ตรงหน้าวัดเมจิตื่นเต้นมากกก ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน ซึ่งทุกวันนี้ไม่เห็นแล้วนะไม่รู้ไปอยู่ไหนกัน

ถึงจะพักกับเพื่อนแต่เพื่อนเองก็ต้องมีเรียนเราจึงได้ออกไปเที่ยวเล่นเอง อันนี้แหละตัวมั่วเลยแต่ก็สนุกดีนะ เดินไปไหนมาไหนก็ต้องหัดจำทาง ผ่านร้านนี้นะ รร.นี้นะ ไม่ได้มี google map ให้เปิดเตินตามเหมือนเดี๋ยวนี้นะ ไปยืนรอรถไฟเริ่มไม่แน่ใจว่าผิดฝั่งหรือเปล่าก็ต้องสะกิดคนญี่ปุ่นข้างๆถามว่า เอ… อันนี้ไปสถานีนี้ได้หรือเปล่า ไม่มีหรอกมาเปิดมือถือดู วิ่งไปมาอ่านแผนที่ตามป้ายบ้างอะไรบ้าง หัดสังเกตุลูกศรและสัญลักษณ์บอกทางต่างๆ ลองเดินเข้าร้านอาหารต่างๆด้วยสัญชาติญาณว่ามันน่าจะอร่อย จิ้มเมนูมั่วๆสั่งอาหาร นั่งรถไฟเปลี่ยนเมืองกันเจองานเทศกาลอะไรก็แวะไปดูไม่รุ้เรื่องหรอก มีเหตุการณ์และสิ่งต่างๆที่ไม่ได้อยู่ในแผนอันหลวมๆของเรางอกมาเยอะมาก ยิ่งกลับทำให้ตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก สนุกมากกก

คุณลุงในร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ไปเดินเล่นแล้วไปส่องดู อยากเห็นร้านที่คนที่นั่นกินแล้วเลยโดนชวนคุย รูปเบลอมากให้ป้าอีกคนในร้านถ่าย

มันดีนะ เป็นการเที่ยวที่เต็มตา เต็มความทรงจำจริงๆ มันเหมือนกับเวลาท่องเที่ยวแล้วเราเปิดโสตประสาททั้งห้าในการรับรู้อย่างเต็มที่ หลงบ้าง มีเรื่องตื่นเต้นบ้าง ให้ได้ใช้ทักษะการแก้ปัญหาและเอาตัวรอดจากการสื่อสารกับผู้คน

ตลาดแถวฮาโกดาเตะจำไม่ได้แล้วว่าอันไหน
เรือบรรทุกรถยนตร์ข้ามฝากไปฮาโกดาเตะ เราขึ้นอันนี้ไปกัน

ผู้เขียนเองเวลาไปเที่ยวปกติก็จะไม่ค่อยเที่ยวแบบมีอินเตอร์เนตสักเท่าไหร่ เพิ่งมีเมื่อปีที่ผ่านมานี่แหละที่ลองซื้อซิมใส่มือถือเวลาไปเที่ยวคนเดียง หรือ พก pocket wifi เอาไว้เปิดดูทาง ไว้แชท ไว้เก็บข้อมูล ไว้หาข้อมูลแล้วก็ใช้โพสต์สิ่งต่างๆลง social media มันก็ดีนะให้ประสบการณ์ที่ต่างออกไปแถมไม่ต้องเตรียมตัวเยอะด้วย ขึ้นรถแล้วค่อยกดดูว่าแถวนั้นมีอะไร หาร้านก็จิ้มได้เลย ระหว่างนั้นก็แชทกับเพื่อนและครอบครัวที่ไทยไปด้วย แต่ เอ…ทำไมเรารู้สึกแปลกๆนะ… เหมือนเรามองแต่เราไม่เห็น ได้ฟังแต่เราไม่ได้ยิน รู้ข้อมูลมากมายแต่ไม่รู้สึกตื่นเต้น… รู้สึกเหมือนได้มาเที่ยวแค่ตัว เวลาส่วนใหญ่ก้มอยู่กับหน้าจอ คอยดูคอมเมนท์ คอยดูไลค์ คอยดูเส้นทางที่ต้องเดิน เหมือนไม่ได้เห็นอะไรรอบๆตัวเลย

งานเทศกาลระหว่างทางที่บังเอิญไปเจอ
ปิดถนนทำไรไม่รู้ที่ Akiba (มั้ง?)
ร้านขายอาหารสไตล์เทศกาลที่หน้าวัด asakusa

ก็ไม่รู้ว่าประสบการณ์ของคนอื่นๆเป็นอย่างไรกันบ้างกับการท่องเที่ยวในยุคก่อนนะคะ หลายคนที่มาอ่านอาจจะเริ่มเที่ยวในยุคที่มี smart phone กันหมดแล้วก็ได้ หรือบางคนอาจจะเป็นวัยก่อนผู้เขียนไปอีกไม่มีอีเมลล์ด้วยซ้ำก็เป็นได้ คิดว่าแต่ละคนก็คงมีความทรงจำหรือประสบการณ์กับการท่องเที่ยวที่ต่างๆกันไป แต่ละยุคแต่ละสมัยก็มีความสนุกในแบบของมัน

แต่เอาเป็นอย่างนี้ละกัน อยากจะแนะนำว่า ถ้าอยากลองดึงความสนุกของการท่องเทียวในอีกรูปแบบนึงออกมา ได้ใช้เวลากับตัวเอง  มองเห็นผู้คนต่างถิ่น ได้ยินเสียงที่เค้าคุยกัน ตื่นเต้นกับการค้นเจอสิ่งใหม่ๆจากการสังเกตุ สื่อสารกับคนท้องถิ่นให้มากขึ้น แล้วก็หลงทางบ้างเป็นครั้งคราว ลองดูค่ะ ลองจัดทริปไปเที่ยวแบบไม่มีอินเตอร์เนตพกติดตัวดู แล้วคุณจะเหมือนได้เที่ยวประเทศนั้นๆใหม่อีกครั้งนึง…

ขอให้เที่ยวให้สนุกแล้วลองมาแชร์ประสบการณ์กันดูค่ะ หรือใครอยากแชร์ทริปในความทรงจำของตัวเองเมื่อสิบปีก่อนก็ได้นะคะ อิอิ

Along the way
August 2017
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่