ทำไมคนรุ่นเก่าส่วนใหญ่เรียนน้อย แต่เป็นเจ้าของกิจการได้...คนรุ่นใหม่เรียนจบสูง แต่เป็นได้แค่ลูกจ้างกินเงินเดือน

แค่รู้สึกอายุมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นฐาน เลยเริ่มจิตตก ท้อแท้ และเบื่อ เลยคิดเรื่อยเปื่อย

ตอนเด็กๆเคยวาดฝันไว้ว่า เรียนจบทำงานเป็นสาวออฟฟิส กินเงินเดือน ไม่ต้องลงทุน ภาระความรับผิดชอบน่าจะไม่เยอะเท่าคนเป็นเจ้าของกิจการ น่าจะสบาย แต่พอเวลานั้นมาถึง ได้มาเผชิญกับตัวเองจริงๆ

.....โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ใช่ มันช่างโหดร้าย รู้สึกเบื่อ อึดอัดตลอดเวลา ไม่มีอิสระ ต้องเข้างานให้ตรงเวลา กลับตรงเวลาก็ไม่ได้(โดนเพ่งเล็ง โดนเหน็บแหนม) บางครั้งก็รู้สึกเหมือนโดนกดขี่ ต้องคอยตามใจคนอื่น หลายครั้งต้องยอมทำในสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกตัวเอง เช่น ต้องฝืนยิ้ม ฝืนคุยดีกับคนที่ร้ายใส่เรา ต้องอดทนเรื่องงานและคนสูงมาก เพื่อแลกกับค่าจ้างอันน้อยนิด....แรกๆก็อดทนทำไป อดทนจนจิตตก เสียสุขภาพจิตก็มานั่งคิด ทำไมเราต้องทนอะไรขนาดนี้

หลายครั้งมานั่งคิดเล่นๆว่า เรานี่เป็นคนที่ใช้ไม่ได้เลย
เรียนจบสูงซะเปล่า.... ทำไมสู้คนรุ่นพ่อรุ่นแม่(เห็นตัวอย่างในชีวิตจริงได้หลายคนเลย) เขาเรียนน้อยกัน อย่างแม่เราเนี่ย แทบไม่ได้เรียน วุฒิไม่มี แค่อ่านออกเขียนได้ บวกลบคูณหารเลขเป็น แต่กลับมีกิจการของตัวเอง และครั้งนึงเคยรุ่งเรืองด้วย มีลูกน้องลูกจ้างหลายสิบคน แถมมีเงินพอเลี้ยงข้าวลูกน้องแทบทุกมื้อ เป็นช่วงที่อู้ฟู่มาก...แต่พอเจอวิกฤตหลายอย่าง เช่น พิษเศรษฐกิจ ขาดความรู้ในการบริหารจัดการ โดนโกง และยิ่งเจอปัญหาพ่อป่วยต้องฟอกไต ก็เริ่มอ่วม

ตอนเด็กๆไม่รู้เรื่องรู้ราว คิดอะไรง่ายไปหมด พอโตขึ้น ทำงานหาเงินเอง รู้ซึ้งเลย ว่าการเป็นนายตัวเองดีที่สุด

หลายครั้งเคยคิดหาหนทางอย่างอื่น อยากลงทุนทำอะไรด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากกิจการที่บ้านไม่ค่อยดีนัก หาได้เท่าไรก็หมดไปกับค่ารักษาคนป่วย ช่วงตอนมีตอนรุ่งเรือง ก็ไม่เคยเก็บ พ่อแม่ใจดี ช่วยเหลือญาติเกือบหมด แต่พอตอนเราลำบาก ญาติหายเกลี้ยง ต้นทุนของตัวเอง แม้กระทั่งบ้านที่อยู่อาศัยไม่มีเลย ต้องเช่าเขาอยู่...

ตั้งแต่เรียนจบก็เป็นได้แค่มนุษย์เงินเดือนขี้งก คิดได้แค่ ต้องเก็บต้องประหยัด หลายครั้งเคยคิดจะนำเงินเก็บแสนกว่าบาทไปลงทุน แต่เห็นสภาพเศรษฐกิจแล้ว กำลังขายมากกว่ากำลังซื้อ ลงทุนตอนนี้ เงินทุนไม่หนา น่าจะไปไม่รอดเแน่ๆ

มานั่งคิดๆเปรียบเทียบ คนรุ่นเก่าที่ไม่เรียนหนังสือ เรียนน้อย กับคนรุ่นใหม่ที่ตอนนี้มีภาคบังคับ เรียกว่ายากดีมีจนยังไงก็น่าจะได้เรียนเกือบทุกคน ยิ่งสังคมเมืองที่เราอยู่ จบป.ตรี เกือบทุกคน แต่กลับเป็นลูกจ้างซะส่วนใหญ่ และยิ่งในสังคมตอนนี้ อัตราคนว่างงานสูงมาก

คิดเท่าไรก็คิดไม่ตกว่า จะทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากการเป็นลูกจ้างกินเงินเดือน

มีใครเคยคิดแบบนี้บ้าง (หรือเราจิตตก คิดมากไปเองคนเดียว 555+) และมีแนวคิดและหนทางอย่างไร

ปล.ขออภัย อาจจะเรียบเรียงเรื่องราวไม่ค่อยดีนัก และต้องขอบคุณคุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่าน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
คนรุ่นเก่าที่ค้าขาย. เขากล้าได้กล้าเสีย. กล้าเสี่ยง. กล้าลอง. ทำเองทุกอย่าง. กินน้อยใช้น้อย. ไม่กลัวลำบาก. ประหยัด  อดออม. ให้อยู่กลางแดด. กลางฝน เขาก็ยังทำงาน. การจะเอาเงินออกจากกระเป๋าเขาเป็นอะไรที่ยากมากๆ.
ผิดกับคนรุ่นใหม่ที่เป็นมนุษย์เงินเดือน. รักสบาย. กลัวลำบาก. ไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าลอง. จ้างทุกอย่าง. กินมากใช้มาก. เป็นหนี้เป็นสินกันมากมาย. เพื่อซื้อของที่ไม่จำเป็น. กลัวลำบาก. ชอบโชว์. ร้อนก็ไม่เอา. หนาวก็ไม่เอา. ฝนตกก็กลัวเปียก. อินเทรนตลอด.  รายรับไม่พอรายจ่าย. ชอบสร้างภาพให้ดูดี.  กาแฟแก้วเป็นร้อยก็จ่ายได้. วันๆมีแต่กิน. เล่นเที่ยว. นินทาชาวบ้าน คุยแต่เรื่องเฟ้อเจ้อไปวันๆ.  หาสาระไม่ได้.  เล่นพรรคเล่นพวก. พากันใช้เงิน. แต่ไม่เคยคิดที่จะสร้างเงินแม้แต่คนเดียว. คิดแต่จะจ่าย. แต่ไม่เคยคิดจะหา.
เห็นความต่างกันแล้วนะครับ. ว่าเพราะอะไร.   ตราบใดสร้างนิสัยแบบนั้นไม่ได้ก็อย่าไปค้าขายหรือเป็นเจ้าของกิจการเลย. เปิดไปก็ไม่รอด.  คนที่เขาสำเร็จ เขายุ่งแต่เรื่องของตนเอง. มุ่งแต่จะหารายได้.  ส่วนคนที่ไม่สำเร็จคือวันๆยุ่งแต่เรื่องคนอื่น. คิดแต่จะกด. คิดแต่จะทำลาย. แต่ไม่เคยคิดที่จะทำตัวเองให้ดีขึ้นแม้แต่นิดเดียว. สุดท้ายมันก็ได้แต่ปากแล้วก็ดักดานไปจนตาย.  เพราะมุ่งแน่จะจ่ายอย่างเดียว.  แต่ไม่เคยคิดที่จะเก็บ. วันๆคิดแต่จะกู้ๆ. แล้วก็กู้.  คิดจะรวยแลบง่ายๆโดยการแทงหวย - -". คงจะเจริญหรอก.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่