มาต่อค่ะ หลังจากลงเรือแล้ว เราก็มาขึ้นเขากัน
สามารถติดตามภาคแรกได้นะคะ
https://ppantip.com/topic/36744198
วันที่ 14
หลังจากทานมื้อเช้าฟรี ที่โรงแรม Best Western Lake Lucille แล้ว ก็เริ่มขับรถต่อเลยค่ะ เพื่อไป Denali Park ใช้เวลาขับรถ ประมาณ 4 ชั่วโมง ไม่รวมแวะพักกลางทาง
จขกท แวะเที่ยวที่ Musk Ox Farm ก่อน เมื่อวานไม่ได้แวะ มัวแต่หลงทางอยู่ (การหลงทาง เป็นของคู่กันกับการเดินทาง)
Musk Ox Farm เป็นสถานที่เลี้ยง Musk Ox ซึ่งเป็นสัตว์ที่หลงเหลือมาตั้งแต่ยุค Ice Age (ตามที่เจ้าหน้าที่เค้าบอกมา) ค่าเข้า ผู้ใหญ่คนละ 11 USD จะมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นอาสาสมัครพาเดินทัวร์ไปรอบ ๆ ฟาร์ม พร้อมบรรยายเรื่องราวของฟาร์มและ ลักษณะและอุปนิสัยของ Musk Ox ที่เลี้ยงเอาไว้ มีร้านขายของที่ระลึก ซึ่งเป็นขนของ Musk Ox ที่เรียกว่า qiviut (kiv'-ee-ute) เค้าเคลมว่า ขนของสัตว์ชนิดนี้ให้ความอบอุ่นได้มากกว่าขนแกะ หรือ Alpaca อีก แต่ราคาก็แรงมากเช่นกัน ผู้เยี่ยมชมสามารถให้การสนับสนุนฟาร์ม โดยอุปการะลูก Musk Ox ที่เกิดในแต่ละปีได้ด้วยค่ะ
https://www.muskoxfarm.org/
มีแวะช๊อปปิ้ง ตามทางนิดหน่อย ที่ร้าน Alaska Wild Harvest ของขึ้นชื่อแถวนี้คือ Birch Syrup ซึ่งเป็นน้ำเลี้ยงจากท่อของต้น Birch ซึ่งเค้าเอาก๊อกต่อท่อน้ำจากต้นไม้ ลงถังกันเลย ซึ่งระหว่างทางก็จะเห็นต้น Birch ข้างทางเป็นระยะ ๆ จุดเด่นของเค้าก็คือ ลำต้นสีขาว ส่วนเรื่องรสชาติ แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลค่ะ
http://www.alaskabirchsyrup.com/
มี Ice Cream ขายด้วย ถ้วยละ 5 USD
ถึงแล้วค่ะ ที่พัก 2 คืนนี้ Denali Park Hotel จะอยู่แถว Healy ซึ่งห่างจากทางเข้า Denali Park ประมาณ 10 ไมล์ ทำให้ราคาค่าห้องลดลง จาก 229 USD หรือ 159 USD ใช้เวลาขับรถไปแค่ 15 นาทีก็ถึงทางเข้า Park แล้วค่ะ ซึ่งแถวที่พักจะไม่พลุกพล่าน ทำให้บางครั้ง จะมีกวางมากินหญ้าแถว ๆ ที่พักด้วย แต่ จขกท ไม่ได้เห็น
ถ้าจะมาพักที่นี่ แนะนำให้ขอห้องเป็นแถว C ใกล้แนวป่าเพราะจะอยู่ห่างจากถนนมากที่สุด ซึ่งจะมีโอกาสเห็นกวางมูสบริเวณหน้าที่พักได้เลยค่ะ แต่ถ้าใครไม่มีรถ แนะนำให้หาที่พักด้านหน้า ๆ ของ Denali Park จะสะดวกกว่าค่ะ เพราะจะมีรถ Shuttle Bus ของโรงแรมบริการจากที่พักเข้าไปที่ จุดขึ้นรถ Shuttle Bus ของ Park ค่ะ
www.denaliparkhotel.com/
ส่วนอาหารเย็นทานที่ Black Diamond Grill แถว ๆ ที่พักเลย ขับรถเลยที่พักเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร รสชาติเฉย ๆ ไม่สมกับ rating ที่ได้จาก trip advisor เลย แต่ จขกท ก็ยังสั่งอาหารกล่องกับทางร้านอยู่ และมารับตอนเช้า ก่อนเข้าไปใน Park ค่ะ ซึ่งถ้าผ่านจาก จุดขึ้นรถ Shuttle Bus ของ Park ไปแล้ว จะไม่มีอาหารและเครื่องดื่มขาย ดังนั้น นักท่องเที่ยวที่จะเข้าไป จะต้องเตรียมเสบียงของตัวเองให้พร้อมค่ะ หรือซื้อเสบียงได้ที่ร้านค้าบริเวณจุดให้บริการตั๋วค่ะ จะมีเป็นร้าน Convenience Store + ร้านขายของที่ระลึก มีแซนด์วิชเย็น หรือ Snack ให้เลือกซื้อ
วันที่ 15
จขกท จองตั๋ว shuttle bus ทาง online ไว้ล่วงหน้าแล้ว จองคิวรถเวลา 07.30 น. ไปถึง Eielson Visitor Center ใช้เวลาเดินทางไปกลับประมาณ 8 ชั่วโมง โดยเราจะต้องไปรับตั๋วที่ Wilderness Access Center (WAC) (
http://www.reservedenali.com/)
ระหว่างทางเดินจากลานจอดรถไปที่ counter รับตั๋ว ก็มีกวางมูส แม่กะลูกออกมากินใบไม้แถวนั้นด้วยค่ะ ตัวสูงกว่า จขกท อีก เห็นในระยะห่างไม่เกิน 5 เมตร แต่ด้วยความที่รีบมาก เลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เค้าเดินเข้ามาหาเราเองนะคะ ไม่ได้เข้าไปใกล้เค้าเลย สงสัยจะเป็น Reception ประจำ Park
ป้ายทางเข้า
ให้ขับรถเข้าไปตามป้ายที่บอกว่าไป Wilderness Access Center (WAC) จะมีที่ลานจอดรถใกล้ ๆ แถวนั้น จุดนี้เป็นจุดที่ซื้อตั๋วรถ shuttle bus หรือถ้าใครซื้อตั๋ว on-line มา ก็มาติดต่อที่ counter นี้เพื่อรับตั๋วจริงค่ะ สามารถมารับตั๋วก่อนวันเดินทางก็ได้ค่ะ จะได้ไม่เสียเวลาเข้าแถวตอนเช้า
เสร็จแล้วเดินไปด้านหลัง counter เพื่อต่อแถวขึ้นรถ shuttle bus ค่ะ ให้ต่อแถวตรงป้ายที่เราจะลงค่ะ
พอขึ้นไปบนรถแล้ว คนขับก็จะอธิบาย กฎ กติกา มารยาท ให้ผู้โดยสารฟัง ก่อนออกเดินทาง
พวกเราที่โดยสารรถคันนี้มาโชคดีมากค่ะ เราได้เจอหมีกริซลี่ ตัวเป็น ๆ ในธรรมชาติ เดินอยู่บนแม่น้ำแล้วลอดใต้สะพานที่รถจอดพอดี ภาพนี้เป็นภาพที่เราเห็นหมีมาแต่ไกล ๆ ตรงจุดที่เดิน เป็นแม่น้ำ แต่ทำไมไม่มีน้ำก็ไม่รู้
นอกจากนี้ ก็มีเจอสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งหมีแม่ลูกอ่อน ฝูงกวางคาริบูที่ยืนกินหญ้าหลายฝูง หมาจิ้งจอก ฯลฯ อีกมากมาย คนบนรถนี้ ตาดีสุด ๆ พอใครเจอสัตว์อะไร ก็บอกให้คนขับหยุดรถ แล้วถ่ายรูปกันค่ะ แต่ห้ามลงจากรถ อีกอย่างที่โชคดีมากก็คือ ผู้ร่วมทางมีน้ำใจให้กันมาก คนที่อยู่ใกล้หน้าต่าง เมื่อตัวเองดูพอแล้ว ก็จะแบ่งให้คนอื่นที่เข้าไปดูไม่ถึง ได้เข้าไปดูด้วย มารยาทดีมากค่ะ
ระหว่างทาง คนขับรถจะหยุดตามจุดต่าง ๆ ประมาณ 10 นาที เพื่อให้ผู้โดยสารลงไปเข้าห้องน้ำ หรือยืดแข้งยืดขา ชมวิว แต่จะจอดเพื่อให้พักทานอาหารกลางวันที่ Eielson Visitor Center ประมาณ 30 นาที ถ้าใครลงที่จุดนี้ แล้วอยากจะเดินเล่น Trekking ตามจุดต่าง ๆ ก็สามารถลงได้ แล้วค่อยจับรถ shuttle bus คันอื่นกลับไปที่ WAC
หมายเหตุ ห้องน้ำด้านใน Park ไม่มีน้ำนะคะ เป็นแบบส้วมหลุม ห้องน้ำแบบนี้จะมีทั่วไปตาม National Park ของอเมริกา หรือตามจุดที่น้ำประปาเข้าไม่ถึง เช่น ตามจุดพักรถระหว่างทาง แต่จะมี แอลกอฮอล์เจล ติดไว้ข้างฝา เพื่อเอาไว้ทำความสะอาดมือค่ะ ถ้าไปเข้าสาย ๆ สภาพจะไม่น่าดู แต่ไม่เข้าใจว่า ทำไมห้องน้ำที่ Eielson Visitor มีน้ำใช้ ทั้ง ๆ ที่อยู่สูง และไกลกว่าที่อื่น
เนื่องจากตอนที่ไปถึง Eielson Visitor มีฝนตกปรอย ๆ จขกท ขี้เกียจเดินสำรวจเส้นทาง เลยขึ้นรถคันเดิมกลับ แล้วไปลงที่ Sled Dog Demonstrations เพื่อดูสาธิตหมาลากเลื่อน และไปเล่นกะน้องหมาตัวโต ๆ ค่ะ
ได้เจอหมาลากเลื่อนบนหิมะแล้ว ลองมาดูหมาลากเลื่อนบนถนนบ้าง อันนี้เป็นอุปกรณ์ที่เค้าใช้ฝึกหมาลากเลื่อนเพื่อไปแข่งค่ะ
เสร็จแล้ว นั่งรถ Shuttle Bus กลับไปที่ WAC เพื่อไปที่จอดรถ รถ Shuttle Bus สีเขียวนี้ สามารถขึ้นลงคันไหนก็ได้ค่ะ ให้ไปรอที่ป้ายรถ แล้วโบกเอาเลยค่ะ ถ้ามีที่ว่าง เค้าก็จะจอดรับเรา จะขึ้นลงกี่ทีก็ได้ค่ะ
เย็นนี้ ทานข้าวเย็นที่ 49th State Brewing (
https://www.49statebrewing.com/ ) มี 2 สาขา ที่ Denali กับ Anchorage เป็นร้านที่พนักงานโรงแรมแนะนำมา ไม่ผิดหวังค่ะ ใครที่ชอบ Rib BBQ ขอแนะนำ
สายเบียร์สด มีให้เลือกไม่อั้น ไม่สามารถลงรูปได้นะคะ เดี๋ยวจะโดนข้อหา โฆษณาเหล้าเบียร์
วันที่ 16
เช้านี้ ไปแวะทานมื้อเช้าที่ Rose Café แถว Healy ตามที่พนักงานโรงแรม แนะนำอีกเหมือนเดิม เป็นร้านอาหารแบบครอบครัว ดีงามคร้า
คำขวัญเก๋ ๆ ของที่ร้าน
อันนี้เป็นหน้าร้านค่ะ
หลังจากเสร็จมื้อเช้า ก็ขับรถตรงจาก Denali ไป Anchorage เลยค่ะ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง (จขกท ขับช้าค่ะ) ระหว่างทางก็แวะช๊อปของฝากตามทาง โดยเฉพาะ ห้าง Fred Meyer รวมทั้งแวะซื้อ แก้ว Starbuck Alaska ด้วย แต่ถ้าต้องแวะที่ Seattle แนะนำให้ซื้อที่ Seattle จะถูกกว่า แต่ห้าง Target ที่ Seattle จะเล็กกว่า และของน้อยกว่า บางอย่างอาจจะไม่มี ถ้าไม่ติดเรื่องราคา ซื้อที่นี่เลยค่ะ ของเยอะมาก ที่จขกท แบกกลับมาก็มี Beef Jerky ยี่ห้อ Jack Links เหมากลับมาทุกรสชาติ ฝากเพื่อนสายเนื้อ ฟินมากค่ะ แล้วก็ M&M ค่ะ
พอใกล้เวลากลับ ก็ขับรถกลับไปคืนที่ สนามบิน ค่ะ สรุปค่าเช่ารถ 8 วัน เป็นเงิน 520 USD ค่าน้ำมันรถ 70 USD
สนามบิน Alaska เป็นสนามบินที่น่ารักมาก ของที่ขายในสนามบินจะบวกราคาประมาณ 15-20% จากราคาข้างนอก ถ้าใครจะซื้ออะไรเป็นของฝาก ก็ซื้อที่ข้างนอกให้เรียบร้อยเลยค่ะ เพราะในนี้ แพงงงง
วันที่ 17
Flight ของ จขกท ถึง SEATAC ตั้งแต่ ตี 5 พอ 6 โมงเช้า ก็ฝากกระเป๋าไว้ที่สนามบินเหมือนเดิม และแวะเข้าเมือง ไป Pike Place Market เพื่อซื้อของฝาก แก้ว Starbuck จากร้านแรกของโลกงัยคร้า
วันนี้คนเยอะกว่าเสาร์ที่แล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับต่อแถวยาว
เนื่องจากต้องบินอีกกว่า 24 ชั่วโมง จึงต้องอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่อง เมื่อวานก็ตะลอนทั้งวัน น้ำท่าก็ไม่ได้อาบ ก็ได้ใช้บริการที่เดิมค่ะ คือ Green Tortoise Hostel คิดค่าบริการคนละ 5 USD + ค่าผ้าขนหนูอีก 1 USD ตอนแรก พนักงานจะไม่อนุญาติให้เข้าไปอาบน้ำ จะให้เฉพาะลูกค้าที่มาพักเท่านั้น แต่จขกท เคย e-mail มาสอบถามล่วงหน้าแล้ว ทาง staff ที่ counter เลยยอมให้เข้าไปใช้บริการได้ ไม่งั้นแย่เลย ต้องซักแห้งตั้ง 2 วัน
เสร็จแล้วก็ขึ้นรถไฟกลับไปสนามบิน counter check-in ที่สนามบิน เปิดเป็นเวลานะคะ ถ้าไปถึงก่อน ก็ต่อแถวรอค่ะ เสร็จแล้วต้องไปผ่านเครื่อง scan ต่าง ๆ ต้องถอดรองเท้า เข็มขัด อื่น ๆ แม้กระทั่งผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกง ก็ต้องกางออกมาให้เจ้าหน้าที่ดูค่ะ เพื่อความปลอดภัย
[CR] ไปเที่ยวอลาสก้ากันมั๊ย ภาคต่อ
สามารถติดตามภาคแรกได้นะคะ
https://ppantip.com/topic/36744198
วันที่ 14
หลังจากทานมื้อเช้าฟรี ที่โรงแรม Best Western Lake Lucille แล้ว ก็เริ่มขับรถต่อเลยค่ะ เพื่อไป Denali Park ใช้เวลาขับรถ ประมาณ 4 ชั่วโมง ไม่รวมแวะพักกลางทาง
จขกท แวะเที่ยวที่ Musk Ox Farm ก่อน เมื่อวานไม่ได้แวะ มัวแต่หลงทางอยู่ (การหลงทาง เป็นของคู่กันกับการเดินทาง)
Musk Ox Farm เป็นสถานที่เลี้ยง Musk Ox ซึ่งเป็นสัตว์ที่หลงเหลือมาตั้งแต่ยุค Ice Age (ตามที่เจ้าหน้าที่เค้าบอกมา) ค่าเข้า ผู้ใหญ่คนละ 11 USD จะมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นอาสาสมัครพาเดินทัวร์ไปรอบ ๆ ฟาร์ม พร้อมบรรยายเรื่องราวของฟาร์มและ ลักษณะและอุปนิสัยของ Musk Ox ที่เลี้ยงเอาไว้ มีร้านขายของที่ระลึก ซึ่งเป็นขนของ Musk Ox ที่เรียกว่า qiviut (kiv'-ee-ute) เค้าเคลมว่า ขนของสัตว์ชนิดนี้ให้ความอบอุ่นได้มากกว่าขนแกะ หรือ Alpaca อีก แต่ราคาก็แรงมากเช่นกัน ผู้เยี่ยมชมสามารถให้การสนับสนุนฟาร์ม โดยอุปการะลูก Musk Ox ที่เกิดในแต่ละปีได้ด้วยค่ะ
https://www.muskoxfarm.org/
มีแวะช๊อปปิ้ง ตามทางนิดหน่อย ที่ร้าน Alaska Wild Harvest ของขึ้นชื่อแถวนี้คือ Birch Syrup ซึ่งเป็นน้ำเลี้ยงจากท่อของต้น Birch ซึ่งเค้าเอาก๊อกต่อท่อน้ำจากต้นไม้ ลงถังกันเลย ซึ่งระหว่างทางก็จะเห็นต้น Birch ข้างทางเป็นระยะ ๆ จุดเด่นของเค้าก็คือ ลำต้นสีขาว ส่วนเรื่องรสชาติ แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลค่ะ
http://www.alaskabirchsyrup.com/
มี Ice Cream ขายด้วย ถ้วยละ 5 USD
ถึงแล้วค่ะ ที่พัก 2 คืนนี้ Denali Park Hotel จะอยู่แถว Healy ซึ่งห่างจากทางเข้า Denali Park ประมาณ 10 ไมล์ ทำให้ราคาค่าห้องลดลง จาก 229 USD หรือ 159 USD ใช้เวลาขับรถไปแค่ 15 นาทีก็ถึงทางเข้า Park แล้วค่ะ ซึ่งแถวที่พักจะไม่พลุกพล่าน ทำให้บางครั้ง จะมีกวางมากินหญ้าแถว ๆ ที่พักด้วย แต่ จขกท ไม่ได้เห็น ถ้าจะมาพักที่นี่ แนะนำให้ขอห้องเป็นแถว C ใกล้แนวป่าเพราะจะอยู่ห่างจากถนนมากที่สุด ซึ่งจะมีโอกาสเห็นกวางมูสบริเวณหน้าที่พักได้เลยค่ะ แต่ถ้าใครไม่มีรถ แนะนำให้หาที่พักด้านหน้า ๆ ของ Denali Park จะสะดวกกว่าค่ะ เพราะจะมีรถ Shuttle Bus ของโรงแรมบริการจากที่พักเข้าไปที่ จุดขึ้นรถ Shuttle Bus ของ Park ค่ะ
www.denaliparkhotel.com/
ส่วนอาหารเย็นทานที่ Black Diamond Grill แถว ๆ ที่พักเลย ขับรถเลยที่พักเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร รสชาติเฉย ๆ ไม่สมกับ rating ที่ได้จาก trip advisor เลย แต่ จขกท ก็ยังสั่งอาหารกล่องกับทางร้านอยู่ และมารับตอนเช้า ก่อนเข้าไปใน Park ค่ะ ซึ่งถ้าผ่านจาก จุดขึ้นรถ Shuttle Bus ของ Park ไปแล้ว จะไม่มีอาหารและเครื่องดื่มขาย ดังนั้น นักท่องเที่ยวที่จะเข้าไป จะต้องเตรียมเสบียงของตัวเองให้พร้อมค่ะ หรือซื้อเสบียงได้ที่ร้านค้าบริเวณจุดให้บริการตั๋วค่ะ จะมีเป็นร้าน Convenience Store + ร้านขายของที่ระลึก มีแซนด์วิชเย็น หรือ Snack ให้เลือกซื้อ
วันที่ 15
จขกท จองตั๋ว shuttle bus ทาง online ไว้ล่วงหน้าแล้ว จองคิวรถเวลา 07.30 น. ไปถึง Eielson Visitor Center ใช้เวลาเดินทางไปกลับประมาณ 8 ชั่วโมง โดยเราจะต้องไปรับตั๋วที่ Wilderness Access Center (WAC) (http://www.reservedenali.com/)
ระหว่างทางเดินจากลานจอดรถไปที่ counter รับตั๋ว ก็มีกวางมูส แม่กะลูกออกมากินใบไม้แถวนั้นด้วยค่ะ ตัวสูงกว่า จขกท อีก เห็นในระยะห่างไม่เกิน 5 เมตร แต่ด้วยความที่รีบมาก เลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เค้าเดินเข้ามาหาเราเองนะคะ ไม่ได้เข้าไปใกล้เค้าเลย สงสัยจะเป็น Reception ประจำ Park
ป้ายทางเข้า
ให้ขับรถเข้าไปตามป้ายที่บอกว่าไป Wilderness Access Center (WAC) จะมีที่ลานจอดรถใกล้ ๆ แถวนั้น จุดนี้เป็นจุดที่ซื้อตั๋วรถ shuttle bus หรือถ้าใครซื้อตั๋ว on-line มา ก็มาติดต่อที่ counter นี้เพื่อรับตั๋วจริงค่ะ สามารถมารับตั๋วก่อนวันเดินทางก็ได้ค่ะ จะได้ไม่เสียเวลาเข้าแถวตอนเช้า
เสร็จแล้วเดินไปด้านหลัง counter เพื่อต่อแถวขึ้นรถ shuttle bus ค่ะ ให้ต่อแถวตรงป้ายที่เราจะลงค่ะ
พอขึ้นไปบนรถแล้ว คนขับก็จะอธิบาย กฎ กติกา มารยาท ให้ผู้โดยสารฟัง ก่อนออกเดินทาง
พวกเราที่โดยสารรถคันนี้มาโชคดีมากค่ะ เราได้เจอหมีกริซลี่ ตัวเป็น ๆ ในธรรมชาติ เดินอยู่บนแม่น้ำแล้วลอดใต้สะพานที่รถจอดพอดี ภาพนี้เป็นภาพที่เราเห็นหมีมาแต่ไกล ๆ ตรงจุดที่เดิน เป็นแม่น้ำ แต่ทำไมไม่มีน้ำก็ไม่รู้
นอกจากนี้ ก็มีเจอสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งหมีแม่ลูกอ่อน ฝูงกวางคาริบูที่ยืนกินหญ้าหลายฝูง หมาจิ้งจอก ฯลฯ อีกมากมาย คนบนรถนี้ ตาดีสุด ๆ พอใครเจอสัตว์อะไร ก็บอกให้คนขับหยุดรถ แล้วถ่ายรูปกันค่ะ แต่ห้ามลงจากรถ อีกอย่างที่โชคดีมากก็คือ ผู้ร่วมทางมีน้ำใจให้กันมาก คนที่อยู่ใกล้หน้าต่าง เมื่อตัวเองดูพอแล้ว ก็จะแบ่งให้คนอื่นที่เข้าไปดูไม่ถึง ได้เข้าไปดูด้วย มารยาทดีมากค่ะ
ระหว่างทาง คนขับรถจะหยุดตามจุดต่าง ๆ ประมาณ 10 นาที เพื่อให้ผู้โดยสารลงไปเข้าห้องน้ำ หรือยืดแข้งยืดขา ชมวิว แต่จะจอดเพื่อให้พักทานอาหารกลางวันที่ Eielson Visitor Center ประมาณ 30 นาที ถ้าใครลงที่จุดนี้ แล้วอยากจะเดินเล่น Trekking ตามจุดต่าง ๆ ก็สามารถลงได้ แล้วค่อยจับรถ shuttle bus คันอื่นกลับไปที่ WAC
หมายเหตุ ห้องน้ำด้านใน Park ไม่มีน้ำนะคะ เป็นแบบส้วมหลุม ห้องน้ำแบบนี้จะมีทั่วไปตาม National Park ของอเมริกา หรือตามจุดที่น้ำประปาเข้าไม่ถึง เช่น ตามจุดพักรถระหว่างทาง แต่จะมี แอลกอฮอล์เจล ติดไว้ข้างฝา เพื่อเอาไว้ทำความสะอาดมือค่ะ ถ้าไปเข้าสาย ๆ สภาพจะไม่น่าดู แต่ไม่เข้าใจว่า ทำไมห้องน้ำที่ Eielson Visitor มีน้ำใช้ ทั้ง ๆ ที่อยู่สูง และไกลกว่าที่อื่น
เนื่องจากตอนที่ไปถึง Eielson Visitor มีฝนตกปรอย ๆ จขกท ขี้เกียจเดินสำรวจเส้นทาง เลยขึ้นรถคันเดิมกลับ แล้วไปลงที่ Sled Dog Demonstrations เพื่อดูสาธิตหมาลากเลื่อน และไปเล่นกะน้องหมาตัวโต ๆ ค่ะ
ได้เจอหมาลากเลื่อนบนหิมะแล้ว ลองมาดูหมาลากเลื่อนบนถนนบ้าง อันนี้เป็นอุปกรณ์ที่เค้าใช้ฝึกหมาลากเลื่อนเพื่อไปแข่งค่ะ
เสร็จแล้ว นั่งรถ Shuttle Bus กลับไปที่ WAC เพื่อไปที่จอดรถ รถ Shuttle Bus สีเขียวนี้ สามารถขึ้นลงคันไหนก็ได้ค่ะ ให้ไปรอที่ป้ายรถ แล้วโบกเอาเลยค่ะ ถ้ามีที่ว่าง เค้าก็จะจอดรับเรา จะขึ้นลงกี่ทีก็ได้ค่ะ
เย็นนี้ ทานข้าวเย็นที่ 49th State Brewing (https://www.49statebrewing.com/ ) มี 2 สาขา ที่ Denali กับ Anchorage เป็นร้านที่พนักงานโรงแรมแนะนำมา ไม่ผิดหวังค่ะ ใครที่ชอบ Rib BBQ ขอแนะนำ
สายเบียร์สด มีให้เลือกไม่อั้น ไม่สามารถลงรูปได้นะคะ เดี๋ยวจะโดนข้อหา โฆษณาเหล้าเบียร์
วันที่ 16
เช้านี้ ไปแวะทานมื้อเช้าที่ Rose Café แถว Healy ตามที่พนักงานโรงแรม แนะนำอีกเหมือนเดิม เป็นร้านอาหารแบบครอบครัว ดีงามคร้า
คำขวัญเก๋ ๆ ของที่ร้าน
อันนี้เป็นหน้าร้านค่ะ
หลังจากเสร็จมื้อเช้า ก็ขับรถตรงจาก Denali ไป Anchorage เลยค่ะ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง (จขกท ขับช้าค่ะ) ระหว่างทางก็แวะช๊อปของฝากตามทาง โดยเฉพาะ ห้าง Fred Meyer รวมทั้งแวะซื้อ แก้ว Starbuck Alaska ด้วย แต่ถ้าต้องแวะที่ Seattle แนะนำให้ซื้อที่ Seattle จะถูกกว่า แต่ห้าง Target ที่ Seattle จะเล็กกว่า และของน้อยกว่า บางอย่างอาจจะไม่มี ถ้าไม่ติดเรื่องราคา ซื้อที่นี่เลยค่ะ ของเยอะมาก ที่จขกท แบกกลับมาก็มี Beef Jerky ยี่ห้อ Jack Links เหมากลับมาทุกรสชาติ ฝากเพื่อนสายเนื้อ ฟินมากค่ะ แล้วก็ M&M ค่ะ
พอใกล้เวลากลับ ก็ขับรถกลับไปคืนที่ สนามบิน ค่ะ สรุปค่าเช่ารถ 8 วัน เป็นเงิน 520 USD ค่าน้ำมันรถ 70 USD
สนามบิน Alaska เป็นสนามบินที่น่ารักมาก ของที่ขายในสนามบินจะบวกราคาประมาณ 15-20% จากราคาข้างนอก ถ้าใครจะซื้ออะไรเป็นของฝาก ก็ซื้อที่ข้างนอกให้เรียบร้อยเลยค่ะ เพราะในนี้ แพงงงง
วันที่ 17
Flight ของ จขกท ถึง SEATAC ตั้งแต่ ตี 5 พอ 6 โมงเช้า ก็ฝากกระเป๋าไว้ที่สนามบินเหมือนเดิม และแวะเข้าเมือง ไป Pike Place Market เพื่อซื้อของฝาก แก้ว Starbuck จากร้านแรกของโลกงัยคร้า
วันนี้คนเยอะกว่าเสาร์ที่แล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับต่อแถวยาว
เนื่องจากต้องบินอีกกว่า 24 ชั่วโมง จึงต้องอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่อง เมื่อวานก็ตะลอนทั้งวัน น้ำท่าก็ไม่ได้อาบ ก็ได้ใช้บริการที่เดิมค่ะ คือ Green Tortoise Hostel คิดค่าบริการคนละ 5 USD + ค่าผ้าขนหนูอีก 1 USD ตอนแรก พนักงานจะไม่อนุญาติให้เข้าไปอาบน้ำ จะให้เฉพาะลูกค้าที่มาพักเท่านั้น แต่จขกท เคย e-mail มาสอบถามล่วงหน้าแล้ว ทาง staff ที่ counter เลยยอมให้เข้าไปใช้บริการได้ ไม่งั้นแย่เลย ต้องซักแห้งตั้ง 2 วัน
เสร็จแล้วก็ขึ้นรถไฟกลับไปสนามบิน counter check-in ที่สนามบิน เปิดเป็นเวลานะคะ ถ้าไปถึงก่อน ก็ต่อแถวรอค่ะ เสร็จแล้วต้องไปผ่านเครื่อง scan ต่าง ๆ ต้องถอดรองเท้า เข็มขัด อื่น ๆ แม้กระทั่งผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกง ก็ต้องกางออกมาให้เจ้าหน้าที่ดูค่ะ เพื่อความปลอดภัย