เรื่องขนหัวลุกในการเข้าค่ายของนักเรียน(ม.6)ที่มีจุดจบแบบไม่คาดคิด

ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะผ่านมากว่า 28 ปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยลืมครับ
เพราะตัวผมอยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้นด้วย

เรื่องนี้เกิดขึ้นในเดือนมกราคมปี 2532, ในจังหวัดเชียงใหม่
ตอนนั้นผมกำลังเรียนอยู่ ม.6 กำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัวสอบโควต้าของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่
(ไม่ต้องบอกชื่อก็คงจะเดากันออกว่าเป็นมหาวิทยาลัยไหน)
ทางโรงเรียนของผมเค้าจึงจัดค่ายวิชาการ ให้นักเรียน ม.6 จำนวนประมาณหนึ่งร้อยคน ได้ไปเข้าค่าย
เพื่อติวสอบกันเป็นเวลา2สัปดาห์ โดยไปเข้าค่ายในพื้นที่ของคณะเกษตรศาสตร์ ที่อยู่แถวๆแม่เหียะ
(ทางไปพระธาตุดอยคำที่มีหลวงพ่อทันใจ)ซึ่งสมัย 28 ปีที่แล้ว พื้นที่บริเวณนั้นเงียบและเปลี่ยวพอสมควร
ตอนกลางวัน ก็จะมีอาจารย์มาติวให้ ตอนกลางคืนก็จับกลุ่มกันเรียนบ้าง นั่งเล่นคุยกันบ้างตามอัธยาศัย

เรื่องมาเกิดขึ้นในคืนท้ายๆของการเข้าค่าย  เหตุเกิดตอนประมาณสามทุ่มกว่า
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น จึงมีภาพประกอบตามข้างล่าง
เพื่อนผมซึ่งเป็นกระเทยสองคน เดินกลับจากเรือนพักนักเรียนหญิงหลังจากไปติวหนังสือ
กับพวกนักเรียนหญิงเสร็จ (ถึงแม้จะเป็นเพศที่สาม แต่ก็ต้องพักที่เรือนพักนักเรียนชาย
เพราะยังมีงวงช้างอยู่) ทางเดินระหว่างเรือนพักนร.ชายกับนร.หญิง มืดและเปลี่ยวมาก
เพราะสองข้างทางเป็นป่าละเมาะกับอ่างเก็บน้ำ ไฟถนนก็ไม่มี ระยะทางก็ประมาณครึ่งกิโลได้

ระหว่างที่เพื่อนกระเทยทั้งสองคนกำลังเดินมาจนเหลืออีกแค่ประมาณร้อยเมตรจะถึงเรือนพักนร.ชายนั้น
ก็ได้เห็นเงาดำๆของคนๆหนึ่งเดินสวนมา ซึ่งตอนนั้นเค้าสองคนก็ไม่คิดอะไร ก็คิดว่าคงเป็นเพื่อนกันนี่แหล่ะ
พอเดินสวนเข้าไปใกล้ๆ เพื่อนกระเทยก็ส่งเสียงทักทายไป ใครน่ะ จะไปไหนเหรอ?....
ปรากฎว่าเงาดำๆนั้น ไม่มีปฏิกริยาใดๆตอบรับ เพื่อนผมก็ทักไปอีก ก็ได้ผลเหมือนเดิม ไม่มีเสียงตอบรับ
หรือปฏิกริยาใดๆ พอเดินสวนกันเข้าไปใกล้ๆนั่นแหล่ะครับ สิ่งที่เพื่อนผมสองคนเห็นก็คือ เจ้าของเงานั้น ดำทั้งตัว
มีแต่ลูกตาขาวๆ ไม่มีใบหน้า ไม่มีจมูก ไม่มีปาก ครงลำคอก็ย่นๆย้วยๆ เดินเนิบๆ ไม่มีปฏิกริยาใดๆต่อสิ่งรอบข้างใดๆ
อธิบายด้วยตัวอักษรอาจจะไม่เห็นภาพ เลยเส็ตช์ภาพจากคำบอกเล่าของเพื่อนมาให้ดู...

เท่านั้นแหล่ะครับ เพื่อนกระเทยทั้งสองคนก็วิ่ง4x100 แบบวิ่งไปแหกปากไป ร้องโวยวายไป
" จ้วยฮาโตยยยย (ช่วยKu ด้วยยย) ผีหลอกฮาโว้ยยย ผีหลอกกก" (ฮา = Ku ในคำเมือง)
ตอนนั้นพวกผมกับเพื่อนๆอีกประมาณ 7-8 คนกำลังนอนเล่นอยู่ในเรือนพักหมายเลข 2 (ตามภาพประกอบข้างบน)
คือสองคนนั้นร้องดังมาก ได้ยินเสียงมาแต่ไกล จนสองคนนั้นวิ่งพรวดเข้ามาในเรือนพักที่พวกผมอยู่กันด้วยสีหน้าแบบ
ซีดและเหวอมาก ผมตั้งกันมาเลย พวกผมก็เลยบอกว่าเฮ้ย ใจเย็นๆ ค่อยๆเล่า ว่าเจออะไรมา

พอได้ฟังเรื่องราวเสร็จ ด้วยความที่ยังอยู่ในวัยคึกคะนองและเห็นว่าอยู่กันหลายคน เพื่อนผมคนหนึ่งมันก็โพล่งออกมาว่า
ป่ะ ! เฮามีกันตั้งหลายTeen(บาทา)  ห้อยพระกันก็หลายคน หมู่เฮาไปกระทืบผีกันเถอะ บังอาจมาหลอกเพื่อนเฮา
ตอนนั้นเพื่อนๆกับผมก็อึ้งกันไปพักหนึ่ง แต่ถ้าจะปฏิเสธก็จะถูกหาว่าป๊อดได้ ก็เลยเอาวะ เอาไงเอากัน อยากเห็นผีแบบจะๆ
เหมือนกัน ถ้าได้กระทืบผีสักครั้งคงจะเป็นวีรกรรมที่เอาไว้ไปคุยให้ลูกหลานฟังได้ ว่าแล้วพวกเราทั้งหมดก็วิ่งออกไปที่ถนน
เพื่อตามไปกระทืบผีตนนั้น แต่...เราก็ไม่เจอเงาดำๆที่ว่าเลย วิ่งไปจนไปเจอกับเพื่อนอีกกลุ่มที่เพิ่งเดินกลับมาจากเรือนพัก
นร.หญิง เราก็ถามเพื่อนกลุ่มนั้นว่า เห็นใครเดินสวนไปไม๊? ซึ่งเพื่อนกลุ่มนั้นก็ยืนยันว่าไม่เห็นมีใครเลย

เท่านั้นแหล่ะครับ ข่าวการเจอผีคอย่นไร้หน้าก็แพร่กระจายกันไปในหมู่เพื่อนอย่างรวดเร็ว
เพื่อนกระเทยสองคนนั่น อาการคล้ายเหมือนคนไข้ขึ้น นอนผวา ต้องหาพระมาคล้องคอให้นอน
เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวผีคอย่นไร้หน้าก็ทำให้เพื่อนนักเรียนไม่มีสมาธิที่จะเรียนกันทีเดียว บางคนก็บอกว่า
ไม่ไหวละ จะขอให้พ่อแม่มารับกลับแล้ว จะไม่อยู่แล้ว

ในขณะที่กำลังจับกลุ่มคุยกันเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนด้วยความขวัญผวาอยู่นั้น
จู่ๆเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งปกติก็เป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูด ก็ออกมาพูดต่อหน้าเพื่อนทุกคนว่า
เอ่อ....ไอ้ผีที่ว่าเมื่อคืนน่ะ Ku ว่ามันคงจะไม่ใช่ผีหรอก (บรรยากาศตอนนั้นเหมือนกับโคนันออกมาเฉลยปริศนาทุกอย่างเป๊ะเลย)
ไอ้ผีที่พวกแกพูดถึงกันน่ะ คงจะหมายถึง Ku นี่แหล่ะ ว่าแล้วมันก็ออกมาเล่าเหตุการณ์และเฉลยปริศนาทีละข้อ
- ที่ว่าเป็นเงาดำๆทั้งตัว ก็เพราะตอนนั้น Ku ใส่กางเกงนอนสีดำ เสื้อกันหนาวแขนยาวสีดำ
- ที่ว่าเพื่อนกระเทยทักแล้ว Ku ไม่ตอบนั้น ก็เพราะว่าตอนนั้น ku เดินฟังซาวด์เบาท์อยู่(เด็กสมัยใหม่อาจจะไม่รู้จักซาวด์เบาท์
  มันคือเครื่องเล่นเทปเพลงแบบพกพาที่ฮิตมากในสมัยนั้น) Ku ก็เลยไม่ได้ยินที่สองคนนั้นทักมา อีกอย่างกำลังฟังเพลงเพลินๆ
   เลยได้สนใจอะไร
- ที่ว่ามีแต่ลูกตา ไม่มีปากไม่มีจมูกและมีคอย้วยๆย่นนั้นๆ ก็เพราะตอนนั้น Ku ใส่หมวกไอ้โม่งสีดำ ก็มันหนาว เลยใส่หมวกปิดปาก
  ปิดจมูกด้วย เลยโผล่แต่ลูกตา
- ที่ว่าพอพวกผมวิ่งตามออกมา แล้วเพื่อนกลุ่มที่เดินสวนทางมาไม่เจอ Ku นั้น ก็เพราะว่า พอ Ku เดินมาเจอเพื่อนกระเทยสองคนนั่น
  และเห็นมันวิ่งไปทางเรือนพัก Ku ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมเอาชีตข้อสอบมาด้วย ก็เลยวกกลับเดินไปที่เรือนพัก(เพื่อนคนนี้อยู่เรือนพักหมายเลข1
  ในขณะที่พวกผมอยู่เรือนพักหมายเลข2)

พอเพื่อนคนนี้เฉลยปริศนาทุกอย่างแล้ว ก็เลยโดนเพื่อนกระเทยสองคนซัดไปคนละผวัะสองผวัะ ข้อหาทำให้นอนหวาดผวาเกือบจับไข้

สรุปแล้ว เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องสยองขวัญบางเรื่องบางเหตุการณ์ มันอาจจะมาเพราะความบังเอิญหลายๆอย่างประจวบเหมาะกันก็ได้
การมีสติในการพิจารณาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่