[CR] ไปเที่ยวอลาสก้ากันมั๊ย

กระทู้รีวิว
จขกท เพิ่งจะเคย review บน pantip เป็นครั้งแรก ต้องขอขอบคุณทุก ๆ ท่าน ที่ให้ข้อมูลในการท่องเที่ยวแบบ backpacker มานาน และเห็นว่า ข้อมูลการท่องเที่ยวที่ Alaska ค่อนข้างมีน้อยค่ะ ส่วนข้อมูลการขอวีซ่า จะขอข้ามไปเลยนะคะ เพราะได้มานานมาก ขั้นตอนต่าง ๆ คงจะเปลี่ยนไปมากแล้ว

จขกท เดินทางช่วง วันที่ 9-18 มิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มเปิดฤดูการท่องเที่ยวของที่ Alaska พอดี การท่องเที่ยวครั้งนี้ เป็นการเดินทางทางรถ โดยนั่งเครื่องจาก Seattle ไปลงที่สนามบิน Anchorage Alaska แล้วเช่ารถขับไปทั่วๆ ค่ะ

Trip นี้จะใช้เวลาในการอยู่บนเครื่องบินประมาณ 24 ชั่วโมง ต่อเที่ยวค่ะ ไม่รวมเวลา transit ที่สนามบิน Dubai

เริ่มออกเดินทางกันเลยนะค้า

จขกท ใช้บริการของสายการบิน Emirates เส้นทาง BKK – Dubai – Seattle ส่วนเส้นทาง Seattle – Alaska ใช้สายการบิน Delta ค่ะ เส้นทางการบินไป Seattle จะอ้อมหน่อยค่ะ ถ้าบินไป transit ที่แถวญี่ปุ่น หรือ เกาหลี จะย่นระยะเวลาบินได้มาก แต่พอดีเจอค่าตั๋วถูกและเวลาที่ใช่ เลยจองกับ Emirates ค่ะ

เริ่มออกเดินทาง วันที่ 9 เครื่องออกเวลา 01.35 น. ถึงสนามบิน Dubai เวลา 04.45 น. ใช้เวลารอต่อเครื่องประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่งค่ะ ถึงสนามบิน SEATAC เวลา 12.55 น. ส่วนวันที่ไปถึง ยังเป็นวันที่ 9 เหมือนเดิม

ที่สนามบินนี้ ผู้โดยสารทุกคนจะต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และพิธีศุลกากรทุกคน ถ้าใครมี flight บินต่อ ก็ต้องไป check-in ใหม่ค่ะ ออกจากเครื่องมา ก็เจอ ตม. เลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่ได้อภิสิทธิ์ ลัดคิวผู้โดยสารท่านอื่นมาแล้ว เกือบ 50 คน (เจ้าหน้าที่เรียกผู้โดยสารที่ถือวีซ่า B1/B2 กับ ผู้โดยสารต่อเครื่อง ให้ไปต่อคิวที่ ตม. ก่อนค่ะ ส่วนที่เหลือ รอไป) ยังต้องใช้เวลาในการผ่าน ตม. อีก 1 ชั่วโมง ถ้าต้องมีการต่อเครื่อง ให้เผื่อเวลาไว้ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงนะคะ ไม่งั้นตกเครื่องแน่ อีกอย่าง เจ้าหน้าที่ ตม. พูดไทยพอได้ค่ะ เค้าบอกว่า มาเที่ยวเมืองไทยบ่อย และการที่รู้ภาษาไทย ทำให้การทำงานของเค้าง่ายขึ้น เพราะ ย่ากับปู่ (อันนี้เค้าพูดเป็นภาษาไทยนะคะ) พูดอังกฤษไม่ได้ จะได้เข้าใจคำสั่งของเค้า ดีงามค่ะ ต้อนรับนักท่องเที่ยวดี

หลังจากผ่าน ตม. มา จขกท ฝากกระเป๋าใบใหญ่ ไว้ที่สนามบิน เอาแต่เป้ใส่ของใช้จำเป็นไปเท่านั้น เพราะวันรุ่งขึ้นก็จะต้องกลับมาที่สนามบินนี้ใหม่ เพื่อบินไป Anchorage ค่ะ ค่าฝากกระเป๋าขนาด 24” ต่อใบคือ 10 USD + Tax 9.5% จากนั้น ก็นั่งรถไฟ Link Light Rail (https://www.soundtransit.org/Schedules/Link-light-rail) เข้าไปที่ในเมือง Seattle ค่ะ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ค่าโดยสารคนละ 3 USD สามารถซื้อตั๋วไปที่เครื่องอัตโนมัติ ถ้าใครไปกลับในวันเดียวกัน ก็สามารถเลือกซื้อแบบ round trip ได้ค่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาต่อคิวซื้อใหม่ พอได้ตั๋วเสร็จ ก็เดินขึ้นชานชลาได้เลยค่ะ ไม่มีเครื่องตรวจตั๋ว หรือ ประตูกั้น ไว้ใจกันสุด ๆ แต่ถ้ามีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วแล้วไม่มีให้ตรวจ จะโดนปรับหนักมากค่ะ

คืนนี้ จขกท พักที่ Green Tortoise Hostel ค่ะ (www.greentortoise.com) เป็นห้องนอนรวม 6 เตียง ราคาเตียงละ 45 USD + ค่าผ้าขนหนูอีกผืนละ 3 USD Hostel นี้ อยู่กลางตลาด Pike Place เลยค่ะ สามารถเดินชมตลาด ได้ถึง 6 โมงเย็น แวะชิมแวะชอป ตามใจชอบ และยังไปเดินเล่นแถวท่าเรือได้ค่ะ Location ดีมาก แถมราคาถูก ซึ่งที่พักในตัวเมือง Seattle ราคาแพงมาก ห้องน้ำก็เป็นแบบห้องอาบน้ำกับห้องส้วมในตัว แต่ข้อเสียคือ เป็น Hostel ซึ่งจะไม่มีความเป็นส่วนตัว (ที่นี่เค้ามีแบบห้อง Private ด้วยค่ะ แต่จองไม่ทัน) และกลางคืนเสียงจะดังมาก เป็นเสียงรถเก็บขยะแถว ๆ ตลาด และคนที่มาเที่ยวกลางคืนแถวนี้ แต่ถ้าใช้ ear plug ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาค่ะ พอดีเรานอนแค่คืนเดียว แถมยังต้องออกแต่เช้า เลยไม่คิดมาก หุหุหุ


วันที่ 10
จขกท check-out ตั้งแต่ 7 โมงเช้า เลยได้แวะ Starbuck ร้านแรกของโลก ซึ่งวันที่มาถึง ไม่สามารถเข้าถึงด้านในร้านได้ เพราะคนต่อแถวยาวมาก แต่วันนี้ เราเป็นลูกค้าคนเดียวของร้าน เดินถ่ายในร้าน หน้าร้าน สบายใจคร้า ที่ Hostel มีอาหารเช้าให้ด้วย แต่ทานไม่ทันแล้ว ต้องนั่งรถไฟกลับไปที่สนามบิน SEATAC ใหม่ เพื่อต่อเครื่องไป Anchorage การเดินทางที่แท้จริง เพิ่งจะเริ่มขึ้นตรงนี้เอง


ถึงสนามบิน Anchorage เวลาเที่ยงครึ่ง ก็ไปรับรถเช่าที่ Hertz จากอาคารผู้โดยสารจะมีทางเดินเชื่อมไปที่อาคารรถเช่า ให้เดินตามป้ายไปได้เลยค่ะ ไม่มีหลง จขกท เช่ารถ sub-compact เลยได้ Toyota Yaris มา ด้านหลังใส่กระเป๋าเดินทาง ขนาด 24” ได้แค่ใบเดียว อีกใบเลยวางไว้ที่เบาะหลังแทนค่ะ พอได้รถปุ๊บ ก็เปิด Google Map เลยค่ะ เราซื้อ Sim to Fly ของ AIS ไปตั้งแต่เมืองไทย ตอนแรกก็จะซื้อ Sim ของ AT&T Go Plan แต่เช็คกับเจ้าหน้าที่ (chat on line) หลายรอบแล้ว ปรากฎว่า IMEI ของมือถือเรา ทั้ง Sony Xperia กับ Samsung S7 ไม่สามารถใช้กับ Sim ของเค้าได้เลย ก็เลยกลับมาซบอก AIS แทน ซึ่งใช้ได้ดีเลยค่ะ ขอชมเชย (เราสาวก DTAC)

สถานที่ท่องเที่ยวแรกคือ Anchorage Market and Festival รวม ๆ ก็คือตลาดนัดของที่นั่นอ่ะค่ะ จะเปิดตลาดเฉพาะวันเสาร์กับอาทิตย์ ช่วงปลายเดือน พฤษภาคม ถืง กันยายน จะมีของท้องถิ่นมาตั้ง booth ขาย รวมทั้งอาหารการกิน ซึ่งเราก็เลยทานข้าวกลางวันที่นี่เลย ถือเป็นมื้อแรก ใน Alaska ราคาอาหารแรงได้ใจเลย แต่ที่นี่คือ Alaska ชั้นก็แพงของชั้นอย่างเนี้ยะแหละ ก็ปีนึงชั้นขายของได้แค่ 4 เดือน ก็ต้องตุนกันหน่อยละคร้า ใครมาเที่ยวก็ต้องทำใจหน่อยนะคร้า เรื่องค่าอาหาร กับค่าที่พัก


หลังจากเดินเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับเรา ก็ขับรถต่อไป Girdwood ซึ่งเป็นที่พักของเราคืนนี้ เพราะวันรุ่งขึ้น เราจะไปดูหมากันค่ะ ที่พักคืนนี้ Ski Inn เป็นเหมือน B&B ราคาสูงเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับ Alyaska Resort เลยถูกไปเลย


ส่วนมื้อเย็นวันนี้ ต้องไปลองร้านท้องถิ่นค่ะ เป็นร้านแนะนำใน Trip Advisor – Double Musky Inn อย่างที่บอก ราคาแรง แต่ปริมาณก็หนักมากเหมือนกัน มองไปที่โต๊ะข้าง ๆ กัน ไม่มีใครกินกันหมดเลย แต่เค้าจะให้กล่องกระดาษมาคนละใบ ให้ใส่อาหารเหลือกลับบ้านกันเองค่ะ ราคาอาหารที่ว่าแรง ยังไม่เท่ากับค่า Tip ที่สหรัฐฯ ถ้าทานอาหารที่ร้านอาหาร การให้ Tip เป็นสิ่งที่ต้องทำเลย ถ้าการให้บริการหรืออาหารไม่ได้แย่ พนักงานจะคอยเดินมาถามว่า อาหาร OK มั๊ย คุณได้สิ่งที่สั่งไว้ครบแล้วยัง มีอะไรจะให้บริการอีกมั๊ย บลาบลาบลา ถ้าคุณพยักหน้าเห็นดีเห็นงามกับเค้าทุกอย่าง ก็ต้องให้ Tip เค้าละค่ะ ถ้าคุณพอใจ ก็ให้ 17-20% หรือจะมากกว่านั้นก็ได้ บริกรเค้าไม่บ่น แต่ถ้าให้น้อยกว่า 10% หรือไม่ให้เลย เค้าก็อาจจะเดินมาทวง Tip กับคุณก็ได้ค่ะ

อาหารมื้อนี้ จขกท เลือกเป็นปลา Halibut  กับ กุ้งอบชีส ตบท้ายด้วยของหวาน รสชาติของกุ้งอบชีส อร่อยมากกก  ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นสายชีส มื้อนี้หมดไป 80 USD รวมทิปค่ะ สบายใจ เดินกลับโรงแรมไปนอน


ที่ Alaska ช่วงนี้พระอาทิตย์ตก เวลา 23.00 น. และขึ้นเวลา 04.00 น. อากาศเย็น มีฝนตกปรอย ๆ (Shower) ตลอดเวลา  ถ้าใครนอนตอนฟ้าสว่างไม่ได้ แนะนำให้เอาผ้าปิดตาไปด้วยค่ะ เพราะแสงมันจะแยงตาตลอด ต่อให้ปิดผ้าม่านแล้ว มันก็จะดูสว่าง ๆ อยู่

วันที่ 11
ตอนเช้า ทานอาหารเช้าที่ห้องโถงกลาง เสร็จแล้ว check-out เตรียมตัวไปดูน้องหมากันค่ะ ใช้บริการของ Alpine Air Alaska (http://www.alpineairalaska.com) ราคาสามารถตรวจสอบดูที่หน้า Web ค่ะ เค้ามีรถมารับที่ที่พักให้ด้วย
ไปถึงฝนยังตกปรอย ๆ อยู่ แต่ที่เค้าโฆษณาเอาไว้ ต่อให้ฝนตก เราก็ยังให้บริการได้อยู่

ก่อนจะไปเล่นกะน้องหมา เราต้องไปแต่งตัวเพิ่มก่อนค่ะ เพราะน้องหมาอยู่บนที่สูง และหนาวมาก ใช่ค่ะ เราจะขึ้น ฮ. ไปเล่นกะน้องหมาลากเลื่อน บนภูเขาน้ำแข็งกันค่ะ เจ้าหน้าที่จะให้ใส่ชุดกันฝน ทั้งเสื้อ กางเกง และรองเท้าค่ะ สวมทับชุดของเราไปเลย จากนั้น จะอธิบายวิธีการขึ้นลง ฮ. รวมถึงข้อปฏิบัติ เพื่อความปลอดภัย จขกท ได้นั่งหน้า เลยได้ถ่ายรูปวิวสวย ๆ จากที่สูงมาได้


เห็น camp น้องหมากันแล้วค่ะ แต่ฝนก็ยังตกอยู่ ดูเหมือนจะตกหนักกว่าด้านล่างด้วยซ้ำ กล้องมือถือชื้นเลยค่ะ ต้องใช้กล้อง compact ธรรมดาแทน เดี๋ยวมือถือพัง



อากาศไม่ดีมาก ๆ เลย ฝนสาดเข้าหน้าตลอดเวลา เค้าจะให้เล่นกับลูกหมาตัวเล็ก ๆ ด้วยค่ะ แต่เล่นได้ไม่นาน เพราะต้องเอาลูกหมาออกมาตากฝน กลัวมันตาย รีบเล่นรีบคืน เสร็จแล้ว ก็ถืงคิวเรา ไปนั่งเลื่อน ให้น้องหมาทั้งหลายลากมั่ง

ตอนที่เจ้าหน้าที่เค้าคัดน้องหมามาเทียมเลื่อน ตัวอื่น ๆ ที่ไม่ได้โดนคัดเลือก จะเห่า แล้วก็กระโดดกันไปมา เหมือนกับบอกว่า เลือกชั้นสิ เลือกชั้น แต่พอเลื่อนลากออกไปเท่านั้น เงียบกริบเลย

เจ้าหน้าที่จะพานั่งเลื่อนไปรอบ ๆ เขาที่เค้าปักหมุดเอาไว้แล้ว และจะหยุดพักให้ถ่ายรูป 2 ครั้ง เลื่อนตัวนึง บรรทุกผู้โดยสารได้ 2 คน คนนึงนั่งข้างหน้า อีกคนยืนข้างหลัง เจ้าหน้าที่จะยืนตรงกลางเพื่อบังคับน้องหมา พอถึงจุดพัก ผู้โดยสารก็สามารถเปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งกันได้ ซึ่ง จขกท ก็ลองทั้ง 2 แบบเลย ซึ่งคนที่นั่งหน้า จะโดนน้ำฝน กับโดนน้ำแข็งบนพื้นที่น้องหมาตะกุยตอนวิ่ง สาดเข้าหน้าพอดี ไม่รวมลมเย็นยะเยือกที่พัดเข้ามาอีก มันหนาวมากค่ะ แต่ก็สนุกมาก ๆ เหมือนกัน


ที่สถานี จะมี Tent รับรองลูกค้า ซึ่งในนั้นก็จะมีเครื่องดื่มร้อน ๆ รวมทั้ง Heater ให้ความร้อนและทำให้ตัวแห้งด้วย เราต้องทำให้ตัวแห้งที่สุด เพื่อป้องกันอาการป่วยที่เกิดจากความหนาว และไม่ไปทำให้ ฮ.เลอะ ตอนขากลับด้วย
พอเสร็จ ก็นั่ง ฮ. กลับลงมาเหมือนเดิม ใช้เวลาไปทั้งสิ้นประมาณ 2 ชั่วโมง สนุกมากค่ะ แต่ไม่มีรูปสวย ๆ เลย เพราะถ่ายไม่ได้เลย

ลงมาทานข้าวกลางวันแถวที่พัก ร้านที่อยู่ตรงข้ามที่พัก ไม่อร่อย ขอไม่ Review นะคะ แล้วขับรถไป Seward ระหว่างทางก็แวะ Alaska Wildlife Center ค่าเข้าคนละ 15 USD  ที่นี่เป็นเหมือนสวนสัตว์ที่ให้ความช่วยเหลือสัตว์ที่เจ็บป่วยด้วย ที่เค้า Review ไว้ใน Trip Advisor บอกว่า ถ้าอยากจะเห็นสัตว์ป่า หรือ หมี ในธรรมชาติ จะยากมาก ให้มาดูที่นี่แทน เลยจัดไปค่ะ มาดูหมีกัน ทั้งหมีดำ หมีน้ำตาล ดูกันให้หนำใจไปเลย


เสร็จจากดูหมี ก็ขับต่อไปถึง Seward แล้ว เช็คอินที่โรงแรม Breeze Inn Motel (www.breezeinn.com)
เป็นที่พักที่อยู่ตรงข้ามกับท่าเรือเลย ทุกห้องจะได้เห็นวิวท่าเรือหมด ยกเว้นห้องด้านล่างที่ติดกับลานจอดรถ และห้องด้านบนที่โดนตึก หรือเสาบัง  ซึ่งเป็นห้องที่ จขกท พักพอดี จขกท พักที่นี่ 2 คืน เพราะวันรุ่งขึ้น จะไปลงเรือชมปลาวาฬ กับ ธารน้ำแข็ง (Glacier) กันค่ะ
ที่พักที่นี่ สะดวกสบายพอสมควร มีร้านอาหารอยู่ใกล้ ๆ ทั้งแบบ Restaurant แล้วก็ Subway ให้เลือกรับประทานกันค่ะ


เดี๋ยววันพรุ่งนี้ เราไปลงเรือกันค่ะ
ชื่อสินค้า:   ขับรถเที่ยวอลาสก้า
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่